Memorize - เล่มที่ 15 ตอนที่ 17
ดวงตาของฮยองชานซึ่งมองไปที่ประตูเบิกกว้าง เมื่อครู่นี้ทหารยามยังยืนเฝ้าประตูอย่างแข็งขัน แต่ตอนนี้พวกเขาล้มลงบนพื้นและไม่ขยับเขยื้อน ที่คอของแต่ละคนมีลูกธนูปักอยู่ เลือดที่ไหลออกมานั้นปะปนกับน้ำฝนและค่อยๆ แผ่เป็นวงกว้าง
ละสายตาไปเพียงชั่วขณะ สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปมาก ฮยองชานขยี้ตาเล็กน้อยราวกับสิ่งที่เห็นเป็นเรื่องโกหก และเมื่อเขาลืมตาขึ้นมองประตูอีกครั้ง
ฉึก!
ลูกธนูพุ่งมาอีกดอก ฮยองชานเอี้ยวตัวไปด้านข้างตามสัญชาตญาณ ลำแสงเยือกเย็นโฉบผ่านลำคอของเขาไป เขาหันไปยังทิศทางที่ลูกธนูพุ่งมา
ตรงบริเวณใกล้กับประตู เงาที่มองไม่เห็นจำนวนมากกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“เอ๋ เขาหลบได้เหรอ”
“เจ้าโง่ หมอนั่นยิงไม่โดนต่างหาก”
“ก็คงงั้น เอาล่ะ ไปกันเถอะ”
ฮยองชานหยุดการเคลื่อนไหวโดยอัตโนมัติ ผู้เล่นที่กระจัดกระจายไปทั่ว คนที่เขาคิดว่าเหมือนกับตนกำลังลุกขึ้นทีละคนสองคน ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงฝีเท้ามากมายขยับเข้ามาจากทุศทิศทางพร้อมกับเสียงสายฝน เขาค่อยๆ หันไปทางกำแพงข้าๆ ที่นั่นมีผู้เล่นกำลังเล็งธนูมาที่เขา
“อ๊าก!”
ฮยองชานกรีดร้องและหันหลัง จากนั้นก็วิ่งหนีตาลีตาเหลือก ผู้เล่น ไม่สิ พวกเร่ร่อนเล็งไปที่ด้านหลังของเขา
“ทำอะไรอยู่น่ะ รีบๆ ยิงไปสิ”
“อ้อ รอเดี๋ยวสิ ยังไงก็พังประตูได้แล้วไม่ใช่เหรอ ถ้างั้นตอนนี้เรามาเริ่มไล่ล่ากันเถอะ”
“ยิงไปก่อนเถอะน่า รอสัญญาณ… อ้า ไม่สนใจอยู่แล้วสินะ”
“ถูกต้อง จัดการไปเลยแล้วกัน”
พวกเร่ร่อนฉีกยิ้มให้กับการเร่งเร้าของพรรคพวกพร้อมกับเล็งธนูขึ้นไปบนท้องฟ้า แขนของเขาสั่นระริกราวกับกำลังรวบรวมพลังเวท จากนั้นก็เปล่งเสียงพลางปล่อยลูกธนูที่ติดอยู่กับคันศรออกไป
“ฮึ้บ!”
ลูกธนูที่ยิงออกไปนั้นกลายเป็นลำแสงนับสิบและพุ่งตัวขึ้นไปกลางอากาศ
ลำแสงที่พุ่งไปบนท้องฟ้าหยุดเคลื่อนไหวครู่หนึ่งกลางอากาศ จากนั้นก็โค้งงอและเริ่มพุ่งลงพื้นเหมือนกับลูกธนู
ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม!
