Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 950 : เก็บเป็นความลับ
เอ็มลินเงียบงันสองสามวินาที เชิดคางขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับถาม
“ท่าน… เป็นใคร?”
สำหรับมัน แม้ว่าเทวทูตจะน่าเกรงขาม แต่ตัวตนที่ทำให้มันต้องยอมศิโรราบจากก้นบึ้งคือผู้ที่ถูกขนานนามว่า ‘ท่าน’ กลุ่มผีดูดเลือดเหล่านี้คือผู้ที่เป็นประจักษ์พยานประวัติศาสตร์อันยาวนานของเผ่าพันธุ์ เป็นบ่อเกิดความภาคภูมิใจในทุกวันนี้
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ เจ้าจะได้รับแจ้งเมื่อถึงตอนนั้น” คาซีมี·โอดราส่ายหน้า
“…” มาหาเราเพราะวิวรณ์ของท่านต้นตระกูล? มีคำแนะนำเพิ่มเติมมามอบให้? ถ้าอย่างนั้น ทำไมท่านต้นตระกูลถึงไม่ส่งวิวรณ์มาหาเราโดยตรง? แบบนั้นจะซ่อนเร้นมากกว่า เพราะเราคือคนที่ถูกพระองค์เลือก! หรือว่าไม่ต้องการให้ระคายเคืองมิสเตอร์ฟูล? คำถามมากมายผุดขึ้นในใจเอ็มลิน พลางเล่นถามตอบกับตัวเอง
มันมิได้กล่าวคำใด เพียงสวมหมวกทรงสูง เดินออกจากคฤหาสน์ตระกูลโอดรา
เมื่อมาถึงหน้าประตู มันแหงนหน้ามองเมฆบางๆ ที่ยากจะบดบังแสงแดดของพระอาทิตย์ ก่อนจะทำหน้าบิดเบี้ยว ยกมือขึ้นจับปีกหมวก ก้มศีรษะลงเล็กน้อยและเดินไปยังรถม้าเช่าท้ายถนน ภายในใจพึมพำ
อากาศแบบนี้ไม่เหมาะจะออกมาข้างนอกเลยสักนิด!
สำหรับยาของเดอะเวิร์ล วัตถุดิบมิได้หายาก สามารถปรุงเสร็จภายในสิบห้านาที… อา… วัตถุดิบที่สั่งไปก่อนหน้านี้คงมาถึงแล้ว ได้เวลาจบธุรกิจกับมิสเมจิกเชี่ยนที่ค้างคามาหลายวัน…
…
เบ็คลันด์ เขตเชอร์วู้ด
ฟอร์สจัดระเบียบขวดยาบนแท่นบูชา เฝ้ามองของเหลวสีฟ้าอ่อนผสมสีทอง เกิดความรู้สึกดีเป็นล้นพ้นหลังจากได้ใช้จ่าย
เย้ายวนยิ่งกว่าค็อกเทลเสียอีก ชักอยากรู้แล้วว่ารสชาติเป็นยังไง ถ้าใส่น้ำแข็งลงไปต้องอร่อยแน่… เดี๋ยวสิ เรากำลังคิดอะไรอยู่? นี่คือยาวิเศษนะ! ฟอร์สพึมพำกับตัวเอง จากนั้นก็รีบทำความสะอาดห้อง
หลังจากได้รับยา การเตรียมตัวสำรวจปราสาทร้างในป่าเดแลร์ก็เป็นอันเสร็จสิ้น รอแค่ให้ซิลกลับมาถึง
หลังจากเก็บกวาดเรียบร้อย ฟอร์สทิ้งตัวลงบนโซฟา หยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่านเรื่อยเปื่อย เริ่มวางแผนการเดินทางสำหรับวันนี้
ออกเดินทางตอนพลบค่ำ กินอาหารค่ำในตอนที่ถึงเมืองใกล้กับชายขอบป่า…
ท่ามกลางการพึมพำตามลำพัง ฟอร์สพลิกไปยังหน้าข่าวเกี่ยวกับทะเล
ทันใดนั้น สายตาของเธอพลันหยุดนิ่งเมื่อได้เห็นชื่อที่คุ้นเคย
เกอร์มัน·สแปร์โรว์!
นักผจญภัยเสียสติรายนี้ปรากฏตัวในทะเลอีกครั้ง คราวนี้เป็นการขึ้นเรือทิวลิปดำพร้อมกับชาววัยกลางคนที่รู้จักกันในนาม ‘กงสุลมรณะ’ โดยชายคนดังกล่าวได้สังหาร ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์และทำให้ลำดับนายพลโจรสลัดปั่นป่วนอีกครั้ง
“…” ฟอร์สตบหน้าอกตัวเองโดยไม่รู้ตัว ไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังดีใจเรื่องใด
ทันใดนั้น เธอเกิดความรู้สึกที่ว่า เรื่องราวของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ช่างยอดเยี่ยมราวกับตำนาน สามารถนำไปเขียนเป็นหนังสือ!
