Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 811 : ภาพวาดในห้องเก็บศพ
หลังจากผ่านประตูทางเข้า แสงจากธรรมชาติเลือนหายไปจากการมองเห็นของไคลน์และอัลเจอร์ เนื่องจากเพดานยังอยู่ในสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ แสงจันทร์สีแดงเข้มจึงมิอาจส่องผ่าน
อัลเจอร์ยกตะเกียงในมือขึ้น มอบแสงสว่างแก่โถงทางเดินด้านหน้า แต่ก็ยังมองไม่เห็นส่วนที่ลึกเข้าไป
ไคลน์กวาดตามอง พบรูปปั้นหินอย่างน้อยหกแห่ง มีทั้งชายและหญิง สีเทาอ่อนทั้งตัว แม้แต่เสื้อผ้าก็ดูคล้ายกับถูกแกะสลัก
คนเหล่านี้ประกอบด้วยเอลฟ์ คนยักษ์ และมนุษย์ที่แต่งกายด้วยชุดโบราณ นอกจากสีหน้าที่สิ้นหวังและเจ็บปวด ก็แทบไม่มีจุดใดเหมือนกันเลย
เมื่อเห็นรูปปั้นกำลังจ้องมาโดยไม่ละสายตา พลางจินตนาการว่าคนเหล่านี้อาจยังมีชีวิต หรือครั้งหนึ่งเคยมีชีวิต ไคลน์เย็นวาบไปถึงแผ่นหลัง ความมืดที่ลึกเข้าไปในทางเดินได้มอบบรรยากาศชวนขนหัวลุก ดูคล้ายกับปากของสัตว์ประหลาดกำลังอ้ากว้าง รอให้คนทั้งสองเป็นฝ่ายเดินเข้าไป
เมื่อสงบสติอารมณ์ ทั้งไคลน์และอัลเจอร์มิได้ส่งเสียง เพียงเดินผ่านรูปปั้นหินสีเทาขาวที่มีใบหน้าบิดเบี้ยว บรรจงย่างกรายทีละก้าวอย่างใจเย็น
ผ่านไปราวสิบวินาที อาศัยแสงจากตะเกียง ไคลน์ไม่ต้องพึ่งพาเนตรมองกลางคืนของ ‘วิญญาณอาฆาต’ ก็เห็นภาพจิตรกรรมฝาผนังที่มีร่องรอยการถูกทำลาย
สภาพบางส่วนค่อนข้างสมบูรณ์ ช่วยให้จำแนกองค์ประกอบโดยรวมของภาพ และไม่ผิดจากที่คาด จุดเด่นของจิตรกรรมคือไม้กางเขนขนาดใหญ่ที่ปกคลุมด้วยแสงเจิดจ้า รวมถึงร่างอันสง่างามที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าไม้กางเขน
ร่างอันคลุมเครือและเคร่งขรึมนี้ถูกแบ่งออกเป็นหลายภาพ มีทั้งภาพการช่วยเหลือเมืองซึ่งถูกน้ำท่วม ภาพการย่างกรายไปบนพื้นดินที่แตกระแหง และภาพการแหงนมองท้องฟ้าพราวพรายซึ่งมีดวงตาชั่วร้ายกำลังจ้องมองลงมา
หมายความว่า เมื่อวันสิ้นโลกมาถึง เทพสุริยันบรรพกาลคือผู้กอบกู้? คล้ายกับจิตรกรรมฝาผนังที่ ‘เดอะซันน้อย’ พบในวิหารของพระผู้สร้างแท้จริง… บางที… การที่ทั้งสองฝั่งมีภาพวาดในลักษณะเดียวกัน คงเพราะต้องการย้ำเตือนให้สาวกเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้คือเจตจำนงของตน ย้ำเตือนว่าครั้งหนึ่ง ‘พวกท่าน’ คือผู้กอบกู้ที่ควรค่าแก่การเคารพนับถือ… ไคลน์กวาดสายตาไปบนผนัง ย่างกรายเข้าไปในโถงทางเดินด้วยความใจเย็น
อัลเจอร์ที่สำรวจภาพจิตรกรรมฝาผนังเช่นกัน บีบเสียงลงและกล่าว
“ผมสงสัยว่า ภาพจิตรกรรมของพระผู้สร้างแท้— พระผู้สร้างเสื่อมทราม… อาจได้รับแรงบันดาลใจมาจากที่นี่”
นั่นสินะ ทุกคนก็คงคิดแบบนี้… ไคลน์ลดลางมรณะลง ยิ้มและกล่าว
“ผมจะไม่แปลกใจถ้าข้างหน้ามีภาพที่เกี่ยวข้องกับพระผู้สร้างแท้จริง”
“ท่านและพระผู้สร้างของเมืองเงินพิสุทธิ์ อาจมีบางสิ่งที่เชื่อมโยงกัน” อัลเจอร์เห็นด้วยกับแนวคิดของเกอร์มัน·สแปร์โรว์
ทั้งสองยังคงก้าวต่อไป พยายามเดินให้เบาที่สุด แต่ก็ยังมีเสียงสะท้อนดังก้องท่ามกลางความเงียบ
ทันใดนั้น สัมผัสวิญญาณของไคลน์ถูกกระตุ้น จึงรีบเดินแซงหน้าอัลเจอร์ไปสองก้าวเพื่อบังไฟจากตะเกียง
ราวสองวินาทีถัดมา เสียงหนักแน่นดังมาจากระยะไกล
ตึง! ตึง! ตึง!
