Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 838 : ภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์
- Home
- Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ
- ราชันเร้นลับ 838 : ภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์
ราชันเร้นลับ 838 : ภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์
บุคคลที่นั่งเฉียงไปทางด้านหลังรูปปั้นคือชายชราในชุดคลุมสีดำ สวมเสื้อคลุมหัวปิดลงมาถึงตา ใบหน้าเต็มไปด้วยเครายาวสีขาวที่ดกหนา คล้ายกับไม่ถูกตัดแต่งนานกว่าสิบปี ยาจะมองเห็นใบหน้าที่แท้จริง
และในสายตาไคลน์ ชายชราเคราดกคนนี้พิสดารยิ่งกว่าร่างที่ถูกแขวนกลางอากาศเสียอีก
ด้ายวิญญาณที่ยื่นออกจากร่างกายชายคนนี้มิได้ลอยขึ้นไปด้านบน ตรงไปทางจุดที่คล้ายกับมี ‘แม่เหล็ก’ แต่วกกลับเข้าหาร่างกายตัวเอง ประหนึ่งต้นกำเนิดเป็นจุดเดียวกับจุดปลาย!
โดยทั่วไป ด้ายวิญญาณมีต้นกำเนิดมาจากร่างวิญญาณ ธรรมชาติคือการยืดยาวออกไปทุกทิศทางโดยไม่มีจุดสิ้นสุด และในกรณีของร่างที่ถูกแขวนกลางอากาศ ต้นกำเนิดไม่ต่างไปจากปรกติ แต่ปัญหาอยู่ที่ปลายทางซึ่งหลั่งไหลไปรวมกัน
นี่คือสาเหตุที่เขาไม่ถูกจับแขวน? เป็นวิธีหลีกเลี่ยงอันตรายจากวิหาร? ขณะพยายามบังคับด้ายวิญญาณของตัวเอง ไคลน์พึมพำพลางคาดเดาเหตุผล
ทันใดนั้น ชายหนุ่มเห็นดวงตาคู่หนึ่ง ดวงตาสีดำสนิทที่คล้ายกับผิวน้ำขุ่นมัว
ชายชราที่นั่งในเฉียงออกไปด้านหลังรูปปั้น จู่ๆ ก็ลืมตาขึ้น
มันยังมีชีวิตอยู่!
ไคลน์ก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาณ งอตัวเล็กน้อย วางมือซ้ายไว้ด้านหน้า
ท่ามกลางความเงียบสงัดและภาวะตึงเครียดจนหัวใจเต้นแรง ดวงตาชายชราขยับเล็กน้อย อ้าครึ่งหนึ่งและกล่าวอย่างคลุมเครือ
“ในที่สุดก็มีนักทำนายคนใหม่เข้ามา…”
คนใหม่? เคยมีนักทำนายเข้ามาในวิหารแห่งนี้แล้ว? นั่นสินะ นอกจากจะถูก ‘ลบ’ โดยเทวทูตนิรนาม การเข้ามาในหมู่บ้านสายหมอกยังมีอีกหนึ่งวิธี นั่นคือถูกความมืดมิดบนสมรภูมิแห่งเทพกลืนกิน… อาจมีนักทำนายคนสองคนถูกส่งมาที่นี่ขณะตามหานางเงือก หรือไม่ก็ถูกส่งเข้ามาขณะกำลังกลับ… เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่โจมตีเข้ามา เลือกจะสื่อสารก่อน ไคลน์จึงข่มอารมณ์ ซักถามกลับไปหลังจากไตร่ตรอง
“ทำไมถึงกล่าวเช่นนั้น?”
ชายชราเจ้าของดวงตาสีดำและเคราสีขาวดกหนา มิได้ตอบคำถามตรงๆ แต่เลือกจะย้อนถามกลับมา
“อยากออกไปไหม? ข้าบอกวิธีกับเจ้าได้”
ไคลน์ไม่ถูกซื้อ เพียงถามกลับ
“แล้วทำไมคุณถึงยังอยู่?”
ในเมื่อรู้วิธีหลบหนีออกจากหมู่บ้านสายหมอก แล้วมีเหตุผลอะไรที่ต้องหมกตัวอยู่ในวิหารแสนอันตราย?
ชายชราลดศีรษะลงเล็กน้อย หัวเราะในลำคอสองสามคำ
“เพราะข้าตายไปนานแล้ว”
“…” ไคลน์เย็นวาบไปถึงสันหลัง หมดคำจะกล่าว
ในสายตาของชายหนุ่ม บุคคลตรงหน้าไม่ใช่ร่างวิญญาณ!