น่าเสียดายที่เขาเป็นพวกคุยด้วยยาก ไม่อย่างนั้นเราคงสามารถติดต่อเพื่อเขียนหนังสือชีวประวัติและช่วยตีพิมพ์… หึหึ… แต่ถ้าเราตั้งชื่อหนังสือว่า ‘เกอร์มัน·สแปร์โรว์’ คงไม่แคล้วตกเป็นเป้าหมายของหน่วยพิเศษจากทางการ… ฟอร์สขบคิดติดตลก จากนั้นก็ได้ยินเสียงกุญแจสอดเข้าไปในรูกุญแจ
เมื่อเงยหน้าขึ้น เธอเห็นซิลกำลังผลักประตูเปิดเข้ามา ตรงเข้ามาในห้องนั่งเล่น
“ทำไมวันนี้กลับเร็ว?” ฟอร์สถามอย่างประหลาดใจ
ซิลสางผมสีทองและกล่าว
“วันนี้ไปพบ MI9 มาและรับงานใหม่”
“งานอะไร” ฟอร์สลุกนั่ง ถามด้วยความสงสัย
ซิลทิ้งตัวลงบนโซฟาเดี่ยว
“ตรวจสอบภูมิหลังของนักผจญภัยเสียสติ เกอร์มัน·สแปร์โรว์… จากข้อมูลของ MI9 ผู้วิเศษที่แข็งแกร่งรายนี้ใช้ชื่อปลอม เอกสารประจำตัวก็ปลอม มีโอกาสสูงที่จะมาจากเบ็คลันด์… พวกเขาสงสัยว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์อาจมีตัวตนอื่นที่นี่ รวมถึงพวกพ้อง”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘พวกพ้อง’ มุมปากฟอร์สกระตุกแผ่วเบาอย่างมิอาจหักห้าม อยากบอกกับซิลว่า ข้อสันนิษฐานของ MI9 ถูกต้องแล้ว พวกพ้องของเกอร์มัน·สแปร์โรว์กำลังนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเธอ
หญิงสาวไอกระแอมเล็กน้อย แสร้งถามหน้านิ่ง
“ทำไมถึงต้องสืบหาภูมิหลังของเกอร์มัน·สแปร์โรว์? เขาทำอะไรเข้าอีกแล้ว?”
ซิลชำเลืองหนังสือพิมพ์ที่วางด้านข้างฟอร์ส
“ยังไม่ได้อ่านข่าวทางทะเลของวันนี้หรือ? เกอร์มัน·สแปร์โรว์ฆ่า ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์และถูกขนานนามให้เป็นนักผจญภัยที่แข็งแกร่งที่สุดในทะเล… แต่ว่า คนของ MI9 บอกกับฉันว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์น่าจะนับถือศาสนาที่ศรัทธาในตัวตนลึกลับนามว่าเดอะฟูล ข่าวนี้มาจากหลายแหล่ง ทั้งชุมนุมแสงเหนือและโรงเรียนกุหลาบ”
ฉันเองก็ยืนยันเรื่องนั้นอีกเสียง… พวกเขาพูดถูก… ฟอร์สยิ้มแห้ง
“ฟังดูเป็นงานที่อันตราย”
“ใช่” ซิลพยักหน้า “แต่ฉันแค่จะรวบรวมข้อมูล ไม่สืบสาวลึกไปกว่านั้น”
ฟอร์สไม่สานต่อบทสนทนา หันไปพูด
“ฉันเตรียมยาเสร็จแล้ว พวกเราเข้าป่าเดแลร์วันนี้กันเลยไหม?”