การสั่นสะเทือนของแผ่นดินใกล้เข้ามาทีละนิด จนกระทั่งไคลน์เห็นร่างสูงเกือบสี่เมตรกำลังย่างกราย
ผิวพรรณสีเทาอ่อนไปทุกส่วน ลำตัวสวมชุดเกราะลวดลายซับซ้อน บนหัวมีเขาแพะ จมูกยื่นยาวคล้ายสุนัข ปากที่อ้าครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นเขี้ยวสีขาว
เอกลักษณ์เด่นชัดที่สุดคือดวงตาสีแดงเพลิงและปีกสีเทาอ่อนจำนวนหกคู่
ตึง! ตึง! ตึง!
สัตว์ประหลาดตนนี้ถือง้าวหินยาวเจ็ดแปดเมตร เดินไปบนโถงทางเดินอย่างไม่รีบร้อน ทุกย่างก้าวหนักหน่วงจนแผ่นดินสะเทือน ส่งผ่านความรู้สึกหนักอึ้งไปยังสิ่งรอบข้าง
แม้ว่าไคลน์จะไม่เคยเห็นตัวเป็นๆ มาก่อน แต่ก็ทราบทันทีว่ามันคือตัวอะไร
การ์กอยล์หกปีก!
แก่นผลึกคือหนึ่งในวัตถุดิบหลักของนักเชิดหุ่น พลังพิเศษต้องไม่ธรรมดาแน่ ถือเป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือได้ยาก!
พิจารณาจากลักษณะทางกายภาพ น่าจะแข็งแกร่งในการดวลตัวต่อตัว แถมยังไม่กลัวการถูกโจมตี… เพียงฟาดฟันหนึ่งครั้งด้วยง้าวหินหนัก ก็มากพอจะทำให้ถึงตาย… ไคลน์เหยียดมือซ้ายออก ไม่ตอบสนองส่งเดช
มันและอัลเจอร์ยังไม่ขยับเขยื้อน คนหนึ่งใช้ร่างกาย ส่วนอีกคนใช้เสื้อผ้าเพื่อบังแสงจากตะเกียง
ตึง! ตึง! ตึง!
