Memorize - เล่มที่ 15 ตอนที่ 20
ไม่รู้ว่าจะกลายเป็นสถานการณ์ที่ถูกสังหารอยู่ฝ่ายเดียวเหมือนในจัตุรัสไหม แต่ว่าวาร์ปเกตไม่ใช่แบบนั้น เห็นพวกที่อยู่นอกขอบเขตและพวกที่ฟื้นตัวได้เล็กน้อยเป็นบางคน แต่พวกผู้เล่นทะลักทลายราวกับเขื่อนแตก มันเป็นการโจมตีมั่วๆ ที่ไม่มีลำดับหรือกลยุทธ์ใดๆ แต่ก็เป็นวิธีที่พอใช้ได้ทีเดียวสำหรับสถานการณ์ในตอนนี้
“อย่าผลักสิ! บอกว่าอย่าผลักไงเล่า! ไอ้xนี่!”
“เข้าแถวสิ! ช่วยไปตามลำดับกันหน่อย!”
“ไปตายซะไอ้ลูกหมา!”
“อั่ก!”
ผู้เล่นหลายร้อยคนแห่กันเข้ามาจากทุกทิศทางพร้อมกัน ภายในวาร์ปเกตจึงสับสนวุ่นวายมาก
ที่จริงมันก็ไม่ถึงขนาดวุ่นวาย มีพวกผู้เล่นที่วิ่งตรงไปยังวาร์ปเกต พวกผู้เล่นพี่วิ่งไปหาพวกเร่ร่อนซึ่งล้มอยู่ และพวกเร่ร่อนที่จนมุมแต่พยายามต่อต้านอย่างสุดกำลัง
เสียงตะโกนและเสียงกรีดร้องทั้งหมดในสถานการณ์นี้ปะปนไปกับเสียงของวาร์ปเกต
ผมมองพวกเขาพลางตัดสินใจใช้ประโยชน์จากรองเท้าออร์โธรส ลอง บู๊ทสให้เต็มที่ ถ้ามองไปด้านหน้าก็จะเห็นผู้เล่นเบียดเสียดกันอยู่ ผมจำเป็นต้องตรวจสอบสถานการณ์ของวาร์ปเกตโดยเร็วที่สุดจึงถีบตัวขึ้นจากพื้นโดยไม่รีรอ
“โอ๊ย! ใครเหยียบหัวฉัน!”
‘โทษที’
ผมเหลือบมองด้านล่างเล็กน้อยก็เห็นผู้เล่นคนหนึ่งนั่งกุมศีรษะของตัวเองไว้ การกระโดดเกิดข้อผิดพลาดเล็กน้อย แต่ไม่ว่าจะก้าวไปที่ไหนก็ตามดูเหมือนจะโชคดีโดยบังเอิญ หลังจากขอโทษสั้นๆ ในใจแล้วผมก็มองไปข้างหน้าอีกครั้ง
ผมเข้าใกล้วาร์ปเกตขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าจะมีผู้เล่นติดอยู่ไม่กี่คน แต่ก็ไม่เห็นว่าพอร์ทัลเปิดออก เมื่อลงสู่พื้นดินใต้บริเวณวาร์ปเกต เสียงร้องไห้ที่ได้ยินก็ทำให้ความกังวลตั้งแต่เมื่อครู่นี้ชัดเจนขึ้น
“วะ วาร์ปเกตไม่ทำงาน!”
‘ให้ตายสิ’
ผมกัดริมฝีปากแล้ววิ่งไปที่วาร์ปเกต ภายนอกวาร์ปเกตดูปกติดี ไม่มีตรงไหนชำรุดและรอยเชื่อมต่อก็เชื่อมโยงปกติดี แต่มันกลับไม่ทำงาน ดังนั้นจึงมีเพียงคำตอบเดียว ก็คือพวกเร่ร่อนไปยุ่งกับวงแหวนเวทที่ใช้ควบคุมการทำงานของวาร์ปเกต
“หมายความว่ายังไง ทำไมถึงไม่ทำงานล่ะ”
“ยังไม่ได้เปิดพอร์ทัลอีก มัวแต่ทำอะไรอยู่!”
