Memorize - เล่มที่ 15 ตอนที่ 6
ฮันโซยองปรับลมหายใจเล็กน้อย จากนั้นก็จ้องมาที่ผมพลางพูดขึ้น ดูจากบรรยากาศแล้วเรื่องที่จะได้ฟังต่อจากนี้ต่างหากที่น่าจะเป็นประเด็นหลัก
“ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ ฉันขอถามคุณหน่อยนะคะ”
“ผมฟังอยู่ครับ”
“ฉันจะถามตรงๆ เลยนะคะ ไม่ทราบว่าเผ่าเมอร์เซนต์นารี่มีอีลิกเซอร์บ้างไหมคะ”
“เอ๊ะ…”
ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัวกับคำถามที่กะทันหัน เมื่อผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงแปลกใจ ฮันโซยองก็ตีความไปเองแล้วทำท่าเสียดาย
“ไม่มีสินะ เฮ้อ ขอโทษด้วยนะคะ”
“เดี๋ยวก่อนนะครับ ทำไมจู่ๆ ถึงถามหาอีลิกเซอร์ล่ะครับ”
ใบหน้าของฮันโซยองดูอ่อนล้าในพริบตา ผมสงสัยว่าเหตุผลที่หล่อนมาถึงช้าคงเพราะมัวแต่ไปที่เผ่านั้นเผ่านี้เพื่อตามหาอีลิกเซอร์หรือเปล่านะ หล่อนทำสีหน้าขอโทษขอโพยกับคำถามของผมพลางส่ายหน้า
“เหมือนฉันมีแต่เรื่องให้ต้องเอ่ยขอโทษบ่อยๆ เลยนะคะเนี่ย ขอโทษด้วยค่ะลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ ถึงอยากจะบอกเหตุผลแต่ฉันก็ไม่สามารถบอกรายละเอียดได้เนื่องจากมีเบื้องหลังที่ซับซ้อน”
“เผ่าเมอร์เซนต์นารี่อาจจะพอช่วยได้ มีผู้ได้รับบาดเจ็บในเผ่าอีสตันเทลลอว์จากการตรวจสอบในคราวนี้เหรอครับ”
“เปล่าค่ะ การตรวจสอบเสร็จเรียบร้อยดี เป็นคำขอร้องมาจากเมืองตะวันออก ไม่ใช่เผ่าอีสตันเทลลอว์หรอกค่ะ อีลิกเซอร์จำเป็นต่อชีวิตของผู้เล่นระดับสูงคนหนึ่งในเผ่าทางตะวันออกค่ะ ผู้เล่นคนนั้นเป็นผู้เล่นที่ฉันรู้จักดี”
“งั้นเหรอครับ ผมอยากรู้ บอกผมได้ไหมครับ”
ฮันโซยองมีสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อยจากนั้นก็พูดเบาๆ
“มีเผ่าก่อตั้งใหม่ที่ชื่อเผ่าแฮมิลค่ะ ที่นั่นต้องการอีลิกเซอร์ นี่คือเรื่องที่ฉันพอจะบอกคุณได้…”
“เอ๊ะ เผ่าแฮมิลเหรอครับ”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้นผมก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมาด้วยความกระวนกระวาย
ดึกมากแล้ว ผมกลับมายังห้องพักส่วนตัวบนชั้นสี่ของอาคารส่วนกลาง ผมนอนลงบนเตียงและพยายามข่มตานอน แต่ก็นอนไม่หลับ
อีลิกเซอร์ อีลิกเซอร์ที่เผ่าเมอร์เซนต์นารี่เก็บไว้ตอนนี้มีทั้งหมดสามขวด เดิมทีมีแค่สองขวด ใช้กับวิเวียนไปหนึ่งขวด แต่ต่อมาก็ได้รับจากเคออซ มิมิคอีกสองขวด ผมวางแผนจะใช้งานมันเอาไว้ทั้งหมดแล้ว ขวดหนึ่งเป็นของผม ขวดหนึ่งเป็นของคิมยูฮยอน และอีกขวดหนึ่งเป็นของฮันโซยอง