ในขณะที่ลำแสงยิงลงมาบนพื้นจนเกิดเสียงดังสนั่น ดินโคลนมากมายก็สาดกระจายไปทั่วทุกทาง
* * *
“ท่านผู้เฒ่า ตอนนี้ดูเหมือนทุกอย่างจะถูกจัดการเรียบร้อยแล้วนะครับ”
“ก็คงจะเป็นอย่างนั้นแหละ ขอบใจนะ”
“แค่ยัดมันลงถุงผ้าไป น่าจะเสร็จเร็วขึ้นนะครับ”
“อย่าพูดชุ่ยๆ น่า เอาเป็นว่าตอนนี้แค่เอาสัมภาระไปก็พอ ปลุกแม่หนูที่นอนอยู่เถอะ”
เมื่อพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจพลางมองดูถุงผ้าที่ถูกแบ่งตามประเภทของอัญมณีอย่างรอบคอบ ท่านผู้เฒ่าก็พึมพำด้วยน้ำเสียงแข็งทื่อ
เวลาผ่านไปประมาณสามชั่วโมงแล้วตั้งแต่ผมมาถึงมิวล์ล์ ท่านผู้เฒ่าดูจะสับสนเมื่อผมชวนให้ออกเดินทางทันที โชคดีที่เขาตอบตกลง
ร้านเป็นกรรมสิทธิ์ของท่านผู้เฒ่าอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาอะไร สิ่งที่เหลือก็คืออัญมณีเต็มร้านกับข้าวของส่วนตัวของท่านผู้เฒ่า แม้จะบอกให้รีบจัดการทุกอย่างให้เร็วที่สุด แต่ก็ต้องใช้เวลาพอสมควรสำหรับร้านค้าร้านหนึ่ง
“นี่ก็จัดการเร็วที่สุดตามที่บอกไว้แต่แรกแล้ว รีบอะไรขนาดนั้น”
“คุณตา อันนี้เอาไว้ไหนดีคะ”
“อ้า อันนั้นส่งมาให้ฉันก็ได้”
“พี่คะ แล้วอันนี้ล่ะ”
“ยัยเด็กนี่! เรียกมั่วๆ ตามอำเภอใจแบบนั้นได้ที่ไหน…”
“ฮิๆ”
แม้จะเอาแต่บ่นพึมพำตลอดการทำความสะอาด แต่คนที่เก็บสัมภาระมายืนรอเป็นคนแรกก็คือท่านผู้เฒ่า ท่าทางอารมณ์ดีจนบางทีก็ฮัมเพลงออกมา
หลังจากแอบลอบหัวเราะในใจและฟังโกยอนจูล้อเลียนท่านผู้เฒ่าแล้ว ผมก็เดินไปหาอันซล
อันซลกำลังนอนหลับฝันหวานอยู่ที่มุมหนึ่งในร้านอัญมณี เธอหายใจสม่ำเสมอ บางครั้งก็ละเมอดมกลิ่นด้วย
“ฟี้~ ฟี้~ ฟืด~”
“อันซล”
“อืม… แผล็บๆ ฮิๆ”
“…”
ผมมองอันซลที่กำลังนอนหลับอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็จิ้มลงที่ร่องเหนือริมฝีปากน่ารัก เด็กสาวสูดจมูกฟุดฟิดเล็กน้อยและจู่ๆ ก็แลบลิ้นเลียนิ้วที่ผมใช้แตะริมฝีปากเธอ ผมดึงมือออกด้วยความตกใจ เช็ดน้ำลายที่เปื้อนมือพลางเขย่าอันซลเบาๆ
“หือ”
“อันซล ตื่นได้แล้ว เราจะไปกันแล้ว”
“อือ ท่านพี่”
“อืม ฉันเอง”
อันซลลืมตาขึ้นสบตากับผม แล้วโผเข้ากอดโดยไม่เขินอาย ผมรู้สึกได้ถึงมือเล็กๆ ที่จับแผ่นหลังของผมเอาไว้จึงตบหลังของอันซลเบาๆ
“ว่าแต่แม่สาวน้อยที่กอดกับแคลนลอร์ดนั่นอายุเท่าไหร่น่ะ”
“ทำไมเหรอคะ”
“ดูเหมือนจะอายุยังน้อยนะ ฉันสงสารน่ะที่ถูกพามาที่นี่ รู้สึกเหมือนได้เจอหลานสาวของฉันเลย”
“อายุยี่สิบค่ะ”
“ว่าไงนะ”
ผมยิ้มเจื่อนเมื่อได้ยินเสียงอ่อนแรงของท่านผู้เฒ่า
อย่างไรก็ตามการทำตัวเป็นเด็กน้อยควรจะพอเท่านี้ ผมจึงผละออกจากมือที่โอบกอดหลังของผมไว้
“ฮือ…”
“อันซล”
“ท่านพี่คะ”
“เธอเป็นอะไรเนี่ย”
ซลไม่ยอมปล่อยมือ ไม่สิ มือของอันซลกำลังสั่นระริก ตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกแปลกๆ และก้มลงสำรวจใบหน้าของเด็กสาว
ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม!