“ฉะ ฉันก็ไม่รู้ ว่าทะ…ทำไม…”
“ถอยไป ฉันจะจัดการเอง”
ภายในเกิดความวุ่นวายอยู่สักพัก แต่ก็ไม่วุ่นวายเท่าผู้เล่นด้านหลังที่ตะโกนโวยวายเพราะยังไม่รู้ว่าวาร์ปเกตไม่ทำงาน ตอนนั้นเอง เมื่อเข้าไปใกล้บริเวณวงแหวนเวทเพื่อดูว่าจะสามารถแก้ไขอะไรได้หรือไม่ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ
“หึๆ”
ต้นเสียงอยู่ที่ด้านล่าง เมื่อก้มมองดูที่พื้นก็เห็นพวกเร่ร่อนคนหนึ่งอยู่ใต้เท้าของพวกผู้เล่น อุปกรณ์ที่สวมอยู่นั้นขาดรุ่งริ่งและดูจากเลือดที่นองเป็นแอ่งแล้วก็ไม่น่าแปลกใจหากเขาจะตายในเร็วๆ นี้
“สมน้ำหน้า ไอ้พวกxx หึๆ แค่ก! แค่ก!”
“พวกแกทำอะไรกับวาร์ปเกต”
“ทำอะไรเหรอ ก็จัดการกับวงแหวนเวทน่ะสิ นังโง่ อยู่รอที่นี่แหละ เพราะอีกไม่นานพวกแกก็ต้องตายกันหมดโดยคนที่จะมาจากด้านนอกนั่น”
“ไอ้หมอนี่!”
“ถ้าอยากมีชีวิตรอดก็ลองหนีไปตอนนี้ไหมล่ะ คิกๆ!”
พลั่ก!
ใครบางคนไม่สามารถระงับความโกรธได้จึงแทงอาวุธลงไป ศีรษะของพวกเร่ร่อนถูกเจาะทะลุจนเลือดไหลทะลัก ผมมองเขาที่ดวงตาเหลือกถลนและใช้งานดวงตาที่สาม
หากความเสียหายไม่ได้หนักหนาก็อาจจะสามารถซ่อมแซมได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ดังนั้นผมจึงหันไปยังวงแหวนเวท เพราะต้องตรวจสอบระดับความเสียหาย
‘…ยอมแพ้เถอะ’
เมื่อตรวจสอบอัตราความเสียหายและข้อมูลเกี่ยวกับวาร์ปเกตที่ปรากฏขึ้นในอากาศแล้วผมก็ตัดสินใจไปจากที่นี่ทันที เกิดความเสียหายอย่างหนักคงจะมีผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับวาร์ปเกต ที่จริงก็พอจะซ่อมแซมได้ แต่ไม่ใช่ที่นี่และไม่ใช่ในตอนนี้ วงแหวนเวทเสียหายมากระดับที่ไม่สามารถซ่อมแซมได้ภายในวันสองวัน
เสียงตะโกนจากสามทิศทางกำลังใกล้เข้ามาในตอนนี้ ต้องรีบแล้ว ไม่จำเป็นต้องรีรออีกต่อไป เพราะยืนยันแล้วว่าไม่สามารถใช้วาร์ปเกตได้ ผมแหวกผ่านพวกผู้เล่นที่เข้าไปด้านในและกระโดดไปที่ทางเข้าอีกครั้ง ตอนนี้เหลือวิธีเดียวก็คือการออกไปทางประตูปราสาท
‘ปัญหาก็คือจะออกไปประตูไหน’
“ซูฮยอน!”
“พี่คะ!”