การ์กอยล์หกปีกไม่หันมาสนใจคนทั้งสอง เพียงเดินผ่านโถงทางเดินไปยังอีกฝั่ง เสียงฝีเท้าค่อยๆ ดังห่างออกไป
เป็นอย่างที่คิด ประสาทสัมผัสของมันไม่ดีเท่าไร… เพราะแบบนี้ คีลิงเกอร์ถึงลงมาสำรวจได้และรอดชีวิตกลับไป… ไคลน์รอจนกระทั่งเสียงฝีเท้าเบาลงจนแทบไม่ได้ยิน จึงเริ่มขยับตัวอีกครั้ง
อันที่จริง ด้วยฝีมือและสมบัติวิเศษในปัจจุบัน การฆ่าการ์กอยล์หกปีกไม่ใช่เรื่องยากเย็น แถมยังมีแฮงแมนคอยสนับสนุน แต่เหตุผลที่ชายหนุ่มไม่โจมตี เพราะไม่รู้ว่าแถวนี้ยังมีการ์กอยล์หกปีกกี่ตัว เมื่อเริ่มต่อสู้ หากเกิดเสียงดังอึกทึก อาจทำให้การ์กอยล์ตัวอื่นเข้ามารุมล้อม ทางรอดเดียวคือการพึ่งพาพลัง ‘ท่องเที่ยว’ ในการหลบหนี และในกรณีเลวร้าย ความวุ่นวายอาจไปกระตุ้นความสนใจของสิ่งมีชีวิตลึกลับที่สัตว์วิเศษในละแวกใกล้เคียงหวาดกลัว สถานการณ์จะย่ำแย่ถึงขีดสุด
นักผจญภัยที่ดีต้องสามารถระงับความโลภในจังหวะที่เหมาะสม
เมื่อเห็นนักผจญภัยเสียสติทำตัวเยือกเย็น อัลเจอร์โล่งใจอย่างบอกไม่ถูก ขณะเดียวกันก็เริ่มสงสัยว่า อีกฝ่ายอาจรับคำสั่งบางอย่างมาจากมิสเตอร์ฟูล จึงไม่ลงมือโจมตีการ์กอยล์หกปีกอย่างบุ่มบ่าม
ในยามปรกติ ยิ่งดูสงบมากเท่าใด ในยามเผชิญหน้ากับเป้าหมาย ความบ้าคลั่งก็ยิ่งปะทุ… ขณะเดินตามเกอร์มัน·สแปร์โรว์ผ่านสี่แยกทางเดิน ความคิดมากมายแล่นผ่านสมองอัลเจอร์
ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ผุพังทั้งสองด้าน ยังคงบอกเล่าความยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ของเทพสุริยันบรรพกาลอย่างต่อเนื่อง
จนกระทั่งไคลน์และอัลเจอร์มาถึงสุดทางเดินยาว ตรงหน้าคือประตูหินสูงเจ็ดแปดเมตร บานประตูสลักสัญลักษณ์แห่งความตาย การนอนหลับ และการเกิดใหม่
“ห้องเก็บศพ?” ไคลน์หันไปถามอัลเจอร์
อัลเจอร์พยักหน้ารับ
“แต่ก็อาจจะเป็นวิหารด้วย”
ค่อนข้างชัดเจนว่า อัลเจอร์ยังเชื่อทฤษฎีที่วิหารและสุสานอยู่ร่วมกัน
ประตูหินสีเทาตรงหน้ามิได้ปิดสนิท มีช่องว่างพอให้เด็กลอดผ่าน อัลเจอร์ก้มมองพื้นสักพัก ก่อนจะวางตะเกียงลงและเก็บมีดสั้น นำฝ่ามือทาบกับประตู
มันหายใจเข้าออกเชื่องช้า งอเข่าลงหนึ่งข้าง กล้ามแขนบวมพองกะทันหัน
ช่องว่างระหว่างประตูขยายออกอย่างเงียบงัน
ได้เห็นฉากดังกล่าว ไคลน์เลิกคิ้วเล็กน้อย ค่อนข้างแปลกใจ เนื่องจากการเปิดประตูของแฮงแมนเกิดขึ้นโดยปราศจากเสียง
มันไม่คลางแคลงในพละกำลังของ ‘ผู้ขับขานสมุทร’ เพียงแต่ไม่คิดว่าจะเปิดประตูหินได้โดยไม่สัมผัสกับพื้น
มองไปบนพื้น ไคลน์พบของเหลวเหนียวหนืดในช่องว่างด้านล่างประตู
แอบใส่สารหล่อลื่น… มิสเตอร์แฮงแมนพิถีพิถันมาก… เป็นพลังของ ‘นักเดินเรือ’ หรือ ‘ผู้ขับขานสมุทร’ ? หืม… นอกจากนั้นยังมีการใช้พลังของ ‘ข้ารับใช้วายุ’ เพื่อสร้าง ‘เบาะอากาศ’ สำหรับลดทอนเสียง… ไคลน์ไตร่ตรองจนพบสาเหตุ
แม้ชายหนุ่มจะขยับเข้าใกล้ประตู แต่ก็ไม่รีบร้อนผ่านเข้าไป พยายามสำรวจภาพแวดล้อมด้านใน
จุดที่ดึงดูดสายตา ‘วิญญาณอาฆาต’ มากที่สุดคือริมผนังสองฝั่งซ้ายขวา บริเวณดังกล่าวมีโลงหินสีเทาอ่อนเรียงรายจำนวนหนึ่ง