แว่วเสียงดังสนั่นมาจากที่ไกลๆ
‘นี่มันไม่ปกติแล้ว’
ท่าทีที่แปลไม่ออกของอันซลและเสียงดังที่ได้ยินแผ่วเบา ในตอนนั้นเองความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัว หลังจากบังคับให้เด็กสาวที่เกาะผมไม่ยอมปล่อยเหมือนลูกโคอาล่าผละออกไปแล้ว ผมก็วิ่งออกไปนอกประตูทันที
ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว ถนนย่านร้านค้าก็มืดสนิท แต่ทางเหนือของเมืองกลับสว่างเจิดจ้า ที่มาของแสงสว่างในเมืองนั้นก็คือเปลวไฟที่กำลังลุกโชน
ผมขยับเท้าถีบตัวขึ้นจากพื้นโดยไม่รีรอและขึ้นมาอยู่ด้านบนตึกของร้านอัญมณี เพราะตัวอาคารต่ำจึงมองไม่เห็นทั้งหมดของเมือง แต่ก็สามารถเห็นได้กว้างกว่าตอนที่อยู่บนพื้น ผมจับจ้องไปทางทิศเหนือและใช้พลังเวทกระตุ้นการมองเห็น
‘มันคือการบุกโจมตี’
แม้ว่าจะมองเห็นเพียงบางส่วน แต่เมื่อเห็นสถานการณ์ผมก็รู้ทันที เงาดำจำนวนนับไม่ถ้วนโผล่มาราวกับคลื่นท่ามกลางเปลวไฟที่ลุกโชน ทุกครั้งที่แสงน่าขนลุกโฉบไปมาระหว่างแสงไฟ น้ำพุเลือดก็สาดกระเซ็นไปทั่ว
มันคือการสังหารหมู่ฝ่ายเดียว พวกผู้เล่นที่ออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นถูกสังหารอย่างเ**้ยมโหดโดยลำแสงที่ยิงมาจากทุกทิศทาง ผู้รอดชีวิตที่โชคดีหลายคนหันหลังและวิ่งหนี แต่เงานั้นก็ตามติดพวกเขาได้ในพริบตา
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
เสียงดังสนั่นจนแผ่นดินสั่นสะเทือนดังขึ้นอีกครั้ง ผมได้ยินเสียงจากทั้งสองฝั่งและยิ่งได้ยินเสียงชัดเจนขึ้นเพราะออกมาข้างนอก เมื่อหันไปมาเพื่อดูทั้งทางซ้ายและขวาก็เห็นเงาจำนวนมากกำลังแห่เข้ามาจากประตูตะวันออกและประตูตะวันตก
ในไม่ช้าเปลวไฟก็ลามมาถึงประตูตะวันตกและประตูตะวันออกอย่างรวดเร็วเหมือนกับทางทิศเหนือ ผมมองภาพนั้นด้วยความสับสน
‘โจมตีมิวล์งั้นเหรอ ใครกัน ทำไมล่ะ’
สิ่งที่ยืนยันได้ก็คือลางสังหรณ์ของอันซลถูกเผง ถึงแม้ว่าผมจะเตรียมการในแบบของตัวเองไว้แล้ว แต่การมุ่งเป้าไปที่ยูฮยอนอาคือปัญหา ในขณะที่หัวของผมสับสนเพราะเสียงร้องตะโกนที่กำลังเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จู่ๆ ความทรงจำบางอย่างก็แวบขึ้นมาในหัว
พวกเร่ร่อน ความคะนองของพวกทวีปตะวันตก
หากเทียบกับในรอบแรก มันควรจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปแล้วก่อนหน้านี้และเดิมทีต้องเป็นการบุกโจมตีเมืองตะวันตกไม่ใช่มิวล์
“เฮ้ ไอ้หนุ่มตรงนั้นน่ะ เสียงดังหนวกหูนั่นมันอะไรเหรอ เกิดอะไรขึ้น”
ตอนที่กำลังเม้มริมฝีปากครุ่นคิดก็ได้ยินเสียงจากด้านล่าง เมื่อมองลงไปก็เห็นพวกผู้เล่นในย่านร้านค้าออกมาทีหลัง
และผมก็สามารถสงบสติอารมณ์ได้
‘ตั้งสติหน่อยคิมซูฮยอน!’