เมื่อข้ามผ่านผู้เล่นที่เบียดเสียดและมาถึงทางเข้าได้ก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ผมหันไปมองตามเสียงจึงเห็นสมาชิกเผ่า รวมถึงโกยอนจูซึ่งยังไม่ได้เข้าไปในวาร์ปเกตยืนรวมตัวกันอยู่ เป็นโชคดีในความโชคร้าย ผมรีบสาวเท้าอย่างรวดเร็ว
* * *
กลางดึก ท้องฟ้ามืดสนิทปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง แต่ในเมืองกลับสว่างไสว เปลวไฟลุกโชนจากทุกทิศทางไล่ต้อนความมืดออกไปจนสว่างจ้า
ถนนในเมืองที่สองสว่างทำให้เห็นฉากน่าสยดสยองชวนให้นึกถึงนรกขึ้นมา ซากศพเย็นเฉียบที่กองสุมกันถูกแขวนไว้รอบอาคารพังๆ เลือดซึ่งไหลรินจากศพเหล่านั้นเปื้อนผนังและหยดลงเป็นแอ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ ไหลรวมกันเป็นลำธาร
ถ้ารวบรวมศพที่กระจัดกระจายไปทั่วคงสามารถสร้างเนินเขาเล็กๆ ได้ แต่การเข่นฆ่าก็ยังคงดำเนินต่อไป ฝ่ายหนึ่งสังหารไม่เลือกหน้า อีกฝ่ายหนึ่งทำได้เพียงกรีดร้องและถูกโจมตีโดยไร้ทางสู้ มีพวกผู้เล่นที่พยายามต่อต้านอยู่บ้าง แต่ก็ล้มลงโดยที่ทำอะไรไม่ได้มากนัก เนื่องจากการโจมตีไร้ซึ่งความปรานีของพวกเร่ร่อน
เมืองแห่งการสังหารหมู่ที่บ้าคลั่ง ถนนเต็มไปด้วยเลือด, ศพ, ความคลั่ง และเสียงกรีดร้อง หญิงสาวคนหนึ่งในชุดรัดรูปสีดำแนบเรือนร่างเดินข้ามมากลางท้องถนนอย่างสบายใจเฉิบ หล่อนก็คือ แพคซอยอน
แพคซอยอนที่เดินไปตามถนนเหมือนนางแบบหลับตาลงและสูดหายใจยาว จากนั้นก็ผ่อนลมหายใจอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มพึงพอใจที่มุมปาก ดวงตาที่เปิดขึ้นเป็นประกาย ท่าทางหญิงสาวจะพอใจกับสถานการณ์ในตอนนี้
“ว้าว เธอนี่มันบ้าชะมัด คิดถึงเรื่องพรรค์นั้นในสถานการณ์แบบนี้เนี่ยนะ”
“เจ้าบ้า ว่าใครบ้ากันยะ แล้วที่อยู่ในมือนายคืออะไรล่ะ”
แพคซอยอนซึ่งเดินวางมาดไปตามทางหยุดเดินเมื่อมาถึงจุดหนึ่ง ใบหน้าที่เคยเริงร่าจนถึงเมื่อครู่นี้บูดเบี้ยวเล็กน้อยกับเสียงตะโกนว่าให้ถอยไป
จากนั้นใบหน้าของแพคซอยอนซึ่งมองไปด้านหนึ่งก็เริ่มฉายแววสมเพช หล่อนดึงกริชที่เอวออกมาพร้อมถอนหายใจเบาๆ และกำมันไว้ในมือก่อนจะออกเดินอีกครั้ง
แพคซอยอนเดินไปทางที่ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังโต้เถียงกัน แน่นอนว่าการโต้เถียงกันในสถานการณ์ที่น่ากลัวเช่นนี้ไม่ค่อยเหมาะสมนัก แต่ถ้าเห็นจำนวนศพที่เกลื่อนกลาดรอบตัวทั้งสองและของที่พวกเขากำไว้ในมือมันก็ไม่แปลกเท่าไหร่
“นี่ คิดว่าเด็กนี่อายุเท่าไหร่กัน ดูยังไงก็เป็นนักเรียนประถม ไม่สิ เป็นผู้เล่นตั้งแต่แรกหรือเปล่าเถอะ ฆ่าให้ตายไปซะยังจะดีกว่า”
“มันสำคัญอะไรด้วยล่ะ แล้วก็นะ ฉันถามว่าที่อยู่ในมือนายมันคืออะไร”
“ดูก็รู้ว่านังนี่เป็นผู้ใหญ่แล้ว ฉันก็ไม่ทำอะไรที่วิปริตเหมือนเธอด้วย อย่ามัวแต่พูดอยู่เลย รีบฆ่ามันซะ”
“อะแฮ่มๆ”
แพคซอยอนส่งเสียงน่าหมั่นไส้ขัดจังหวะบทสนทนาของทั้งคู่ สองคนนั้นหันมามองหล่อนด้วยสีหน้าตกใจ ความสิ้นหวังเลือนรางอยู่บนใบหน้าของชายหนุ่มและหญิงสาวที่เห็นแพคซอยอน เมื่อเหลือบมองของในมือแต่ละข้าง พวกเขาจับเด็กชายที่ดูเยาว์วัยกับหญิงสาวที่งดงามแบบผู้ใหญ่เอาไว้เหมือนเส้นผมที่ถูกดึงออกมา
“พะ พี่คะ”
“มาแล้วเเหรอครับพี่!”
