Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 751 : คารมแบบโลเอ็น
กลางดึกสงัด บ้านเลขที่ 7 ถนนพินสเตอร์
เลียวนาร์ด·มิเชลนั่งลงบนเก้าอี้ ยกเท้าขึ้น เหยียดไปทางโต๊ะอ่านหนังสือ พาดลงบนขอบไม้
จากนั้น มันเอนหลังพร้อมกับเสียงข้อต่อไม้ดังลั่น พ่นลมหายใจยาว
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ เปลือกตาค่อยๆ ปิดลงจนสนิท
ทันใดนั้น จิตของเลียวนาร์ดถูกส่งเข้ามาในโลกมายาสีเทา แต่รอบๆ ตัวยังคงเป็นห้องนอนแห่งเดิม
มันลอยตัวมายังริมหน้าต่าง เห็นหมอกสีเทาปกคลุมละแวกใกล้เคียงอย่างหนาแน่น หมอกค่อยๆ ขยายออกไปจนสุดลูกหูลูกตา คล้ายกับพยายามครอบงำกรุงเบ็คลันด์ทั้งหมด
ไม่ว่าจะโคมไฟแก๊สข้างถนนหรือแสงไฟอบอุ่นจากบ้านแต่ละหลัง แสงสว่างรอบตัวเริ่มหม่นหมอง จุดที่ยังคมชัดเหลือเพียงบริเวณแคบๆ รอบตัวเลียวนาร์ด
ขณะเดียวกัน กลุ่มของลูกบอลแสงมายาทรงรี บ้างสว่าง บ้างสลัว ซ้อนทับกันมากมายภายในบ้านแต่ละหลัง คล้ายกับสิ่งนี้คือสัญลักษณ์แทนตำแหน่งของสิ่งมีชีวิต
นี่คือทิวทัศน์ ‘เมือง’ ในสายตาของ ‘ฝันร้าย’
เลียวนาร์ดดำเนินการสืบสวนต่อจากคราวก่อน กระโดดออกจากหน้าต่างในร่างของฝันร้าย ลอยไปยังบ้านเลขที่ 17 ถนนมินส์ เขตเชอร์วู้ด
มันมิได้บุกรุกเข้าไปโดยตรง แต่ร่อนลงที่หน้าประตูท่ามกลางกลุ่มหมอกหนาทึบ สั่นกระดิ่งอย่างสุภาพ
สิ้นเสียงนกร้อง ‘กุ๊กกู~’ สตาร์ลิ่ง·ซาเมอร์เปิดประตูออกมาในชุดนอน
หญิงสาวนำพัดเลี่ยมเงินทาบไว้บนหน้าอก ถามด้วยสีหน้าสับสนเจือสงสัย
“คุณกำลังมองหาใครหรือ?”
เธอคือเจ้าของบ้านขณะไคลน์ปลอมตัวเป็นเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ ผมสีทอง ดวงตาสีฟ้า วัยย่างสามสิบ
ปัจจุบัน เลียวนาร์ดอยู่ในเครื่องแบบตำรวจโลเอ็นสีขาวสลับดำ แสดงบัตรประจำตัวและกล่าว
“คุณรู้จักเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ไหม”
อาจเป็นเพราะกำลังอยู่ในความฝัน สตาร์ลิ่งจึงตอบสนองอย่างเชื่องช้า กล่าวหลังจากผ่านไปหลายวินาที
“มีอะไรเกิดขึ้นกับเขาหรือคะ”
ขณะถาม ภายใต้อิทธิพลของเลียวนาร์ด เชอร์ล็อก·โมเรียตี้ในความทรงจำของเธอปรากฏตัวด้านข้างอย่างเป็นธรรมชาติ
สวมหมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูง โค้ทยาวกระดุมสองแถว แว่นตากรอบทอง เครายาวรอบปาก
เป็นภาพลักษณ์เดียวกับเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ที่เลียวนาร์ดรู้จัก เมื่อไม่พบความผิดปรกติ มันตอบกลับ
“เขาเข้าไปพัวพันกับคดีหนึ่ง พวกเรากำลังสอบสวนกันอยู่… ผมหวังว่าคุณจะยอมให้ความร่วมมือ”
“ต… ตกลงค่ะ” สตาร์ลิ่งอยากเชิดคาง แต่ด้วยเหตุผลบางประการ เธอรู้สึกสั่นกลัวเล็กๆ
เลียวนาร์ดครุ่นคิดสักพัก
“เขาเริ่มเช่าบ้านตั้งแต่ตอนไหน”
“ต้นเดือนกันยายนปีที่แล้ว” สตาร์ลิ่งตอบ
เลียวนาร์ดถามต่อไป
“คุณรู้อะไรเกี่ยวกับเขาบ้าง? หรือผมควรถามว่า คุณคิดว่าเขาเป็นคนแบบไหน?”
