Low Dimensional Game – เกมส์แห่งโลกมิติ - ตอนที่ 45
“สากูน… สากูน…”
“บูม!”
“บึ้ม!”
สากูนพุ่งชนกำแพงหินอย่างต่อเนื่องในขณะที่ควบคุมพลังของมันเองและพยายามจะหลบหนีจากดันเจี้ยนใต้ดิน เมื่อใช้พลังของมัน น้ำในดันเจื้ยนจะระเหยไปเรื่อยๆแต่น้ำจืดยังคงไหลเข้าสู่เซลล์
ลูซีหยูสังเกตสากูนในคุกจากหน้าต่างเล็กๆขนาดเท่ากำปั้นมือ ไม่นานเค้าก็ส่งสากูนไปที่คุกใต้ดินโดยใช้ประตูมิติ ลูซีหยูพยายามค้นหาขีดจำกัดของพลังของสากูน “ตอนนี้อุณหภูมิสูงสุดที่สากูนสามารถควบคุมได้คือ783องศา อุณหภูมิต่ำสุดคือ-70องศา”
สากูนรู้ว่าลูซีหยูอยู่ที่ไหนและเริ่มโจมตีที่ไปลูซีหยูทันที อย่างไรก็ตามลูซีหยูเป็นคนเดียวที่ให้พลังของเค้ากับสากูน สิ่งที่เค้าต้องการจะทำคือควบคุมอนุภาคในบริเวณรอบๆด้วยพลังจิตของเค้า สากูนควบคุมร่างกายของมันด้วยพลังจิตของมันและพุ่งไปรอบดันเจื้ยนน้ำอย่างต่อเนื่องราวกับไม่รู้จักคำว่าเหนื่อย!
ลูซีหยูรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “อันที่จริงต้นแบบสิ่งมีชีวิตมันเรียบง่ายเกินไป พลังก็ธรรมดา มีข้อจำกัดมากมายเกินไปด้วย แต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะสากูนไม่มีสติปัญญาและไม่รู้ว่าจะใช้พลังของตัวเองให้เหมาะสมได้อย่างไร”
อย่างไรก็ตามสากูนไม่ได้ทำอันตรายกับลูซีหยูเพียงอย่างเดียว ด้วยความสามารถในการควบคุมอุณหภูมิและพลังจิตที่ทรงพลังมันจะสามารถทำลายหมู่บ้านริมทะเลหลายแห่งและสังหารผู้คนนับพันได้ เปลือกที่ทนทานและความสามารถในการงอกใหม่นั้นทำให้มันไม่จำเป็นต้องกลัวการโดนโจมตี ถ้ามันเข้าไปในเมืองมันจะเป็นหายนะกับคนธรรมดา!
หลังจากสังเกตมันไปซักพักลูซีหยูก็เปิดเผยความลับทั้งหมดที่เกี่ยวกับสากูน เค้าปล่อยสากูนลงทะเลใต้และตามมันไปด้วยเรือของเค้า แม้ว่าสากูนสามารถบินได้แต่มันก็ไม่สามารถที่จะอยู่เหนือน้ำได้เป็นเวลาน้ำและใช้เวลาส่วนใหญ่ในการอยู่ใต้น้ำ มันยากที่จะเห็นสากูนขึ้นจากน้ำ หลังจากลูซีหยูใช้เวลาสองสามวันในการสังเกตรูปแบบการว่ายน้ำของมัน เค้าก็เลิกสนใจมันอย่างสิ้นเชิง เมื่อมันได้หนีจากลูซีหยูและการทรมานของเค้า สากูนก็หายไปในทะเลในโลกของมาเรีย
สากูนเป็นสิ่งมีชีวิตในตำนานตัวแรกในโลกมาเรีย สิ่งมีชีวิตที่สามารถควบคุมพลังเหนือธรรมชาติได้อย่างแท้จริง มันไม่ได้มีนักล่าหรือศัตรูอยู่ในมหาสมุทร มันกลายเป็นราชาที่ไม่มีใครเทียบได้ในมหาสมุทร เนื่องจากจิตสำนึกที่ยุ่งเหยิงของมัน มันจึงเป็นเหมือนสัตว์ป่าที่พุ่งไปทั่วโลก สิ่งที่ลูซีหยูไม่ได้คาดคิดก็คือสากูนจะเริ่มก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆที่อาศัยในมหาสมุทร
