Memorize - เล่มที่ 15 ตอนที่ 14
“ซูฮยอน! พี่จะรีบตามไปที่โมนิก้านะ!”
“ซูฮยอน คุณพี่ชายเรียกคุณนี่คะ”
“ทำเป็นไม่ได้ยินเถอะครับ”
“ซูฮยอน! ระวังตัวด้วยนะ! ต้องระวังนะ! ซูฮยอน!”
ยิ่งได้ยินเสียงพี่ ผมก็ยิ่งเร่งฝีเท้า
หลังจากปัญหาเรื่องค่าตอบแทนจบลง ผมก็บอกลาพี่ทันที ถึงพี่ชายจะยื้อผมไว้ทุกทางและบอกให้อยู่กินมื้อเย็นด้วยกัน แต่ผมก็ปฏิเสธและตัดบทด้วยข้ออ้างที่ว่ายังมีธุระที่อื่นอีก เรื่องนั้นก็เพื่อตัวผมเอง
นี่คือพี่ชายที่ผมอยากพบและไม่ใช่ว่าผมไม่อยากอยู่กับเขาต่อ แต่ถ้าผมรับคำและยอมอยู่ต่อ ผมกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ เพราะเมื่อเริ่มพึ่งพาพวกเขาแล้วครั้งหนึ่ง ก็จะมีครั้งที่สอง ครั้งที่สามตามมาอีก ผมไม่ได้เริ่มรอบสองเพื่อรอรับการปกป้องจากพี่ชาย
อย่างไรก็ตามการกลับมาพบกันของผมและพี่จบลงแล้ว แต่ยังเหลือปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอยู่
เรื่องแรกคือผู้เล่นที่ผมช่วยชีวิตไว้นั้นเป็นผู้พิทักษ์ทวีปเหนือ เรื่องที่สองคือการบอกความจริงกับพี่ ผมครุ่นคิดเรื่องนั้นแต่ตัดสินใจจะรอไปก่อนสำหรับตอนนี้ อีฮโยอึลจะยังไม่ตื่นจนกว่าจะฟื้นตัวจากอาการที่ยังคงหลงเหลืออยู่ แม้ว่าข้อมูลเกี่ยวกับผู้พิทักษ์จะมีอยู่น้อยมาก แต่ก็มีข้อมูลที่ผมรู้อยู่บ้าง
‘ช่วยชีวิตผู้พิทักษ์ทวีปเหนือและนามแท้ของอีฮโยอึลกับอันซล สุดท้ายก็บอกความจริงกับพี่’
มันน่าจะดีกว่าที่จะใช้เวลาลองคิดทบทวนดูดีๆ แทนที่จะตัดสินใจไปตามอารมณ์ในตอนนี้และเพื่อการนั้นผมต้องแก้ปัญหาที่เจออยู่เสียก่อน
‘จัดการเรื่องการชวนท่านผู้เฒ่าเข้าร่วมเผ่าให้เสร็จก่อนดีกว่า’
ใช่ แน่ใจแล้วว่าต่างฝ่ายต่างก็ยังมีชีวิตอยู่ เท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับตอนนี้
เวลาผ่านไปนานพอสมควรจนดวงอาทิตย์ที่ขึ้นมากลางท้องฟ้าเริ่มฉายแสงยามเย็น ตอนนี้คงได้เวลาไปวาร์ปเกตแล้ว
“ซูฮยอน! พี่จะไปส่งนะ หือ แค่ไปส่ง…!”
“ก็บอกว่าไม่ต้องมาไงเล่า!”