ซิลกลายเป็นลำดับ 7 ‘นักสอบปากคำ’ ตั้งแต่เมื่อสองสามวันก่อน ตอนนี้เริ่มชำนาญพลังใหม่ที่ชื่อว่า ‘ทะลวงจิต’
“ก็ได้” ซิลยืนขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง “ไปกันเลย”
“เห? รอก่อนสิ ฉันคิดว่าช่วงพลบค่ำน่าจะ…” ฟอร์สโต้แย้งอย่างไม่เห็นด้วย
เธอยังคงยึดมั่นใจอุดมคติการผัดวันประกันพรุ่งจนถึงวินาทีสุดท้าย
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ฟอร์สถูกซิลลากออกจากบ้านพร้อมกับนำสิ่งของต่างๆ ติดตัวไปด้วย ขึ้นรถม้าเช่า นั่งไปลงสถานีใต้ดินที่อยู่ใกล้เคียง
ท่ามกลางเสียงหวูดดังสนั่น รถจักรไอน้ำคันใหญ่ลากงูเหล็กตัวสีดำเข้าสู่ชานชาลาและจอดลงท่ามกลางแสงโคมไฟสองฝั่ง
ฟอร์สและซิลยืนรออยู่ด้านนอก คอยให้ผู้โดยสารคนอื่นทยอยลงมา
ทันใดนั้น พวกเธอเห็นถุงมือแดงสองข้าง
เจ้าของถุงมือสีแดงเป็นชายในวัยสามสิบ สวมเชื้อสีขาวและเสื้อกันลมสีดำ ปกเสื้อยกสูงจนปิดคางและริมฝีปาก
ดวงตาสีเขียวเข้ม จอนสีน้ำตาลทอง ในมือถือกล่องสีเงินขนาดใหญ่ที่สามารถใส่ไวโอลินลงไป
ฟอร์สและซิลมองหน้ากัน ก้มหน้าลงและจ้องปลายรองเท้าของอีกฝ่าย
…
ในฐานะอาวุโสใหญ่ของเหยี่ยวราตรีแห่งโบสถ์รัตติกาล หนึ่งในยี่สิบสองผู้อำนาจแห่งศาสนจักร หนึ่งในสามบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดในถุงมือแดง เครสไทน์·ซีสม่าไม่ใช่คนบ้าพิธี แต่ชอบไปไหนมาไหนคนเดียว โดยสารขนส่งสาธารณะของพลเรือน ทำตัวราวกับเป็นนักบวชสมถะทั่วไป
หลังจากเปลี่ยนไปนั่งรถไฟใต้ดินเพื่อขึ้นมายังเขตเหนือ มันเช่ารถม้าและตรงไปยังวิหารนักบุญแซมมวลและเข้าพบอาร์ชบิชอปแห่งมุขมณฑลเบ็คลันด์ นักบุญแอนโทนี·สตีเวนสัน
“ถัดจากนี้คงต้องรบกวนคุณสักสองสามสัปดาห์” หลังจากทักทายตามมารยาทและสรรเสริญเทพธิดา ซีสม่าหาที่นั่นและกล่าว
อาร์ชบิชอปใบหน้าเกลี้ยงเกลา นักบุญแอนโทนี่ในชุดนักบวชสีแดงนั่งลง ครุ่นคิดสักพักก่อนจะตอบ
“เกี่ยวกับอินซ์·แซงวิลล์?”
“ถูกต้อง” ซีสม่าพยักหน้ารับ “องค์สันตะปาปารบกวนให้ผมมาแจ้งคุณว่า หนึ่งในข้ารับใช้แห่งเทพธิดา หัวหน้าสำนักชีรัตติกาล มาดามอาเรียนน่า จะมาถึงเบ็คลันด์ในอนาคตอันใกล้”
นักบวชรายนี้คืออันดับหนึ่งจากทั้งหมดสิบสามอาร์ชบิชอป
โดยไม่รอให้นักบุญแอนโทนีตั้งคำถาม มันอธิบายอย่างละเอียด
“มาดามอิลิยาพบข้อมูลที่สำคัญจำนวนมากจากวิญญาณอินซ์·แซงวิลล์ รวมถึงปัญหาในด้านสภาพจิตใจของมันที่ 0-08 ใช้เป็นช่องโหว่ในการหลบหนี นอกจากนั้นยังมีรายละเอียดเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างนิกายแม่มดกับราชวงศ์… หลังจากเป็นคนบงการโศกนาฏกรรมมหาหมอกควัน อินซ์·แซงวิลล์ถูก 0-08 หักหลังจนถูกวิญญาณมาร ‘เทวทูตสีชาด’ สิงร่าง เดินทางไปยังทวีปใต้ตามลำพังเพื่อวางกับดักล่อมาดามอิลิยา… เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือ ในเศษเสี้ยวความทรงจำของอินซ์·แซงวิลล์ มีซากปรักหักพังใต้ดินที่สำคัญมากตั้งอยู่บริเวณชานเมืองฝั่งทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเบ็คลันด์ ใกล้กับแม่น้ำทัสซอค… งานของผมคือการตามหาซากปรักหักพังดังกล่าว”
นักบุญแทนโทนีนั่งฟังสักพัก ถามอย่างครุ่นคิด
“อินซ์·แซงวิลล์ไม่ทราบตำแหน่งที่แน่ชัด? เขาไม่เคยไปที่นั่น?”