เป็นห้องเก็บศพอย่างที่คิด… ส่วนจะเป็นวิหารด้วยหรือไม่นั้น ตอนนี้ยังไม่มีคำตอบ… ไคลน์ใคร่ครวญพลางเปิดหน้า ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ ด้วยมือซ้าย เลือกหน้าที่เหมาะแก่การรับมือกับขอบเขตของความตาย
ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มใช้กริชเงินสร้างกำแพงวิญญาณเพื่อผนึกกล่องบุหรี่โลหะ ป้องกันมิให้นกหวีดของอะซิกปลุกศพในโลงให้ตื่นขึ้นมาสร้างความปั่นป่วน
อัลเจอร์ดึงมีดสั้นออกมาอีกครั้ง มือซ้ายทาบลงบนคมมีดและตวัดไปข้างหน้า
เกิดเสียงโลหะถูกกระทบแผ่วเบา อสรพิษไฟฟ้าสีเงินเริ่มหมุนเป็นเกลียวรอบๆ ใบมีด
บุรุษทั้งสองเตรียมตัวเสร็จภายในเวลาอันสั้น ไคลน์ซึ่งกำลังสวมบทบาทเกอร์มัน·สแปร์โรว์ นักผจญภัยเสียสติ เดินเข้าไปในห้องฝังศพเป็นคนแรก
แน่นอน ก่อนจะย่างกรายเข้าไป มันใช้ ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอลสำรวจด้านในพอสังเขปแล้ว
ในฐานะ ‘นักเชิดหุ่น’ มันสามารถใช้หุ่นเชิดดำเนินการแทนได้โดยไม่ต้องเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง!
บนเพดานห้องมีคราบน้ำไหลซึม บ่งบอกถึงระดับความชื้น ด้านในห้องถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนซ้ายขวา แต่ละฝั่งมีโลงศพหินสีเทาอ่อนฝั่งละสิบสองโลง กึ่งกลางห้องเป็นพื้นที่ว่างวงกลม มีภาพวาดที่งดงามและซับซ้อนบนพื้นหิน
ไคลน์ตัดสินใจไม่เข้าใกล้ ขณะเดียวกันก็ยกมือห้ามอัลเจอร์ พลางบังคับให้ ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอลเผยตัวตน ลอยเข้าไปในวงกลมซึ่งเป็นที่ว่างกึ่งกลาง
“พลเรือเอกโลหิต…” กล้ามเนื้อบนใบหน้าอัลเจอร์เริ่มกระตุก
แม้จะคาดเดาได้สักพักแล้ว แต่เมื่อได้เห็นกับตาตัวเอง เป็นเรื่องยากที่จะควบคุมการตอบสนองจากจิตใต้สำนึก
ขณะเดียวกัน เซนอลลดลดระดับการบินลง สำรวจภาพบนพื้นผิวของที่ว่างในส่วนกลาง
ภาพวาดด้วยโทนสีหม่น องค์ประกอบด้านหลังเป็นกลุ่มเงาลางซึ่งมีใบหน้าไม่คมชัด ด้านหน้าเป็นโต๊ะยาว
บนโต๊ะยาวมีบุคคลนิรนามกำลังถือไม้กางเขนที่ส่องสว่าง รายล้อมด้วยสามบุคคลคนที่ถูกเงาดำปกคลุมใบหน้า
ทั้งสามประกอบด้วย บุรุษผู้หล่อเหล่าและแข็งแรง บุรุษผู้องอาจกล้าหาญ และชายชราเคราสีขาวที่มากปัญญา ดวงตาทั้งสามคู่เปี่ยมด้วยความชั่วร้ายที่ยากจะพรรณนา และทุกคนกำลังทำในสิ่งเดียวกัน
คนหนึ่งฉีกแขนของบุคคลนิรนาม ใส่ปากเคี้ยวจนเลือดกระเซ็นเปรอะเปื้อน อีกคนกำลังกอดศีรษะและดูดของเหลวจากสมองของชายนิรนาม และคนสุดท้ายควักหัวใจที่กำลังเต้นของชายนิรนามออกมากินอย่างหิวโหย
ตรงข้ามกับสามคนแรก บุคคลที่สี่คือทารกผิวเข้มซึ่งมีบรรยากาศรอบตัวชั่วร้าย กำลังนั่งขัดสมาธิภายในช่องท้องซึ่งถูกผ่าออกเป็นทางยาวของบุคคลนิรนาม เคี้ยวลำไส้ที่มีเลือดสดไหลหยด
คล้ายกับทั้งสี่ตระหนักว่าใครบางคนกำลังแอบมอง จึงเงยหน้าขึ้นอย่างพร้อมเพรียง หันมาจ้องผู้ที่พยายามสำรวจภาพนี้!
……………………………………………………..