สากูนไม่ได้สนใจที่จะควบคุมหรือยับยั้งเซลล์ที่ได้รับการแก้ไขซึ่งแตกต่างจากลูซีหยู แม้ว่าเซลล์จะออกมาอย่างไรสากูนก็ไม่ได้พยายามที่จะรวมรวบมัน มันมักจะวิ่งเข้าไปชนหินใต้มหาสมุทรหรือเกาะและก็ได้รับบาดเจ็บ เซลล์ที่มันปล่อยออกมาในขณะที่มันได้รับบาดเจ็บก็ไหลลงสู่มหาสมุทรอย่างต่อเนื่อง สิ่งมีชีวิตหลายตัวที่ได้สัมผัสกับเซลล์ก็เริ่มกลายพันธุ์ สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่เริ่มปรากฏตัวในทะเล พวกมันถูกเรียกว่าสัตว์ประหลาดทะเลในขณะที่สากูนถูกประกาศให้เป็นเทพแห่งท้องทะเล
ขณะที่สากูนกำลังท่องไปในมหาสมุทร ไข่ของมันก็ถูกเรียกว่า ‘ลูกหลานแห่งทะเล’ มีหมึกขนาดใหญ่ หมึกกล้วย และแมงกะพรุนที่สามารถปล่อยไอระเหยที่ระเบิดได้ นอกจากนี้ยังมีปลาที่เหมือนขีปนาวุธ ร่างกายของพวกมันใหญ่โตเมื่อเทียบกับปกติ พวกมันสามารถเคลื่อนที่ได้หลายสิบเมตรในครั้งเดียว
สากูนนั้นมีขนาดเล็กกว่าสัตว์ทะเลส่วนใหญ่แต่สากูนสามารถลดหรือเพิ่มอุณหภูมิได้อย่างง่ายดายภายในระยะหลายร้อยเมตร มันสามารถเปลี่ยนร่างของคนให้กลายเป็นเถ้าหรือแช่แข็งไว้ในน้ำแข็งได้ ไม่สำคัญว่าขนาดจะใหญ่ขนาดนั้น สำหรับคนทั่วไปมันเหมือนพระเจ้าที่ไม่สามารถสู้ด้วยได้
แม้แต่ลูกหลานแห่งทะเลก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะต่อสู้กับคนธรรม ลูกหลานแห่งทะเลเหล่านี้จะวางไข่จำนวนมาก หลังจากผ่านไปสองสามทศวรรษสัตว์ประหลาดทะเลขนาดใหญ่ก็จะถือว่าเป็นลูกของสากูน สัตว์ประหลาดทะเลเหล่านี้บางส่วนได้รับความสามารถของสากูนผ่านเลือดของสากูนในปริมาณเล็กน้อย บางก็สามารถแช่แข็งสิ่งของได้ บางก็สามารถใช้ไฟได้ บางก็มีผิวที่แข็งแรงในขณะที่ตัวอื่นมีขนาดใหญ่มาก
ในขณะที่อยู่นอกมหาสมุทร ผู้คนในทวีปเอเลนต่างก็หลงใหลในมหาสมุทรมากขึ้นเนื่องจากพวกเค้าจับปลาได้มากขึ้นเรื่อยๆ ความลึกลับของมหาสมุทรได้ดึงดูดชาวประมงและนักสำรวจจากเอเลน
มีอีกหลายประเทศปรากฏบนเอเลน หลังจากพันปีทั้งมนุษย์และออร์คก็ได้พัฒนาประเทศของตนเองและให้กำเนิดวัฒนธรรมและอารยธรรมต่างๆ เผ่าพันธุ์ทั้งสองค่อยๆแผ่อิทธิพลออกไปเรื่อยๆตลอดพื้นที่ส่วนใหญ่ของเอเลน และตอนนี้พวกเค้าก็มุ่งไปที่มหาสมุทรอันกว้างใหญ่
มหาสมุทรที่ไม่มีขอบเขตนั้นค่อนข้างโรแมนติกสำหรับผู้ชาย มีความกลัวในความไม่รู้แต่ก็มีความเพ้อฝันด้วย นอกเหนือจากการเก็บเกี่ยวโดยชาวประมง ผู้คนก็ค้นพบว่าการแล่นเรือใบนั้นทำให้พวกเค้าเข้าถึงประเทศทางตอนเหนือจากทางใต้ได้ง่าย
การค้าขายโดยใช้เส้นทางบนบกนั้นต้องผ่านภูเขามากมายนับไม่ถ้วนและผ่านประเทศต่างๆ ภาษีและค่าผ่านทางระหว่างทางนั้นทำให้หมดกำลังใจที่จะค้าขายแต่กับมหาสมุทรนั้นแตกต่างกัน มันสามารถช่วยให้เค้าประหยัดเงินและเวลาได้มาก