ซีสม่าส่ายหน้าพลางตอบ
“เขาเคยเข้าไป แต่เป็นการถูกพาเข้าไป จึงไม่พบข้อมูลที่เกี่ยวข้อง”
นักบุญแอนโทนีพยักหน้ารับรู้พร้อมกับกล่าว
“พอจะทราบหรือยังว่ากลุ่มใดของราชวงศ์ที่ร่วมมือกับอินซ์·แซงวิลล์?”
“ยัง” เครสไทน์·ซีสม่าเว้นวรรค “โดยทั่วไปแล้ว ไม่ว่าผู้สมรู้ร่วมมือจะปลอมตัวหรือไม่ แต่ถ้าเคยพบกัน จะต้องหลงเหลือความทรงจำที่สอดคล้อง ทว่า ร่างวิญญาณของอินซ์·แซงวิลล์ไม่มีเบาะแสของเรื่องนี้เลย ราวกับความทรงจำนั้นไม่เคยมีอยู่”
“บางทีอาจเป็นพลังของพันธสัญญา เป็นสัญญาที่รุนแรงจนครึ่งเทพลำดับ 4มิอาจขัดขืน เราต้องพึงระวังเจ้าของพันธสัญญาไว้ด้วย” นักบุญแอนโทนีพยักหน้าอีกครั้ง
มันครุ่นคิดสักพัก กล่าวต่อ
“ในโทรเลขไม่ได้เขียนอธิบายไว้มากนัก จึงไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตกลงแล้วใครฆ่าอินซ์·แซงวิลล์?”
เครสไทน์·ซีสม่าหายใจเข้าออกเชื่องช้า
“ชื่อที่คุณจะไม่มีทางเชื่อ… ไคลน์·โมเร็ตติ”
“เหยี่ยวราตรีที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ทิงเก็น?” รอยย่นบนหน้าผากแอนโทนีลึกขึ้น
“ถูกต้อง… จากรายงานของอิลิยา ไม่มีใครทราบว่า ทำไมไคลน์·โมเร็ตติผู้ที่อยู่เพียงลำดับ 8 ถึงคืนชีพกลับมาได้ และใช้วิธีใดสังหารครึ่งเทพที่ครอบครอง 0-08 ได้ภายในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปี” กล่าวจบ สีหน้าเครสไทน์·ซีสม่าเปลี่ยนไป “องค์สันตะปาปาบอกให้เราเก็บเรื่องนี้เป็นความลับสุดยอด ห้ามเปิดเผยให้ใครทราบนอกจากเหล่าอาร์ชบิชอปและอาวุโสใหญ่ นอกจากนั้น ห้ามสืบสวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับไคลน์·โมเร็ตติ ให้คิดเสียว่าเขายังนอนในหลุมศพ”
นักบุญแอนโทนีเงียบงันสักพัก ก่อนจะทำหน้าคล้ายกับฉุกคิดบางสิ่งได้ จึงพยักหน้าและกล่าว
“บางที… เขาอาจเป็นอีกหนึ่งในข้ารับใช้ของเทพธิดา…”
ซีสม่าเงยศีรษะขึ้น จ้องหน้านักบุญแอนโทนีราวกับอีกฝ่ายเสียสติไปแล้ว
ริมฝีปากของมันขยับสองสามหน แต่สุดท้ายก็มิได้กล่าวคำใด
แอนโทนีไม่สานต่อบทสนทนา ชำเลืองไปทางประตูและกล่าวเสียงขรึม
“งานของคุณเกี่ยวกับการสืบสวนเป็นหลัก อาจต้องใช้กำลังคนพอสมควร… อา… หน่วยของโซสต์เพิ่งเสร็จภารกิจจากทวีปใต้พอดี ผมจะโยกย้ายให้พวกเขาคอยรับคำสั่งจากคุณ”
“ตกลง” เครสไทน์·ซีสม่าไม่โต้แย้ง
…
“พักหนึ่งวัน ก่อนจะกลับเบ็คลันด์?” เลียวนาร์ดเงยศีรษะ จ้องหน้าหัวหน้าหน่วยโซสต์
โซสต์มองเข้าไปในดวงตาเลียวนาร์ดที่เงียบมาพักใหญ่ด้วยความเห็นใจ พยักหน้ารับ
“ใช่”
หลังจากเฝ้ามอง ‘จอมอาคมวิญญาณ’ เดินออกจากห้อง เลียวนาร์ดถอนหายใจยาวพลางเอนหลังพิงกำแพง
ทันใดนั้น แสงสีแดงเข้มพลันท่วมท้นการมองเห็น สร้างความประหลาดเหนือพรรณนา
………………………………..