เมื่อพบว่าไม่มีการตอบสนองจากอีกฝ่าย ชายชราค่อยๆ เงยหน้าขึ้น จ้องไคลน์ซึ่งกำลังสวมรูปลักษณ์เกอร์มัน·สแปร์โรว์
“ข้าใช้พลังพิเศษเพื่อสำรวจช่องว่างประวัติศาสตร์และชะตากรรมของโลกใบนี้ จากนั้นก็แบ่ง ‘ภาพฉาย’ บางส่วนของตัวเองไว้ที่นี่ ดำรงสภาพมาอย่างยาวนานจวบจนปัจจุบัน แต่ร่างหลักและวิญญาณของตัวข้า เสียชีวิตและแตกสลายไปนานแล้ว”
มีพลังที่น่าทึ่งแบบนี้อยู่ด้วย… ไคลน์ไม่มีวิธีพิสูจน์คำพูดอีกฝ่าย ไม่มีทางเลือกนอกจากถามกลับ
“แล้วทำไมคุณถึงต้องบอกวิธีหลบหนีแก่นักทำนาย?”
เสียงของชายชรายังคงพร่ามัว
“หลังจากเปิดประตู ประวัติศาสตร์และชะตากรรมของที่นี่จะเกิดการเปลี่ยนแปลง ภาพฉายที่ข้าแบ่งไว้ก็จะหายไปด้วย เมื่อถึงตอนนั้น เจ้าจะได้พบกับโกศเก็บขี้เถ้า… ข้าหวังให้พวกมันถูกโปรยลงในแม่น้ำเซอเรนโซ่ใกล้กับกรุงทรีอาร์ เมืองหลวงของอินทิส… ที่นั่นเป็นบ้านเกิดของข้า… เจ้าเคยได้ยินชื่อสถานที่ดังกล่าวหรือไม่? ข้าไม่แน่ใจว่าเวลาข้างนอกผ่านไปนานแค่ไหน”
ถูกขังอยู่ที่นี่มาไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยปี? ไคลน์ตอบเยือกเย็น
“ที่นั่นยังอยู่”
“เยี่ยม…” ชายชราพยักหน้าพลางตอบด้วยเสียงที่คล้ายกับเจือเสมหะ
แม้ไคลน์จะยังไม่ปักใจเชื่อ แต่ก็ยึดหลักการที่ว่า มีข้อมูลย่อมดีกว่าไม่มี เพราะตนสามารถวิเคราะห์และตัดสินใจด้วยตัวเอง
ด้วยความกังวลว่าจะถูกบุคคลด้านนอกเข้ามาขัดจังหวะอีก ชายหนุ่มรีบถามกลับไป
“ถ้าอย่างนั้น วิธีหนีคืออะไร?”
ชายชรายังคงนั่งในจุดเดิม ตอบโดยแทบไม่ขยับตัว
“บนกำแพงด้านหลังรูปปั้น เห็นภาพแกะสลักไหม?”
ใจจริง ไคลน์ไม่อยากทำตามคำแนะนำสักเท่าไร เพราะเพิ่งถูกแม่มดพานาเทียหลอกด้วยวิธีเดียวกัน จนเผลอเหลือบไปเห็นร่างสัตว์ในตำนานที่ไม่สมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มมีแผนจะสำรวจที่นี่อยู่แล้ว จึงค่อยๆ หันไปมองผนังด้านหลังรูปปั้น
สิ่งที่สลักอยู่คือสัญลักษณ์โบราณขนาดไม่ใหญ่ ความยาวไม่มาก กึ่งกลางมีรูโหว่ ส่งผลให้ลวดลายไม่เชื่อมต่อกัน
รูโหว่ดังกล่าวมีขนาดเท่ากับสองฝ่ามือ ลักษณะเป็นการเว้าเข้าไป ราวกับใครบางคนดึงอิฐที่เคยเป็นผนังออก
“ตราบใดที่เจ้าสามารถหาหินออบซิเดียนที่ตรงกันมาสอดเข้าไปในช่องว่าง ผนังผืนนี้จะหลุดพ้นจากสถานะ ‘ถูกปกปิด’ ขั้นต้น สีของผนังจะดูคล้ายกับภาพมายา หากทำสำเร็จ ข้าจะบอกสักลักษณ์พิเศษที่ซับซ้อนขึ้นมาหนึ่งชุด สิ่งนั้นคือกุญแจสำหรับเปิดประตูหลบหนีที่ซ่อนอยู่บนผนัง” ชายชราเคารพกล่าวโดยไม่หัวหน้า เพียงมองตรงขณะเล่า
สัญลักษณ์พิเศษที่ซับซ้อน… กุญแจสำหรับเปิดประตู… เมื่อนำเบาะแสไปผนวกกับเสียงเพรียก ‘โฮนาซิส… เฟรเกีย…’ จากศพที่ถูกแขวน ภาพสัญลักษณ์หนึ่งผุดขึ้นในใจไคลน์ทันที
ดวงตาแนวตั้งที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ซับซ้อน!