ในที่สุดผมก็ออกวิ่ง
[เสื้อโนเบิลมิธริล]
มิธริลมีหลายชนิด โนเบิลมิธริลเป็นโลหะที่ถูกจัดอยู่ในอันกับสูงสุด เมื่อขุดมิธริลทั่วไปได้สิบกิโลกรัม จะได้โนเบิลมิธริลซึ่งเป็นโลหะที่มีค่าน้อยกว่าสิบกรัม เสื้อตัวนี้เป็นเสื้อที่ผ่านกระบวนการแปรรูปจากการรวบรวมโนเบิลมิธริลและคัดเลือกเส้นด้ายอีกครั้ง ประโยชน์ไม่ต่างจากมิธริลทั่วไปมากนัก แต่ประสิทธิภาพนั้นแตกต่างกันมากจนไม่สามารถเทียบได้
[เสื้อคลุมของอัศวินมังกรสีน้ำเงิน]
มังกรมีตัวตนในฮอลล์เพลนยุคโบราณ เหล่ามนุษย์ต่างก็เกรงกลัวและบูชามังกรซึ่งมีพลังเหนือธรรมชาติ อัศวินมังกรคือมนุษย์ที่ทำพันธะสัญญากับมังกร บางครั้งในบรรดามนุษย์ก็มีคนพิเศษที่สามารถแลกเปลี่ยนความรู้สึกกับมังกรได้อย่างลึกซึ้ง และในแต่ละครั้งมังกรจะเป็นฝ่ายเลือกผู้ที่ตนจะทำพันธะสัญญาด้วยเอง นี่คือเสื้อคลุมที่มังกรสีน้ำเงินมอบเป็นของขวัญให้แก่มนุษย์ที่ทำพันธะสัญญากับตน หนังที่ทำจากผิวหนังของมังกรมีความเหนียวและทนทานต่อเวทมนตร์
ตอนนี้ผมสวมอุปกรณ์ทั้งสามชิ้นที่ได้รับจากเผ่าแฮมิลในคราวนี้แล้ว ผมเปลี่ยนเกียรติยศแห่งวิคตอเรียเป็นต่างหูโดยสวมไว้ที่หูข้างขวาและสวมเสื้อโนเบิลมิธริลไว้ด้านในของเกียรติยศแห่งสวรรค์ ส่วนเสื้อคลุมของอัศวินมังกรสีน้ำเงินนั้น โกยอนจูช่วยเอาคลุมไว้บนไหล่ของผม
ความรู้สึกในขณะที่สวมใส่ค่อนข้างดี เสื้อมีน้ำหนักเบาจนแทบไม่รู้สึก ส่วนเสื้อคลุมจะว่าอย่างไรดี ต้องบอกว่าเหมือนกับถูกโอบอุ้มด้วยน้ำล่ะมั้ง แม้ว่าจะยาวและหนานิดหน่อย แต่ก็ไม่รุงรัง
มันก็ดี ผมไม่คิดว่าจะได้ของที่มีค่า แม้จะไม่ได้แย่งมาแต่ก็รู้สึกผิดแบบแปลกๆ ถึงเกียรติยศแห่งวิคตอเรียจะเป็นเช่นนั้น แต่เสื้อและเสื้อคลุมเป็นอุปกรณ์ที่เดิมทีมีเจ้าของอยู่แล้ว เพราะคะแนนความแข็งแกร่งก็เพิ่มมาถึงเก้าสิบพอยต์ แถมยังลดความเสี่ยงในกระบวนการรักษาด้วย และอุปกรณ์ที่ผมครอบครองอยู่ก็แทบจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ
อย่างไรก็ตามมันก็มาอยู่ในมือของผมแล้วและจะขอคืนตอนนี้ก็คงไม่ได้ ผมให้สัญญาว่าจะผลักดันเผ่าแฮมิลในการเดินทางซึ่งเป็นแผนการในอนาคต พลางจัดการความรู้สึกด้วยการยอมรับด้วยใจที่ขอบคุณ
“ซูฮยอนเป็นคนที่ซับซ้อนมากเลยนะคะ”
“เอ๊ะ”
หลังจากคิดเรื่องอุปกรณ์จบและกำลังเดินไปที่วาร์ปเกต โกยอนจูก็รีบเดินมาอยู่ข้างๆ ผม จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า
“ฉันคิดว่ามันแปลกๆ นิดหน่อยตั้งแต่ตอนที่คุณขอให้ฉันหาข้อมูลเกี่ยวกับเผ่าแฮมิลก่อนหน้านี้ ชื่อก็คล้ายกัน ฉันนึกเอาไว้แล้วเชียว”
“ฮ่าๆ ใช่ไหมล่ะครับ ผมเองก็ลังเลจนกระทั่งได้พบด้วยตัวเองนี่แหละครับ”
“ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ก็ดูนิ่งจังเลยนี่นา คุณพี่ชายดูสับสนมากกว่าอีก~”