เมื่อนักสำรวจคนแรกกลับมาพร้อมกับเครื่องเทศอันมีค่า สัตว์เลี้ยง พืช สมุนไพร และสิ่งของอื่นๆและสร้างรายได้มหาศาล ผู้คนจำนวนมากเริ่มแห่กันไปที่มหาสมุทรและเริ่มต้นเส้นทางการค้าทางทะเล
กองเรือเริ่มมุ่งหน้าเข้าสู่มหาสมุทรพร้อมทั้งความหวัง เพียงชั่วครู่มหาสมุทรก็กลายเป็นความหวังของโลก ไม่มีอะไรที่ทำเงินได้มากกว่าการไปเที่ยวทะเล หากมีใครโชคดีพอที่ค้นพบเส้นทางในทะเลที่ปลอดภัยได้ พวกเค้าก็จะได้ยกระดับสถานะครอบครัวของพวกเค้าได้
พ่อค้า ขุนนาง ชาวนา แม้แต่ทาสและเจ้าหน้าที่ของรัฐต่างก็เริ่มมุ่งหน้าเข้าสู่ทะเล ที่จอดผุดขึ้นมาทุกหนทุกแห่งและหมู่บ้านริมทะเลก็ขยายตัวและเติบโตขึ้น การเติบโตของการค้าทางทะเลนี้นำไปสู่การเติบโตในอุตสาหกรรมการต่อเรือ ผู้คนเริ่มใช้ประสบการณ์จากการแล่นเรือใบและปรับปรุงเป็นเรือไม้อย่างง่าย สร้างเรือที่มีเสากระโดง ในตอนแรกเสากระโดงไม่สามารถเคลื่อนไหวได้และเรือก็ต้องใช้ไม้พาย ในไม่ช้าเรือที่มีเสากระโดงที่เคลื่อนย้ายได้ก็ถูกสร้างขึ้นเช่นกัน ทำให้เรือแล่นไปข้างหน้าได้แม้จะมีลมพัดจากทิศทางอื่น
ปัจจุบันมีเรือที่ยาว30เมตร กว้าง6-8เมตร ใหญ่พอที่จะบรรทุกสินค้าได้60ตันข้ามมหาสมุทร ผู้คนขับเรือเหล่านี้ข้ามทะเลแต่พวกเค้าก็ยังไม่สามารถพิชิตมหาสมุทรได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อใดก็ตามที่เรือแล่นเข้าไปในเขตอันตรายหรือเจอพายุก็มีโอกาสที่เรือจะจมได้
และในขณะที่ผู้คนกำลังผจญภัยในมหาสมุทร พวกเค้าก็พบกันฝันร้ายที่สุดในความทรงจำของพวกเค้า!
กองเรือแล่นไปบนทะเลอันเงียบสงบ เรือที่แข็งแกร่งมีเสากระโดง3อัน แม้ว่าพวกเค้าจะตกอยู่ในพายุหรือสึนามิขนาดเล็ก เรือก็สามารถรอดได้ตลอด กองเรือนี้เป็นของอาณาจักรRosa d’Oro
กัปตันชอร์ดยืนอยู่บนดาดฟ้ามองดูทะเลอันเงียบสงบ วันนี้ไม่มีสัญญาณของพายุใดๆ ทุกอย่างนาจะเป็นไปด้วยดีและชอร์ดก็อารมณ์ดี วันนี้ทะเลอาจจะน่าเบื่อไปบ้าง ไม่มีผู้หญิงไม่มีกิจกรรมสันทนาการ กะลาสีของเค้ากำลังเล่นเกมไพ่ที่ได้รับความนิยมในหมู่มนุษย์บนเอเลน เกมนี้เรียกว่าการ์ดของกะลาสีเนื่องจากคนที่คิดค้นเกมนี้เป็นกะลาสี
ลูกเรือส่วนใหญ่เล่นไพ่และดื่มอยู่บนดานฟ้า ลูกเรือบางคนกำลังขัดดานฟ้าและตรวจสอบเสากระโดง ในไม่ช้าก็จะเป็นเวลาของอาหารกลางวัน คนในห้องครัวจึงไม่ว่างมาเล่นไพ่ ผู้คนบนเรือเดินสมุทรเป็นชุมชนเล็กๆ
กะลาสีผู้เบื่อหน่ายที่ยืนอยู่บนดานฟ้าได้เงยหน้าและเห็นเงาดำในน้ำ เค้าลูบหัวล้านของเค้าแล้วถามอย่างสงสัย
“นั่นมันอะไร?”