ถึงตรงนี้ คล้ายกับเตรียมคำตอบมาล่วงหน้า สตาร์ลิ่งเล่าทันที
“เขามาจากแคว้นเลียบทะเล มีสำเนียงของคนที่นั่น เป็นนักสืบที่เก่งมาก ครั้งหนึ่งเคยช่วยแมรี่แก้ไขปัญหาเกี่ยวกับสามีของเธอ แต่ถึงอย่างนั้น รายได้ของเขาก็ไม่สูงนัก ไม่สามารถจ้างแม้บ้านประจำ ฉันต้องส่งแม่บ้านไปช่วยทำความสะอาดเป็นครั้งคราว… ลูกๆ ของดิฉันบอกว่า เขาเล่าเรื่องสนุกมาก โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับนักสืบ นี่คงเป็นเหตุผลที่เขาประกอบอาชีพดังกล่าว”
โดยไม่เปิดโอกาสให้เลียวนาร์ดแทรก เธอพรั่งพรูออกมาเรื่อยๆ
“เขาไม่หยาบกร้านเหมือนนักสืบทั่วไป จบจากโรงเรียนสามัญ ศึกษาด้านประวัติศาสตร์ สิ่งที่น่าอิจฉาที่สุดก็คือ แมรี่ช่วยให้เขาได้เป็นสมาชิกของสโมสรครักซ์ ที่นั่นเต็มไปด้วยคนใหญ่คนโต ฉันเคยไปเยือนหลายครั้ง… ในช่วงหลัง ดูเหมือนว่าเขาจะเริ่มเป็นคนดังในวงการนักสืบ มักมีนักสืบเอกชนแวะมาถามถึงเขา”
เลียวนาร์ดค่อนข้างใจร้อน อดไม่ได้ที่จะนำมือขึ้นมาลูบหน้าผาก
จากคำบอกเล่าของมาดามสตาร์ลิ่ง มันไม่ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์แต่อย่างใด ยกเว้นเรื่องที่เชอร์ล็อกไม่รวยมาก และเป็นคนเล่าเรื่องนักสืบเก่ง ส่วนข้อมูลอื่นๆ ล้วนมีอยู่ในเอกสารการสืบสวนก่อนหน้า เลียวนาร์ดรู้แม้กระทั่งว่า เชอร์ล็อก·โมเรียตี้มีความสัมพันธ์อันดีกับไอเซนการ์ด·สแตนธอน
ถัดไปคงต้องเริ่มสืบจากคนของสโมสรครักซ์ที่เคยใกล้ชิดเชอร์ล็อก·โมเรียตี้… อดทนฟังการพูดเรื่อยเปื่อยของสตาร์ลิ่งสักพัก เลียวนาร์ดกล่าวขอบคุณอีกฝ่าย ออกจากดินแดนความฝัน
บ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน คฤหาสน์ของดอน·ดันเตส
ภายในโถงกว้างที่แขกหลายร้อยคนสามารถเบียดเสียด ไคลน์กำลังเต้นรำกับสตรีวัยสามสิบกว่าคนหนึ่ง
เธอคือครูสอนมารยาทที่วอลเตอร์จัดหามาให้ มีนามว่า ‘วาฮาน่า·เฮย์เซ่น’
แม้ชื่อจะฟังดูธรรมดา แต่มีหลายสิ่งที่ไม่ธรรมดาเกี่ยวกับเธอ ใบหน้าดูดีกว่ามาตรฐานไม่มากก็จริง แต่กลับเปี่ยมล้นไปด้วยเสน่หา ทุกท่วงท่าการเคลื่อนไหวชวนให้เคลิบเคลิ้มหลงใหล
จากคำบอกเล่าของวอลเตอร์ เธอเกิดในตระกูลบารอน ได้รับการศึกษาที่ดีตั้งแต่ยังเล็ก ภายหลังมีโอกาสได้ทำงานในวัง คอยดูแลบรรดาคุณหนูๆ จนกระทั่งตัวเธอเข้าพิธีสมรส