เป็นข้อความที่สมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสส่งมาถึงตนผ่าน ‘หุ่นกระบอกอัปมงคล’ !
และตระกูลอันทีโกนัสน่าจะเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับอาณาจักรรัตติกาลบนยอดเขาโฮนาซิส!
หรือสิ่งนั้นจะเป็นกุญแจ… ไคลน์ถอนสายตากลับอย่างใจเย็น หันไปถาม
“แล้วทำไมนักทำนายคนก่อนๆ ถึงล้มเหลว?”
ในท่านั่งเฉียงออกไปด้านหลังรูปปั้น ชายชราหัวเราะและตอบ
“บางคนก็ช่างถามเหมือนกับเจ้า มัวเสียเวลาจนออกจากวิหารแห่งนี้ไม่ทันปรากฏการณ์จันทร์แดงกระจ่าง ถูกแขวนคออย่างน่าสมเพช หนึ่งในนั้นคือสุภาพบุรุษที่เปลี่ยนให้ใบหน้าตัวเองหล่อเหลา ส่วนอีกคนคือเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่น่ารักจนไม่มีข้อบกพร่อง”
“…” ได้ยินเช่นนั้น ไคลน์หมดคำจะกล่าวไปสักพัก
แต่นั่นก็ช่วยให้ไคลน์ทราบว่า หากเกิดปรากฏการณ์จันทร์แดงกระจ่าง อันตรายภายในวิหารจะทวีคูณเป็นเท่าตัว จนแม้แต่นักเชิดหุ่นก็มิอาจควบคุมด้ายวิญญาณของตัวเอง!
เราต้องคอยสังเกตการเปลี่ยนแปลงของแสง ทันทีที่พระจันทร์สีแดงสว่างขึ้น ต้องรีบหนีออกไปทางกำแพง… ไคลน์ชำเลืองไปรอบตัว ยืนยันจนแน่ใจว่ากำแพงที่ใกล้ที่สุด อยู่ห่างออกไปราวหกถึงเจ็ดเมตร
ชายชราสวมเสื้อคลุมศีรษะยังคงกล่าวโดยไม่เงยหน้า
“คนที่เหลือมิได้โชคดีนัก ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่เสียสติและต้องการแค่ความอิ่มท้อง สุดท้ายก็กลายเป็นอาหารอันโอชะ… เจ้าคงทราบดีอยู่แล้ว ผู้วิเศษเส้นทางนักทำนายมีไม่มากนัก ยิ่งนักเชิดหุ่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง สามารถนับจำนวนคนที่เข้ามาในวิหารได้ด้วยมือข้างเดียว… แน่นอน มีหลายคนถูกล่อลวงให้เข้ามาในหมู่บ้านสายหมอก แต่เกือบทั้งหมดทำไม่สำเร็จ…”
กล่าวถึงตรงนี้ ชายชราค่อยๆ เงยหน้า มองไปยังยอดสูงสุดของวิหาร พูดด้วยเสียงพร่ามัว
“ทุกคนล้วนมีชะตากรรมที่น่าเศร้า”
หมายความว่ายังไง… ถ้าเราไม่ขโมยสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสหลังประตูยานิส ทางเดียวที่จะได้ครอบครองสมบัติของตระกูลอันทีโกนัสคือการแกะรอยจาก ‘เสียงเพรียก’ โฮนาซิส เฟรเกีย และกระเสือกกระสนปีนป่ายมาจนถึงยอดเขาโฮนาซิส… แบบนี้นับว่าถูกล่อลวงด้วยไหม? และเนื่องจากการเข้ามาที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย จุดจบจึงน่าเศร้าเหมือนกันหมด? ไคลน์ครุ่นคิดหลายสิ่ง เมื่อผนวกกับฉาก ‘หนอนแมลงบนบัลลังก์ยักษ์’ ที่เคยเห็นในการทำนาย ชายหนุ่มเริ่มสงสัยว่า ‘สมบัติตระกูลอันทีโกนัส’ คงไม่ใช่สิ่งใดนอกจากกับดัก
ชายหนุ่มไม่ใส่ใจจะล้วงลึก เปลี่ยนไปถามประเด็นอื่น
“มีเบาะแสของหินออบซิเดียนไหม?”
