Marvel : The King ราชาของโลกมาเวล - ตอนที่ 123
Marvel: The King ราชาของโลกมาเวล
ตอนที่ 123 นิวยอร์ค ฮิโรชิ นากามูระ
ถึงแม้ว่าซู่เจินจะเคยลองวัดขนาดของแคลร์ด้วยสายตามาก่อนแล้ว แต่เขาก็ยังอดรู้สึกตื่นตาตื่นใจไม่ได้เมื่อเขาได้ลองสัมผัสมันจริง ๆ ร่างกายของเธอมันเต็มไปด้วยความเยาว์วัย และเสน่ห์อันน่าหลงใหล
ในขณะที่แคลร์ในตอนนี้กําลังเขินอายเป็นอย่างมาก และกําลังนั่งหลับตารอเป็นเวลานาน แต่ซู่เจินก็ยังไม่ได้ทําอะไรกับเธอ ทําให้เธอค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างสงสัย และทันใดนั้นเธอก็สังเกตเห็นสายตาของซู่เจินที่จ้องมาที่เธออย่างร้อนแรง เธอก็รีบปิดตาลงอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นร่างกายของเธอมันก็ค่อย ๆ ร้อนขึ้นเหมือนกับว่ามีอะไรอยู่ภายในร่างกายของเธอ
ที่ด้านนอกของตัวบ้านมีลมอ่อน ๆ พัดไปพัดมาอยู่ตลอดเวลา พร้อมกับเสียงลมหายใจ …
ในป่าที่เงียบสงัดในตอนนี้มันเต็มไปด้วยเสียงหายใจอย่างรุนแรงดังขึ้นมาเป็นระยะ ๆ และในบางครั้งเสียงมันก็รุนแรงจนทําให้นกถึงกับหวาดกลัวจนบินหนีขึ้นไปบนท้องฟ้า พร้อมกับเสียงอันไพเราะ ๆ ที่ค่อย ๆ ดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ….
ไม่รู้เหมือนกันว่าเวลามันผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว แต่ตอนนี้เสียง ๆ มันค่อย ๆ เบาลงอย่างช้า ๆ และเงียบไป
“คุณไม่ต้องพูดอะไรหรอก … ผมรู้นะว่าคุณพอใจกับมันมาก ซึ่งผมก็เช่นเดียวกัน!”
ในขณะที่แคลร์กําลังจะพูดอะไรบางอย่าง ซู่เจินก็พูดขัดจังหวะเธอขึ้นมาก่อนพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ
“คุณรู้จริง ๆ งั้นหรอว่าฉันกําลังคิดอะไรอยู่ ?” แคลร์ถามขึ้นมา
“มันเป็นความสามารถในการอ่านใจของผู้อื่นได้ ซึ่งผมก็เพิ่งได้มันมาไม่นานนี้เอง และ ในตอนนี้ผมก็พยายามฝึกควบคุมมันอยู่เพื่อที่ผมจะได้ไม่ต้องได้ยินในสิ่งที่ไม่ต้องการได้ยิน” ซู่เจินอธิบายขึ้นมาอย่างช้า ๆ
“ฉัน ฉันจะได้เจอคุณอีกไหม ?” แคลร์ไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอทําเพียงแค่จ้องมองไปที่ซู่เจินและคิดขึ้นมาภายในใจเท่านั้น
ซู่เจินยิ้มขึ้นมาและพูดว่า “แน่นอน ถึงแม้ว่าผมจะจากโลกนี้ไปแล้ว แต่ผมก็ยังมาหาคุณได้ตลอดเวลา”
แคลร์ยิ้มขึ้นมาอย่างอ่อนหวาน และไม่ได้คิดจริงจังเกี่ยวกับมันมากนัก ซึ่งซู่เจินก็ไม่ได้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน
ด้วยสนามประลองซู่เจินสามารถเรียกตัวของแคลร์มาได้ตลอดเวลา ยิ่งไปกว่านั้นในตอนนี้ระบบมันได้แจ้งเตือนค่าความสัมพันธ์ของแคลร์ที่เพิ่มขึ้นมาอีกครั้ง
และมันก็เป็นการเพิ่มที่น่าประทับใจมาก 80%!
ทําให้ในตอนนี้เขามีค่าความสัมพันธ์กับแคลร์สูงถึง 175%
หนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าเปอร์เซ็นต์ ? เดิมที่ซู่เจินคิดว่าหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์มันคือขีดจํากัน ซึ่งเขาก็ไม่คิดเหมือนกันว่ามันจะเป็นแบบนี้
ด้วยค่าความสัมพันธ์ที่สูงมากขนาดนี้ เขาน่าจะพาเธอออกจากดันเจี้ยนไปยังโลกมาเวลได้ใช่ไหม ?