เมื่อตระกูลบารอนของเริ่มเสื่อมถอย ผนวกกับการที่สามีได้รับค่าจ้างอัตราปานกลาง ในฐานะสาวกเทพธิดารัตติกาล วาฮาน่าตัดสินใจประกอบอาชีพครูสอนมารยาท มีโอกาสได้ทำงานกับตระกูลขุนนางและเศรษฐีบ่อยครั้ง คอยสอนมารยาทให้เด็กๆ
แม้ว่าพ่อบ้านจะไม่ได้กล่าวเอาไว้ แต่ไคลน์ก็ทราบดี ตนห้ามทำตัวแย่ๆ ต่อหน้าสตรีผู้นี้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้น คำวิจารณ์ด้านลบจะแพร่กระจายเป็นวงกว้างยากจะกอบกู้ชื่อเสียง
ไม่ว่าจะขุนนางหรือเศรษฐี วิธีเดียวที่จะช่วยให้ทราบถึงสถานการณ์ปัจจุบันของคนนั้นๆ คือการซักถามผ่านคนรู้จัก และในบางครั้ง คนรู้จักที่ว่าก็คือคนรับใช้
ขณะขยับเท้าอย่างแผ่วเบา วาฮาน่า สตรีเจ้าของเส้นผมสีดำ พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
“มิสเตอร์ดันเตส สำหรับดิฉัน มันยากที่จะให้เชื่อว่าคุณไม่เคยเรียนการเต้นรำในลักษณะนี้มาก่อน… เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง คุณเชี่ยวชาญพอๆ กับขุนนางที่ได้เรียนด้านนี้มาตั้งแต่เด็ก”
“เพราะคุณสอนดีต่างหาก” ไคลน์ยิ้มอย่างเจียมตัว สีหน้าอ่อนโยน ปราศจากความโอ้อวด
อาศัยพลังของ ‘ตัวตลก’ ไคลน์สามารถควบคุมสมดุลร่างกายและขยับให้สอดประสานได้ไม่ยาก สำหรับชายหนุ่ม การเต้นรำนั้นง่ายพอๆ กับปอกกล้วยเข้าปาก
วาฮาน่าก้มศีรษะลง หัวเราะเล็กๆ
“คุณเป็นสุภาพบุรุษประเภทที่ชอบทำให้สตรีมีความสุขสินะคะ”
ดวงตาสีน้ำตาลของอ่อนของหญิงสาวกำลังส่องประกาย จ้องไปทางจอนสีเงินและดวงตาสีน้ำเงินเข้มของดอน·ดันเตส
“เป็นคำชมที่ดีที่สุดที่ผมได้ยินในวันนี้เลยครับ” ไคลน์ยิ้มพลางตอบกลับ ฝ่าเท้ายังคงขยับอย่างต่อเนื่อง พาวาฮาน่าวนไปรอบๆ ใจกลางโถง วงดนตรีที่ถูกจ้างมาชั่วคราวยังคงบรรเลงเพลงกึกก้องไปทั่วห้อง
ชายหนุ่มมีเจตนาจะตีสนิทวาฮาน่า ไม่ใช่เพียงการเพิ่มชื่อเสียง แต่ยังเป็นเพราะอีกฝ่ายเคยทำงานในวัง
วาฮาน่าช่วยระบุจุดผิดเล็กๆ ที่ดอน·ดันเตสทำพลาด จากนั้นก็กล่าว
“หากคุณเชิญสตรีมาเต้นรำ อย่าเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเต้น แต่ต้องสนทนากันตามความเหมาะสม เว้นเสียแต่ทั้งคู่จะดื่มด่ำไปกับเสียงดนตรีและท่วงทำนองจนไม่อยากพูดคุย… แน่นอน นั่นก็ถือเป็นการสนทนาแบบหนึ่ง เป็นการคุยกันทางใจ… และทุกครั้งที่คุณสนทนากับสตรี คารมคมคายต้องอ้อมค้อม จงจำไว้ว่าที่นี่คือโลเอ็น ไม่ใช่อินทิส… นอกจากนั้นต้องไม่หยาบคาย ทำตัวให้สง่างามเข้าไว้… ดิฉันจะยกตัวอย่างให้ฟัง หากคุณต้องการชื่นชมน้ำหอมของสตรี ไม่ควรบอกไปตรงๆ ว่ากลิ่นนี้ดีอย่างไร หอมอย่างไร ไม่ควรถามว่าเป็นน้ำหอมชนิดใด ยี่ห้อใด แต่ต้องกล่าวโดยนัยให้สื่อถึงสิ่งที่ต้องการจะชื่นชม ยกตัวอย่างเช่น : ดูเหมือนว่าฤดูใบไม้ผลิจะมาถึงเร็วกว่าที่คิดนะครับ… แน่นอน ถ้อยคำเหล่านี้ต้องสอดคล้องกับลักษณะของน้ำหอม”