ชายชราหัวเราะ
“อยู่ในมือของแม่มดสิ้นหวังตนนั้น”
แม่มดสิ้นหวัง… พานาเทียเป็นแม่มดสิ้นหวังจริงๆ … ไคลน์เคยนึกถึงชื่อนี้มาก่อน แต่เป็นเพราะนำสองชิ้นส่วนข้อมูลมาประกอบเข้าด้วยกัน หนึ่งคือ ผู้คนมักเรียกเธอว่าท่านหญิงสิ้นหวัง และอีกหนึ่งคือ ตนมั่นใจว่าพานาเทียเป็นแม่มด จึงนำมารวมกันเป็นชื่อเล่นที่เรียกเอง คิดไม่ถึงว่าลำดับ 4 ของเส้นทางแม่มด จะมีชื่อว่าแม่มดสิ้นหวังจริงๆ
“ถ้าอย่างนั้น โอกาสสำเร็จก็ต่ำมาก หล่อนเป็นครึ่งเทพตัวจริง…” ไคลน์เผยสีหน้าลำบากใจโดยไม่เก็บซ่อน รอดูท่าทีและฟังคำแนะนำจากอีกฝ่าย
ชายชราส่ายหน้า
“ข้าคือคนที่ตายไปแล้ว คงช่วยอะไรไม่ได้มากนัก… ว่าแต่ ในตอนที่เข้ามา เจ้ามีหุ่นเชิดติดตัวมาด้วยไม่ใช่หรือ”
“ใช่… แต่ถูกแม่มดสิ้นหวังกินไปแล้ว” ไคลน์ตอบเยือกเย็น
ชายชราถอนหายใจยาว กล่าวกึ่งยิ้ม
“ข้าช่วยเจ้าเรียกมันออกมาใหม่ได้… ดึงจากประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้”
ยังไม่ทันจะกล่าวจบ ไคลน์มองเห็นเค้าโครงหนึ่งคมชัดขึ้นจากความว่างเปล่าด้านข้าง ไม่ใช่ใครนอกจาก ‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอลผู้สวมหมวกสามมุมทรงโบราณและแจ็คเก็ตสีแดง โดยที่ด้านวิญญาณยังอยู่ในความควบคุมของตน!
ขณะรูม่านตาไคลน์เริ่มหดตัว โสตประสาทได้ยินเสียงจากชายชราที่สวมเสื้อคลุมศีรษะ
“คงสภาพได้เพียงสามสิบนาที ใช้มันให้เกิดประโยชน์… นอกจากนั้น ข้าจะช่วยเจ้าเสริมประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อ ส่งผลให้ควบคุมหุ่นเชิดได้ดีขึ้น สามารถใช้พลังพิเศษของตัวเองจากหุ่นลับ และสามารถสลับตำแหน่งได้ในพริบตา… หึหึ แถมรัศมีการควบคุมและระดับความสมจริงก็ยังถูกส่งเสริม”
ใช้พลังพิเศษของตัวเองจากหุ่นเชิด? หมายความว่าเราสามารถใช้พลัง ‘ผู้ไร้หน้า’ เพื่อแปลงโฉมหุ่นเชิดให้เหมือนกับร่างต้นทุกประการ สร้างตัวตายตัวแทนที่สมบูรณ์แบบ? เป็นพลังของครึ่งเทพเส้นทางนักทำนาย? จอมเวทพิสดาร? ศัตรูไม่มีทางเดาได้ว่า คนที่เพิ่งฆ่าไปเป็นเพียงหุ่นเชิดหรือจอมเวทพิสดารตัวจริง? นอกจากนั้น พลังที่อัญเชิญหุ่นเชิดออกจากประวัติศาสตร์… ไม่ฟังดูเหนือจินตนาการไปหน่อยหรือ… ความคิดมากมายแล่นผ่านสมองไคลน์ ยากจะทำจิตใจให้สงบ
ชายชราเงยหน้ามอง กล่าวต่อไป
“ส่งกระดาษคนตัวแทนมาให้ข้า”
ไคลน์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ลังเลสองสามวินาที แต่สุดท้ายก็นำกระดาษยื่นให้อีกฝ่าย
ชายชราเหยียดฝ่ามือแห้งผากออกมารับ สะบัดอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
อาการปวดหัว เป็นไข้ คัดจมูก และคอบวมของไคลน์พลันหายเป็นปลิดทิ้ง!
แผ่นกระดาษเริ่มเปื้อนสนิมสีแดง ก่อนจะเปราะแตกอย่างรวดเร็ว
ใช้กระดาษเพื่อโอนถ่ายอาการป่วยออกจากตัวเรา? ไคลน์กล่าวหลังจากไตร่ตรองสักพัก
“ขออภัยที่เคยเสียมารยาท… ผมควรเรียกคุณว่าอะไร?”
ชายชราไม่ตอบในทันที รอจนกระทั่งถอนหายใจยาวเสร็จ
“ข้าช่วยเจ้าได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
มันเว้นวรรค ตามด้วยฉีกยิ้มกว้าง
“เจ้าสามารถเรียกข้าว่า… อา…”
“ซาราธ”