หลังจากที่แคลร์นอนพักจนหายเหนื่อยแล้ว ซู่เจินก็ช่วยเธอแต่งตัว พร้อมกับค่อย ๆ เดินออกมาจากบ้านต้นไม้ และเดินกลับไปที่รถ
และหลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็กลับเข้ามาภายในเมือง และซู่เจินก็ขับรถไปส่งถึงที่บ้าน
“คุณ … คุณจะกลับมาหาฉันจริง ๆ ใช่ไหม ?” แคลร์มองไปที่ซู่เจินพร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยความกังวลเล็กน้อย
ซู่เจินยิ้มและพูดขึ้นมาว่า “อืม! เอาล่ะ กครั้งอย่างแน่นอน ในเร็ว ๆ นี้”
มันถึงเวลาที่ผมต้องไปแล้ว พวกจะได้พบกันอีก
หลังจากกลับมาที่เมือง แคลร์เริ่มปล่อยให้ซูซานวางตัวเองลง
เมื่อมองแคลร์ที่เดินจากไป ทันใดนั้นซู่เจินก็พบชาวเฮติกําลังเดินเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันซู่เจินก็รู้ตัวแหน่งของเซอร์ร่าแล้วเช่นกัน ซึ่งเขาก็ไม่คิดเหมือนกันว่าเซอร์ร่า ในตอนนี้จะหนีออกไปจากเทกซัสเรียบร้อยแล้ว
” เขาหนีไปเร็วมาก แต่ก็ชั่งมันเถอะ .. ฉันจะปล่อยให้คุณมีชีวิตอยู่อีกสักสองสามวันก็แล้วกัน”
ซู่เจินไม่อยากเสียเวลากับการไล่ล่าเซอร์ร่ามากนัก เพราะว่าเป้าหมายของเขาคือนิวยอร์ค
ที่นิวยอร์คในตอนนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่กําลังเดินสัญจรเต็มไปหมด
ซู่เจินพาชาวเฮติออกจากเทกซัสเพื่อมุ่งหน้าไปที่นิวยอร์ค ซึ่งนิวยอร์คในตอนนี้มันก็เต็มไปด้วยผู้คนที่เดินพลุกพล่านเต็มถนนไปหมด ทําให้ซู่เจินในตอนนี้กําลังมองไปรอบ ๆ ด้วยความสนใจ เปรียบเสมือนกับว่าเขาเป็นนักท่องเที่ยวที่กําลังเที่ยวชมสถานที่ที่สวยงามต่าง ๆ
“ถึงแม้ว่าสภาพแวดล้อมส่วนใหญ่ของที่นี่จะเหมือนกัน แต่ตึกหลาย ๆ อย่างที่ฉันเคยเห็นมันหายไป เช่น ตึกของสตาร์กอินดัสตรีส์หรือตึกของ Damage Control
ซู่เจินเปรียบเทียบระหว่างนิวยอร์คของที่นี่กับโลกมาเวล และถึงแม้ว่ามันจะเป็นเมืองแห่งเดียวกัน แต่มันก็ให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เพราะว่าผู้คนของที่นี่เต็มไปด้วยความผ่อนคลายและความมีชีวิตชีวา ซึ่งมันอาจจะเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ได้มีแรงกดดันเหมือนกับที่โลกมาเวลก็ได้
เพราะถึงอย่างไรท้ายที่สุดแล้ว ที่นี่ก็ไม่มีมนุษย์ต่างดาวมาบุกบ่อยเหมือนกับที่โลกมาเวล
หลังจากเดินไปได้ไม่นานซู่เจินก็เดินมาถึงไทม์สแควร์อย่างรวดเร็ว
มีตึกที่สูงระฟ้าอยู่รอบ ๆ ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ จออิเล็กทรอนิกมากมาย ทําให้ผู้คนที่เห็นจะต้องตื่นตาตื่นใจ เห็นได้ชัดว่าที่นี่มีคนอยู่มากมายที่อื่น ๆ ซึ่งในจํานวนที่มากขนาดนี้มันก็มีชาวเอเชียอยู่จํานวนมากเช่นกัน
เมื่อซู่เจินลองเดินไปที่ตู้หนังสือที่อยู่ข้าง ๆ เขาก็เห็นหนังสือการ์ตูนอยู่เล่มหนึ่ง
โดยหน้าปกของหนังสือการ์ตูนเล่มนี้มีรูปของชายชาวเอเชียคนหนึ่งที่กําลังสวมแว่นอยู่ที่ไทม์สแคร์ด้วยท่าทางประหลาดใจและตื่นเต้น
ฮิโรชิ นากามูระ!
ซู่เจินหยิบหนังสือการ์ตูนเล่นนั้นขึ้นมาพร้อมกับเปิดอ่านไปสองสามหน้า แต่ทันใดนั้นเจ้าของร้านก็พูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจว่า “เฮ้ ที่นี่ไม่ใช่ห้องสมุดนะ คุณจะยืนเปิดอ่านแบบนี้ไม่ได้!”