ไม่เห็นจะคมคายตรงไหน… พูดว่า ‘แสงจันทร์ในค่ำคืนนี้งดงามมากเลยนะครับ คุณคิดแบบนั้นเหมือนกันไหม?’ ไม่ดีกว่าหรือ? ไคลน์พึมพำประโยคจีบสาวยอดนิยมในภาษาญี่ปุ่น ยิ้มแห้งๆ
“ขอบคุณที่ไม่พูดออกมาตรงๆ ว่า คำชมของผมยังไม่เป็นสุภาพบุรุษมากพอ”
วาฮาน่ายิ้มลึกยิ่งกว่าเก่า
“มิสเตอร์ดันเตส คุณทราบหรือไม่ว่า สุภาพบุรุษประเภทใดที่ได้รับความนิยมในหมู่สตรีชนชั้นสูง?”
“ไม่ทราบครับ” ไคลน์ส่ายศีรษะอย่างสุขุม
วาฮาน่ายังคงไม่เปลี่ยนรอยยิ้ม
“สุภาพบุรุษประเภทที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับสองก็คือ… คนที่ชื่นชมว่าพวกเธอเฉลียวฉลาด”
“แล้วอันดับหนึ่ง?” ไคลน์ถามอย่างให้ความร่วมมือ
วาฮาน่าเหลือบมองและกล่าว
“…คนที่ทำให้พวกเธอเชื่อว่า เขาเฉลียวฉลาด”
กล่าวจบ หญิงสาวทำเพียงยิ้มอย่างเงียบงัน ไคลน์เริ่มเข้าใจความนัยที่แฝงอยู่ในคำตอบ
นี่คือความโรแมนติกของชาวโลเอ็นสินะ… ไม่เหมือนกับอินทิสที่บทสนทนาทั้งหมดพุ่งตรงไปยังร่างกายท่อนล่าง… แต่ว่า สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงข้อความในหนังสือพิมพ์และนิตยสารของโลเอ็น ใครจะไปรู้ว่าของจริงเป็นแบบไหน? เราไม่สามารถตัดสินได้จากผิวเผิน ทั้งสองอาณาจักรมักใส่ร้ายกันเสมอ… แต่ยุคสมัยของจักรพรรดิก็สอดคล้องกับพฤติกรรมดังกล่าวจริง… ไคลน์พยักหน้ากับตัวเอง
หลักสูตรมารยาทสองชั่วโมงเต็มสิ้นสุดลงด้วยบรรยากาศชื่นมื่น ไคลน์ พ่อบ้านวอลเตอร์ และบุรุษรับใช้ ริชาร์ดสัน เดินมาส่งวาฮาน่า·เฮย์เซ่นที่ประตูหน้า มอบของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ให้หญิงสาว
เป็นน้ำหอม ‘แสงจันทร์’ จากบริษัทดรีม มีส่วนประกอบเป็นอำพันสีเทา ราคาค่อนข้างสูง
ส่วนจะแพงแค่ไหนนั้น ไคลน์ไม่ทราบ เพราะคนที่ซื้อคือพ่อบ้านวอลเตอร์ เป็นการเบิกจากเงินก้อนใหญ่ที่แม่บ้านทาเนญ่าถือไว้ ต้องรอให้หนึ่งพันปอนด์แรกใกล้หมดลงก่อน และเมื่อต้องการเงินทุนเพิ่ม ทาเนญ่าจะมาขอเงินก้อนใหม่จากไคลน์พร้อมใบเสร็จ
เนื่องจากพ่อบ้านวอลเตอร์บอกกล่าวล่วงหน้า ไคลน์จึงทราบชื่อของน้ำหอมและบริษัทที่ผลิต เพราะหากวาฮาน่าถามและตอบไม่ได้ นั่นจะหมายถึงความไม่จริงใจ