“ผมอดทนเอาไว้น่ะ คือ…คุณเองก็ไม่อยากอยู่ต่อแล้วใช่ไหมล่ะครับ”
เมื่อผมพูดและมีท่าทีเสียดาย โกยอนจูก็สะดุ้งเฮือกและพึมพำว่า “อยู่ต่ออีกหน่อยก็ได้นี่นา” จากนั้นก็ชะลอฝีเท้าลงเล็กน้อย ผมลอบยิ้มในใจ
เมื่อหันไปมองก็เห็นทั้งสามคนเดินตามหลังผมมาเงียบๆ ในหมู่พวกเขาผมสะดุดตากับคิมฮันบยอลที่เดินเงียบๆ ใบหน้าราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง หรือว่าหล่อนก็มีคนรู้จักอยู่ที่ไหนสักที่ในฮอลล์เพลนเหมือนกัน ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ผมถึงได้คิดแบบนั้นขึ้นมา
ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลาลับไปและแทนที่ด้วยความมืด พวกเรามาถึงวาร์ปเกตหลังจากเดินมาได้ประมาณสิบนาที เรามาถึงตั้งแต่กลางวันแต่ตอนบ่ายก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากนี้ไปเป็นเวลาที่ผู้เล่นส่วนใหญ่จะกลับไปที่เมืองและพักผ่อน
‘ถ้าตอนนี้ยังถูกจำกัดเส้นทางอยู่ ท่าทางจะยุ่งยากนิดหน่อยแฮะ’
ผมไม่สามารถรอจนถึงตอนที่เปิดให้ใช้งานได้ ดังนั้นจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกลับไปโมนิก้า
หลังจากผ่านทางเข้ามาแล้ว พวกเราก็พบผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะทำหน้าที่ดูแลวาร์ปเกต หล่อนนั่งพักอยู่บนเก้าอี้ ท่าทางวันนี้คงจะเหนื่อยมาก หล่อนลุกขึ้นพลางมองพวกเรา
“จะใช้วาร์ปเกตเหรอคะ”
“ครับ ไม่ทราบว่าตอนนี้เส้นทางที่ถูกจำกัดใช้ได้ปกติหรือยังครับ”
เมื่อได้ยินว่าเส้นทางที่ถูกจำกัด สีหน้าของหญิงสาวก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย หล่อนเหลือบมองวงแหวนเวทครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถอนหายใจ
“คุณจะไปที่ไหนคะ ถ้าโชคดีฉันก็อาจจะสามารถเจาะเส้นทางให้ได้”
“เจาะเส้นทางเหรอ หมายความว่ายังไงครับ”
“คุณพูดถึงเส้นทางที่ถูกจำกัด ดูเหมือนจะไปทางภาคกลาง ภาคตะวันตกหรือไม่ก็ภาคเหนือสินะ ก่อนอื่นเลยต้องบอกว่าตอนนี้ไปภาคกลางไม่ได้ค่ะ คุณต้องไปเมืองที่สามารถทำให้วาร์ปเกตของบาร์บาร่าทำงานได้ก่อน แล้วค่อยใช้วาร์ปเกตอีกครั้งที่เมืองนั้น เช่น…ตอนนี้ภาคตะวันตกถูกเปิดไว้หนึ่งและทางเหนือถูกเปิดไว้อีกหนึ่ง”
“นี่มันเรื่อง…ทำตามใจตัวเองสินะครับ”
“ก็ใช่อยู่หรอก ดีแล้วค่ะ ถึงตอนนี้จะเปิดแค่ส่วนหนึ่งก็ตาม ช่วงเช้าถึงเที่ยงนี่ไม่ใช่เล่นๆ เลย ไอ้พวกขอทานนั่น อย่างไรก็ตามเบธ ทางจะวันตกกับมิวล์ ทางเหนือเปิดอยู่ค่ะ”
คำว่ามิวล์ออกมาจากปากของหญิงสาวโดยไม่คาดคิด นั่นหมายความว่าเราไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปแล้ว ในขณะที่กำลังคิดว่าโชคดีชะมัดและจะขอให้เปิดวาร์ปเกตไปสู่มิวล์ ผมก็รู้สึกถึงมือที่ดึงชายเสื้อของผมเอาไว้ เมื่อหันไปมองก็เห็นอันซลกำลังจ้องมาที่ผม