ซู่เจินไม่ได้เงียบหน้าขึ้นมามอง แต่เขากับกระดิกนิ้วไปด้านหลัง
ชาวเฮติที่ยืนอยู่ข้างหลังก็รีบเดินเข้าไปจ่ายเงินอย่างรวดเร็ว ทําให้เจ้าของร้านรีบปิดปากอย่างรวดเร็วหลังจากที่เขาได้รับเงิน
หนังสือการ์ตูนเล่นนี้มันไม่ได้หนามากนัก ทําให้ซู่เจินใช้เวลาในการอ่านมันเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น บวกกับจํานวนหน้าที่มีอยู่เพียงแค่นิดเดียว ซึ่งเนื้อหาในตอนแรกก็คือ ฮิโรชิ นาการมูระ ย้อนเวลากลับไปที่ญี่ปุ่นเพื่อไปบอกเกี่ยวกับเรื่องความสามารถของเขาให้กับเพื่อนของเขา ที่ไม่ยอมเชื่อ หลังจากนั้นเขาก็เดินทางข้ามกาลเวลากลับไปที่นิวยอร์คโดยนั่งอยู่ในรถไฟใต้ดิน
สวนเนื้อหาในตอนท้ายของเรื่องก็คือ ฮิโรชิ นากามูระ ใช้ความสามารถของเขาขึ้นมาอีกครั้งราวกับว่าเขากําลังจะไปที่ไหนสักหนึ่ง พร้อมกับเนื้อเรื่องที่ตัดจบลงตรงนี้
“ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเพราะฉันสินะ ที่ทําให้เนื้อเรื่องเดิมมันเปลี่ยนไป แต่ … ตอนสุดท้าย นี่มันหมายความว่าอย่างไร ? เพราะว่าเขารู้ว่าฉันมาที่นี่ เขาก็เลยใช้พลังของเขาเพื่อหนีอย่างงั้นหรอ ?”
ซู่เจินขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย เพราะว่าเนื้อหาในการ์ตูนมันยังไม่สมบูรณ์ มันยังมีอะไรบางอย่างที่ขาดหายไปอยู่ ฮิโรชิ นากามูระปรากฏตัวขึ้นที่นิวยอร์คพร้อมกับสร้างเรื่องที่สุดเซอร์ไพรส์นมา ตามมาด้วยการใช้ความสามารถของเขาเพื่อหนีไป
“เฮ้!”
ซู่เจินได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนขึ้นมา โดยที่เสียงของเขานั้นเหมือนกับสําเนียงของคนญี่ปุ่น ? และเมื่อซู่เจินมองไปตามเสียงนั้น เขาก็เห็นว่ากําลังมีชายชาวญี่ปุ่นที่สวมแว่นกําลังอ้าแขนพร้อมกับตะโกนขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นว่า “สวัสดี นิวยอร์ค!”
ฮิโรชิ นากามูระ!
นากามูระตะโกนไปรอบ ๆ ด้วยความตื่นเต้นพร้อมกับเดินไปทักทายคนที่สัญจรไปมาอย่างกับคนบ้า โดยที่เขาตะโกนว่า “ฉันรักนิวยอร์ค!”
ซึ่งเขาก็เป็นคนที่พูดอังกฤษได้ไม่เคยเก่งนัก ทําให้เขาได้แต่พูดคําเดิมซ้ําแล้วซ้ําเล่า โดยบางทีเขาก็ผสมกับคําภาษาญี่ปุ่นเข้าไปด้วย ทําให้คนที่กําลังเดินผ่านไปผ่านมามองไปที่เขาด้วยสายตาแปลก ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
“บุคลิกของเขาค่อนข้างที่จะแตกต่างจากที่ฉันคิดไปสักเล็กน้อย!”
ซึ่งมันก็อาจจะเป็นเพราะว่านากามูระเป็นคนญี่ปุ่นก็ได้ ? ดังนั้นวิธีการแสดงออกของเขาจึงค่อนข้างพิเศษ ? แต่ถึงอย่างไรก็ตามเขาก็เป็นเพียงแค่ชายวัยกลางคนที่ต้องการจะกอบกู้โลกก็เท่า
“สวัสดี”
“สวัสดี”
ในระหว่างที่นากามูระเดินผ่านคนอื่น ๆ เขาก็หันไปทักทายทุกคนด้วยความตื่นเต้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครสนเขาเลยสักนิด จนกระทั่งเขาเดินมาถึงซู่เจิน และกําลังจะพูดทักทายซูเจนขึ้นมา แต่ทันใดนั้นเมื่อเขาลองสังเกตดูดี ๆ แล้วเขาก็พบว่าซู่เจินก็เป็นคนเอเชียเช่นเดียวกัน ทําให้เขาค่อย ๆ พูดขึ้นมาด้วยความไม่แน่ใจว่า “สวัสดี เอ่อ … คุณเป็นคนญี่ปุ่นใช้ไหม ?”
“ผมไม่ใช่คนญี่ปุ่น แต่คุณนั้นเป็นคนญี่ปุ่น รวมถึงครอบครัวของคุณด้วยที่เป็นคนญี่ปุ่น!” ซู่เจินไม่คิดว่านากามูระจะถามเขาขึ้นมาแบบนี้ ทําให้เขามองไปที่นากามูระพร้อมกับพูดขึ้นมาเบา