“เจ้าพวกไร้ประโยชน์ คนอื่นกำลังทำหน้าที่อย่างตั้งอกตั้งใจ แต่พวกระดับสูงกำลังทำอะไรกัน หืม”
ในขณะที่หญิงสาวทำท่าทางอึกอัก แพคซอยอนก็พุ่งเข้าไปเหมือนลูกศร หล่อนขยับเข้าใกล้อย่างรวดเร็วและเหวี่ยงกริชในมือขวาจนเกิดแสงวูบวาบ
ป๊อก!
พริบตาที่เกิดแสงสว่างวาบก็เกิดเสียงลูกโป่งระเบิดดังสนั่นบนท้องถนน ศีรษะของเด็กชายระเบิดเหมือนแตงโมที่ถูกทุบจนแหลก สมองสีชมพูกระจัดกระจายไปทั่ว
หญิงสาวที่กำศีรษะของเด็กชายไว้ยกมือขึ้น โดยไม่ทันรู้ตัวก็เหลือเพียงเส้นผมเพียงหยิบมือหนึ่งในกำมือของหล่อนเท่านั้น หญิงสาวซึ่งมองมันอยู่ครู่หนึ่งทำหน้าบูดพลางส่งเสียงอย่างหงุดหงิดใจ
“อ๊ะ พี่คะ!”
“หนวกหู”
“อ๊ะ ให้ตายสิทั้งที่มีแค่คนเดียวในสามสิบคนแท้ๆ…”
แม้จะได้ยินเสียงบ่นอู้อี้ดังมาจากด้านข้าง แต่แพคซอยอนก็ไม่สนใจสักนิด คราวนี้หล่อนมาทางชายหนุ่ม เขาส่ายหน้าเป็นพัลวันทันทีที่สบตากับหล่อน
“พี่ครับ! อย่านะ!”
แต่ขาเรียวบางของแพคซอยอนเตะออกไปโดยไม่ลังเล หลังเท้าของหล่อนเตะเข้าที่คางของหญิงสาวที่ถูกจับไว้
กร๊อบ!
“อึ่ก!”
คอของหญิงสาวคนนั้นบิดเบี้ยวผิดรูปพร้อมเสียงกรีดร้อง ชายหนุ่มมองหญิงสาวที่ล้มลงพลางพูดเสียงเศร้า
“จริงๆ เลย ทำเกินไปแล้วนะครับพี่”
“พวกนายต่างหากที่ทำเกินไป การโจมตีคราวนี้ปล้นไปเท่าไหร่แล้ว”
แพคซอยอนหมุนข้อเท้ากลางอากาศเล็กน้อย ก่อนจะหดขาที่เหยียดตรงลงอย่างงดงามอีกครั้ง ชายหนุ่มรีบตอบทันทีเมื่อรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องมาจากด้านหน้า หลังจากที่เผลอเหลือบมองเรียวขางดงามนั่น
“ก็พี่ฮยอนบอกว่าปล้นได้ตามใจชอบนี้ครับ”
“นั่นหมายความว่า ทำได้หลังจากจบสงครามนี้ต่างหาก”
“ได้ยินมาว่าพี่คนเดียวฆ่าได้แค่ยี่สิบเองนี่ครับ ดูสิ จนถึงตอนนี้ผมกับแฮยอนฆ่าไปมากกว่าร้อย…”
ชายคนนั้นชี้ไปฟากหนึ่งของถนนด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ ถนนเส้นอื่นๆ เต็มไปด้วยเสียงฝีเท้าและเสียงกรีดร้อง แต่ที่นี่กลับเงียบจนน่าแปลกใจ
แพคซอยอนเหลือบตามองตามทางที่ชายหนุ่มชี้ มีศพเกลื่อนกลาดบนถนนมากกว่าร้อยคนอย่างที่เขาว่า
“เฮ้อ เอาเป็นว่าเลิกกวนฉันได้แล้ว กาอินอยู่ที่ไหน”
“กาอินเเหรอ จะว่าไปแล้วหายไปไหนกันนะ เมื่อกี้ยังนั่งคุกเข่ามองศพเงียบๆ อยู่ตรงนี้เลย”