จากรายละเอียดข้างต้น ชายหนุ่มเริ่มเข้าใจบทบาทและความสำคัญของพ่อบ้านอย่างลึกซึ้ง
ยืนมองมาดามวาฮาน่า·เฮย์เซ่นเดินจากไป ไคลน์หักห้ามใจไม่ยกมือขึ้นมาลูบหน้าผาก ทำเพียงถอนหายใจยาว
เหนื่อยยิ่งกว่าการต่อสู้กับผู้วิเศษเสียอีก ต้องคอยใส่ใจทุกการกระทำ ระวังทุกคำพูด… อยากพักผ่อนชะมัด…
ทันใดนั้น วอลเตอร์ที่สวมถุงมือสีขาว ก้าวไปข้างหน้าและกล่าว
“นายท่าน เนื่องจากคุณเรียนรู้มารยาทได้รวดเร็ว พวกเราจึงมีเวลาเหลือพอที่จะเข้าสู่บทเรียนถัดไป”
“บทเรียนอะไร” ไคลน์รู้สึกปวดหัว
“ประวัติศาสตร์ การเมืองระหว่างประเทศ ปรัชญา ดนตรี และพื้นฐานด้านกีฬาจำพวกกอล์ฟ แข่งม้า ล่าสัตว์” วอลเตอร์ตอบโดยละเอียด
“ปรัชญา?” ไคลน์ถามอย่างประหลาดใจ
วอลเตอร์พยักหน้า
“เป็นหนึ่งในหัวข้อที่ง่ายที่สุดของชนชั้นสูง นายท่านไม่จำเป็นต้องศึกษาในเชิงลึก แค่เข้าใจบทสนทนาของคนอื่นก็พอ ต้องทราบว่าจุดเริ่มต้นของปรัชญามาจากคอนซิสโซ่ มาแรนด์ และแพทเทอร์สัน ไม่ใช่จักรพรรดิโรซายล์มหาราช และต้องทราบว่าลัวมี่เป็นคนแรกที่เปิดประเด็นเรื่อง ‘อิสระของชีวิต’
“ในสมัยก่อน เศรษฐีจำนวนมากที่เพิ่งเข้าสู่ชนชั้นสูงมักทำพลาดในเรื่องนี้ เมื่อใดที่พบหลักปรัชญาซึ่งตนไม่รู้จัก พวกเขามักอนุมานว่าจักรพรรดิโรซายล์เป็นผู้คิดค้นและผลักดัน”
ไคลน์ที่เริ่มปวดหัวหนัก ฝืนยิ้มแห้ง
“ช่วงนี้ผมกำลังว่าง นอกจากการงีบในช่วงบ่ายและการสวดมนต์ที่วิหาร คุณสามารถจัดตารางเรียนได้ทุกเวลา”
…
ภายในห้องมืด ซองจดหมายลอยขึ้น เปิดออกด้วยตัวเอง ดึงแผ่นกระดาษด้านในออกมา
ร่างของชารอนที่สวมหมวกอ่อนใบเล็กค่อยๆ คมชัดขึ้นจากด้านข้าง ในท่ามือข้างหนึ่งถือกระดาษจดหมาย เธอตั้งใจอ่านอย่างละเอียด
เมื่ออ่านจบ ชารอนเขียนตอบกลับทันที จากนั้นก็ประกอบพิธีกรรมอัญเชิญผู้ส่งสารของเชอร์ล็อก·โมเรียตี้
เธอไม่ลืมที่จะเตรียมเหรียญทอง
ชารอนท่องคาถาจบอย่างรวดเร็ว เฝ้ามองแสงเทียนสีเขียนหม่นค่อยๆ ขยายตัว
เพียงไม่นาน ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ในสภาพหิ้วศีรษะผมทองและดวงตาสีแดงทั้งสี่เศียร ปรากฏกายต่อหน้าชารอน
ดวงตาชารอนพลันชะงัก บนใบหน้าที่ดูคล้ายกับตุ๊กตา เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อย่างรุนแรง
หญิงสาวโพล่งขึ้น
“ท่านอาจารย์! ไม่ใช่ว่าท่าน…”
……………………………………………..