ท่ามกลางความมืดที่แผ่ขยายเป็นวงกว้าง ความเมตตาปรานีหาได้ยากนัก รู้สึกได้เพียงจิตใจมุ่งร้ายของศัตรูเท่านั้น
เกิดเรื่องขึ้นแล้ว มันไม่สายเกินไปที่จะทำความเข้าใจกับสถานการณ์ในภายหลัง สิ่งสำคัญสำหรับตอนนี้คือ ต้องทำอะไรก็ได้เพื่อหลบเลี่ยงออกไปจากมิวล์ นอกจากนี้ผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ถึงจะมีโกยอนจูแต่ผมต้องพาคิมฮันบยอล อันซล รวมถึงท่านผู้เฒ่าออกจากมิวล์ด้วย
ผู้เล่นบางคนยังคงมองมาที่ผมราวกับเฝ้ารอคำตอบ ผมไม่สนใจและลงมาที่พื้น จากนั้นก็ผลักประตูเข้าไปในร้านอัญมณีทันที เมื่อเข้าไปด้านในทุกคนที่รอให้ผมกลับเข้ามาก็หันมามองอย่างรวดเร็ว
“ซูฮยอน เกิดอะไรขึ้นคะ”
“มีการบุกโจมตี”
“เอ๋”
“ผมจะพูดอีกครั้ง ตอนนี้มิวล์กำลังถูกโจมตี ถึงจะยังไม่รู้แน่ชัดว่าใครเป็นผู้บุกรุก แต่ดูเหมือนจะเป็นพวกเร่ร่อน นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแต่เป็นสถานการณ์จริง”
ทุกคนมีสีหน้าตกใจเมื่อผมบอกว่าถูกโจมตี แต่ก็แค่แป๊บเดียวเท่านั้น แสงสว่างค่อยๆ เริ่มชัดเจนขึ้นพร้อมกับเสียงของผมและเสียงที่ดังต่อเนื่องจากด้านนอก แต่ไม่มีเวลาอธิบายหรือชักช้าอีกแล้ว ผมพูดต่อ
“ท่านผู้เฒ่า เราเก็บของเท่านี้แล้วรีบไปกันเถอะครับ”
“เข้าใจแล้ว ของสำคัญอยู่ในกระเป๋าเวทมนตร์สามใบนี้แล้ว จะไปตอนนี้เลยก็ได้”
“ท่านผู้เฒ่าถือหนึ่งใบ อีกสองใบที่เหลือให้คิมฮันบยอลกับอันซลแบ่งกันถือนะครับ แล้วก็โกยอนจู”
“ค่ะ”
ทันใดนั้นผมก็นึกขึ้นได้จึงถอดเสื้อคลุมของอัศวินมังกรสีน้ำเงินที่สวมไว้ออก ผมเดินเข้าไปหาอันซลที่ยังตัวสั่นอยู่และคลุมมันลงบนตัวของเธออย่างระมัดระวัง
“ทะ ท่านพี่”
“เงียบเถอะน่า ผู้เล่นโกยอนจู จากนี้ไปเราจะวิ่งไปที่วาร์ปเกตนะครับ”
หลังจากคลุมเสื้อตัวนอกให้อันซลแล้ว ผมก็หันไปมองโกยอนจู
“ผมจะวิ่งตรงผ่านจัตุรัสไป ใช้เวลาประมาณสิบห้านาที ดังนั้นถ้าเราวิ่งเร็วก็จะไปถึงเร็วขึ้น”
“ฉันเข้าใจค่ะว่าคุณพูดถึงอะไร”
“ดีครับ ถ้างั้นฝากหน้าที่คีปเปอร์ด้วยนะครับ”
“เอ๊ะ…”
โกยอนจูเอียงคอคล้ายว่าไม่เข้าใจคำพูดสุดท้ายเล็กน้อย ผมสูดหายใจและพูดด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม
“ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างทาง ผมจะนำทางเอง แต่เราก็ไม่รู้ว่าจะถูกโจมตีจากทางไหน ดังนั้นโกยอนจูต้องคุ้มครองทั้งสามคนให้ดีที่สุด ไม่จำเป็นต้องปกป้องผมหรอกครับ”
“จะบอกว่าไม่ต้องช่วยคุณงั้นเหรอคะ”
“ไม่มีเวลาอธิบายรายละเอียดแล้ว หน้าที่คีปเปอร์สำคัญที่สุด จำไว้นะครับ”
“…สำคัญที่สุด เข้าใจแล้วค่ะ”
ดูเหมือนจะไม่เห็นด้วยแต่โกยอนจูก็พยักหน้าอย่างว่าง่าย เมื่อพูดคุยกับหญิงสาวเสร็จแล้ว ผมก็มองสามคนที่เหลือ พวกเขาสะพายกระเป๋าไว้บนไหล่คนละใบ
“จากการคำนวณของผม ถ้าเราวิ่งจากที่นี่ไปถึงวาร์ปเกตโดยไม่หยุดพัก เราจะไปถึงที่นั่นได้ทันเวลา ถึงแม้ว่าจะรู้สึกสับสนกับสถานการณ์ที่น่าตกใจนี้ แต่หวังว่าทุกคนจะพยายามและตามผมมา”
หลังจากพูดจบผมก็จับจ้องที่อันซล ที่จริงแล้วเรื่องที่ผมเป็นห่วงมากที่สุดก็คือเธอ อันซลจับเสื้อนอกที่ผมคลุมให้ไว้แน่นด้วยมือทั้งสอง น้ำตาที่เอ่อคลอดวงตากลมจวนเจียนจะไหลรอมร่อ แต่ท่าทางเธอจะพยายามกลั้นมันเอาไว้
ผมมองอันซลครู่หนึ่งก่อนจะเปิดประตูออกไปข้างนอก
มันคือจุดเริ่มต้นของการหนีเอาตัวรอด