เมื่อหญิงสาวส่ายหน้าพลางตอบคำถาม แพคซอยอนก็หันซ้ายหันขวาด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ
“ทำไมเด็กๆ ใต้บังคับบัญชาของฉันถึงมีแต่คนแปลกๆ กันนะ ไม่เห็นซากพวกนี้หรือไง ทำงานไปได้ไม่เท่าไหร่ก็คิดแต่จะเที่ยวเล่น เฮ้อ”
“โธ่ เราได้รับแจ้งว่าที่จัตุรัสประสบความสำเร็จดี ที่วาร์ปเกตก็สำเร็จเหมือนกัน ดูจากสถานการณ์ก็เหมือนจะจบลงแล้วนี่ครับ ดูสิครับพี่ ผมทนไม่ไหวแล้ว”
แพคซอยอนมองชายหนุ่มที่พูดแทรกขึ้นมาด้วยหางตา จากนั้นก็พูดเสียงอ่อน
“พูดไปเรื่อยเลยนะ แต่ก่อนหน้านี้ทิ้งขว้างไปกี่คนแล้วล่ะ จริงสิ จับพวกตัวแทนเผ่าได้แล้วนี่นา นักบวชนั่นสเปกนายเลยนี่ ถึงได้วิ่งตามไปไวนัก”
“อ้า ก็ใช่ครับ แต่ว่าทำไม่ได้หรอก ไม่สิ ไม่ได้ทำ”
“ทำไมล่ะ”
“คือว่า-“
จู่ๆ ชายหนุ่มก็เงียบลง
“เป็นอะไรไป”
“พี่ครับ ข้างหลัง”
เมื่อเขาพยักพเยิดหน้าเบาๆ แพคซอยอนก็ค่อยๆ หันไปมองด้านหลัง หญิงสาวท่าทางไม่เต็มเต็งซึ่งโผล่มาจากด้านหลังของหล่อนตอนไหนก็ไม่รู้กำลังเดินมาหา ถ้าเรียกดีๆ ก็ใช้คำว่า ไม่เต็มเต็ง แต่ถ้าพูดตรงๆ ก็คือ สติไม่ดี
แพคซอยอนสำรวจสีหน้าของหญิงสาว จากนั้นก็หันไป
“กาอิน เธอไปไหนมา”
“พี่คะ เรื่องใหญ่”
“ไปไหนมา…หือ”
“จัตุรัส วาร์ปเกต ติดต่อ ไม่ได้”
ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นใบหน้าของทั้งสามคนก็เครียดขึ้นมา แพคซอยอนย่นคิ้วพลางถามกลับ
“หมายความว่ายังไง ตอนที่มาถึง…”
“จัตุรัส วาร์ปเกต ติดต่อ ไม่ได้”
หญิงสาวไม่เต็มเต็งยกลูกแก้วคริสตัลขึ้นมาพลางพูดซ้ำเพื่อตอบคำถามของแพคซอยอน หล่อนมองหญิงสาวครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“พัคดงซู อีแฮยอน หยุดพูดไร้สาระก่อน ถึงจะเร็วไปหน่อย แต่ว่ารีบรวบรวมพวกเด็กๆ ทันที เมื่อรวบรวมได้แล้วเราจะไปที่จัตุรัสและวาร์ปเกต”
“ตอนนี้เหรอครับ เรายังไม่ได้ยึดเมืองโดยสมบูรณ์เลยนี่ เราต้องจัดการบริเวณนี้แล้วค่อยเข้าไปไม่ใช่เหรอครับ แล้วพวกเด็กๆ ที่ปล้นอยู่แถวนี้ที่เหลือจะทำยังไงล่ะครับ”
“ทำตามที่บอกเถอะน่า”
เฮือก!
ชายที่ชื่อดงซูพยักหน้าและส่งสัญญาณทันที เงาที่กระจัดกระจายไปทุกทิศทางเมื่อครู่เริ่มกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
* * *