“อันซล”
“อือ…”
“เป็นอะไรไปน่ะ”
“อือ…”
อันซลส่ายศีรษะโดยไม่มีเหตุผล บนใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความกังวล จู่ๆ ผมก็นึกถึงสิ่งที่อันซลพูดไว้ในที่ประชุมวันนั้นขึ้นมา
‘ท่านพี่ ช่วยบอกอีกทีได้ไหมคะว่าจะไปที่ไหน’
หลังจากขอความเห็นจากหญิงสาวแล้ว ผมก็ก้มลงสบตากับอันซล สายตาของทุกคนพุ่งตรงมาที่เธอ เธอกัดริมฝีปากเล็กน้อยด้วยใบหน้าไร้เรี่ยวแรง
อย่างไรเสียมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เราพบเจอแค่ครั้งสองครั้ง การปลอบโยนและเอ่ยถามอย่างใจเย็นย่อมดีกว่าการเอ่ยเร่งเร้า
“ไม่อยากไปมิวล์เหรอ”
“ค่ะ ฉันไม่รู้ว่าทำไมแต่…แค่รู้สึกไม่สบายใจเลยค่ะ”
เมื่อผมถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลที่สุด อันซลก็พยักหน้าพลางตอบเสียงเบา ผมยืดตัวตรงอีกครั้งพลางมองโกยอนจู ผมรู้สึกถึงแววตาสงสัยของคิมฮันบยอลที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ แต่โกยอนจูเคยมีประสบการณ์โดยตรง ดังนั้นหล่อนจึงมีสีหน้าครุ่นคิด
“โกยอนจู ช่วงนี้มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นที่มิวล์หรือเปล่าครับ”
“ไม่รู้สิ ฉันไม่ค่อยแน่ใจ อันที่จริงช่วงนี้ฉันไม่ค่อยสนใจเรื่องที่มิวล์ ถ้าเป็นเรื่องที่ได้ยินมาล่าสุดก็…อ๊ะ”
“…?”
“มีอยู่เรื่องหนึ่งค่ะ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ มีการเปลี่ยนตัวเผ่าตัวแทนของมิวล์ มันไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนนักหรอกค่ะ ต้องบอกว่าเป็นการรวมกลุ่มกันมากกว่า เพราะเผ่าสวรรค์บนดินที่ได้รับตำแหน่งตัวแทนเผ่าใหม่รวมกลุ่มกับเผ่าต้นบีชที่อยู่มาก่อนค่ะ การที่ซลรู้สึกไม่สบายใจ…บางทีอาจเป็นเพราะเรื่องในตอนนั้นหรือเปล่าคะ”
เรื่องในตอนนั้นที่ว่าก็คือเหตุการณ์การปะทะกันกับเผ่าต้นบีช ผมในตอนนั้นสังหาร ‘ขุนนางฝ่ายบู๊’ ชาซึงฮยอน และ ‘สตรีคลั่ง’ บันดาฮี เพื่อเหยียบย่ำยูฮยอนอาที่จะเติบโตเป็น ‘ราชินีศักดิ์สิทธิ์’ ในภายหลัง ถึงแม้ว่ายูฮยอนอาจะจิตใจดีแค่ไหน แต่ตราบใดที่ยังเป็นมนุษย์ก็ยังมีความอาฆาตแค้นได้
‘ถ้าเป็นแบบนั้นก็ควรจะไปสิ’
คำพูดของโกยอนจูมีเหตุผลและเดินทางไปมิวล์ตามที่หล่อนว่าก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ในตอนนั้นถ้าไม่มีการสร้างสถานการณ์ก็คงไม่สามารถฆ่าพวกเขาได้ แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าละอายใจพอสมควร
ผมคิดว่าการเข้าถ้ำเสือไปชวนท่านผู้เฒ่าเข้าร่วมเผ่าและจัดการกับยูฮยอนอาน่าจะดีกว่าปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ แน่นอนว่าว่าต้องมีเงื่อนไขเบื้องต้นให้แยกแยะถูกผิดก่อน
‘แต่ถ้าไม่เป็นแบบนั้นล่ะ อาจจะเกิดเรื่องอื่นๆ ขึ้น สมมติว่า….’
การสมมติสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดก่อนกลายเป็นนิสัยไปแล้ว ผมเองก็ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว ผมกำลังลองนึกถึงความเป็นไปได้ต่างๆ แต่ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีใครเดินมาอยู่ด้านข้าง
“ซูฮยอนคะ คุณเริ่มคิดมากอีกแล้วนะ ถึงจะดูอวดดีไปหน่อย แต่ฉันอยากจะพูดอะไรบางอย่างตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว อาจจะเกินตัวไปหน่อย แต่ถ้าคุณอนุญาต ฉันก็อยากจะบอกคุณค่ะ”
“หืม ได้แน่นอนครับ”
“ซูฮยอนเป็นแคลนลอร์ดนะคะ คุณวางแผนไว้แต่แรกแล้วใช่ไหมล่ะ แน่นอนว่าในระหว่างนั้นก็สามารถเปลี่ยนแผนได้ แต่ฉันคิดว่านั่นเป็นอำนาจของแคลนลอร์ดนะคะ ความคิดเห็นของสมาชิกเผ่าเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ฉันคิดว่ามันไม่ถูกต้องที่จะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตามคนอื่นค่ะ”
“…”
“ลองนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหน้าวาร์ปเกตคราวที่แล้วสิคะ ตอนนั้นซลก็ร้องไห้และก่อความวุ่นวาย แต่สุดท้ายคุณก็กลับมาอย่างปลอดภัยไม่ใช่เหรอคะ”
คำพูดของโกยอนจูก็คือ ผมมักจะพึ่งพาการตัดสินใจของอันซลทุกครั้งที่มีเรื่องสำคัญเกิดขึ้น คำพูดของหล่อนแทงใจดำเต็มๆ ผมคิดว่าตัวเองรอบคอบแล้ว แต่มันคงจะแตกต่างไปในสายตาของคนอื่น
ผมหลับตาลงและจมลงสู่ห้วงความคิด ความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในหัวของผม ในมุมมองทั่วไปแล้ว คำพูดของโกยอนจูถูกต้อง แต่คำพูดของอันซลก็มองข้ามไม่ได้เช่นกัน การเลือกสิ่งที่ถูกต้องจากสองความคิดเห็นนี้เป็นเรื่องยากมาก
‘ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ก็ชัดเจนแล้วว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้น เราต้องตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะสามารถจัดการได้หรือไม่ ดังนั้น…”
ผมจัดการกับความคิดของตัวเองได้เมื่อได้ยินเสียงหญิงสาวที่อยู่ข้างๆ หาว ผมหันไปหน้าวาร์ปเกตและเห็นเหล่าสมาชิกเผ่ากำลังรอคอยคำตอบโดยไม่แสดงท่าทีเบื่อหน่าย ผมพูดกับพวกเธอทั้งหมดทุกคน
“เราจะไปที่มิวล์”
“…”
สีหน้าของโกยอนจูและคิมฮันบยอลดูดีขึ้นมากเมื่อผมประกาศว่าเราจะไม่เปลี่ยนแผน แต่อันซลก้มมองพื้นและท่าทีหดหู่
“อันซล”
“ค่า”
“ฉันจะรีบจัดการธุระที่มิวล์ให้เร็วที่สุดนะ”
“มะ ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันแค่กังวลไร้สาระ…”
อันซลโบกมือทั้งสองข้างพลางส่ายหน้า ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ก็ยังคงมีสีหน้าเป็นกังวล ผมขยับเข้าไปใกล้เธออีกนิดและลูบศีรษะของเธอเบาๆ พลางกระซิบ
“ฉันไม่ได้คิดว่ามันไร้สาระหรอกนะ จำสิ่งที่ฉันพูดก่อนหน้านี้ได้ไหม ฉันจดจำสิ่งที่เธอพูดไว้เสมอ เพราะฉะนั้นถึงจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ต้องกังวลนะ ฉันจะอยู่ข้างเธอเสมอ เข้าใจไหม”
ตอนนี้เธอน่าจะรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย แก้มของอันซลแดงเรื่อ หลังจากเด็กสาวพยักหน้ารับคำเบาๆ แล้ว ผมก็มองผู้เล่นหญิงที่กำลังรออยู่ ว่าแต่ว่าปกติแล้วคนเราเวลาอารมณ์ดี หน้าจะแดงด้วยเหรอ
“คุณบอกว่าเส้นทางไปมิวล์เปิดใช่ไหมครับ”
“สักครู่นะคะ อืม…ใช่ค่ะ โชคดีที่มันเปิดอยู่”
“ถ้างั้นพวกเราจะไปที่มิวล์ครับ ช่วยเปิดการทำงานของวาร์ปเกตด้วยครับ”
“ได้ค่ะ ทั้งหมดสี่คน แปดโกลด์ค่ะ”
หญิงสาวชี้ไปที่ช่องใส่เงินด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน หล่อนดูดีใจมากที่จะได้ส่งพวกเราไป หลังจากจ่ายเหรียญทองแปดอันแล้ว ผมก็ทิ้งตัวลงไปในพอร์ทัลที่กำลังทำงานอยู่ทันที จากนั้นความรู้สึกเย็นวาบก็โอบล้อมรอบตัวของผมเหมือนทุกที