หากชีวิตของฮันโซยองตกอยู่ในอันตราย ผมก็คงมอบมันให้ทันทีโดยไม่ลังเล แต่ผู้เล่นที่จำเป็นต้องใช้ไม่ใช่ฮันโซยอง หลังจากคุยกับหล่อนแล้วในหัวของผมก็สับสนวุ่นวายไปหมด ผมหลับตาลงค่อยๆ นึกถึงบทสนทนาระหว่างผมกับหล่อน
“เผ่าแฮมิลค่ะ”
“คิมยูฮยอนเหรอครับ คุณรู้จักกับลอร์ดแฮมิลด้วยเหรอ”
“ไม่ใช่ค่ะ ผู้เล่นที่ต้องการมันไม่ใช่คิมยูฮยอน”
“เป็นผู้เล่นที่ถูกแบนชีโจมตี ตอนนี้อีลิกเซอร์คือหนทางเดียวที่จะช่วยชีวิตเธอได้ เหลือเวลาไม่ถึงสองสัปดาห์…”
ตอนแรกที่ได้ยินว่าเผ่าแฮมิล คนแรกที่ผมนึกถึงก่อนใครก็คือพี่ชาย คิมยูฮยอน ผมถามกลับทันทีและโล่งใจที่คำตอบไม่ใช่คิมยูฮยอน แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ไม่ได้แปลว่าความสับสนจะจางหายไป
ในรอบแรกผมเป็นแค่ผู้เล่นทั่วไป การตามหากองคาราวานหนึ่งวันในจัตุรัสเป็นเรื่องปกติ หาเงินมาใช้ชีวิตแบบวันต่อวัน จนกระทั่งได้เจอกับพี่ชายโดยบังเอิญและเข้าร่วมกับเผ่าแฮมิล
แน่นอนว่าผมยังจำการเดินทางของพี่ชายได้คร่าวๆ หลังจากได้รับชัยชนะในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เผ่าแฮมิลก็กลายเป็นหนึ่งในเผ่าที่ยอดเยี่ยมที่สุด แต่ว่าผมไม่รู้เรื่องราวก่อนที่จะเข้าร่วมเผ่ามากนัก ผมจึงไม่รู้ว่าผู้เล่นในเผ่าแฮมิลที่ต้องใช้อีลิกเซอร์ในตอนนี้คือใคร
‘ทำไมถึงบอกไม่ได้นะว่าเป็นใครกัน’
ยิ่งครุ่นคิดผมก็ยิ่งนอนไม่หลับ ผมพลิกไปพลิกมาอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็ยอมแพ้กับการข่มตานอนและลุกขึ้น การเรียกเหงื่อที่ลานต่อสู้ชั้นใต้ดินคงจะทำให้ผมง่วงนอนได้
ผมลุกจากเตียงด้วยจิตใจที่ว้าวุ่นและเมื่อจับดาบเทพแห่งสุริยันจันทรา
แอ๊ด
ตอนนั้นเองก็ได้ยินเสียงเปิดประตูอย่างระมัดระวัง
“ซูฮยอน หลับอยู่หรือเปล่าคะ”
คนที่เปิดประตูเข้ามาก็คือโกยอนจู เมื่อผมหันไปทางประตูก็เห็นดวงตาสีเทาที่ส่องประกายในความมืดคู่หนึ่งจับจ้องมาที่ผม
“ตื่นแล้วครับ”
เมื่อเห็นว่าผมตื่นแล้ว ดวงตาที่เหมือนจันทร์เสี้ยวก็โค้งอย่างงดงาม โกยอนจูหัวเราะเบาๆ และเริ่มขยับเข้ามาใกล้ผม
ตึ่ก ตึ่ก
ทีละก้าว ทีละก้าว เสียงฝีเท้าเชื่องช้า แสงจันทร์สาดส่องผ่านมาทางหน้าต่าง มันทั้งเลือนรางและพร่ามัว เสียงนั้นดังผ่านแสงจันทร์และหยุดลงตรงหน้า ผมมองเห็นโกยอนจูเต็มตา
“ฉันมาเพื่อขอโทษเรื่องเมื่อคืนค่ะ ขอโทษนะคะ พอเห็นยอนฮเยริมแล้วฉันก็เสียสติไปเลย”
“คุณน่าจะรู้ดีนี่ครับ แต่ก็โชคดีที่ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ถึงจะรู้ว่าคุณมีความแค้นส่วนตัวต่อกัน แต่ต่อไปขอให้ระวังมากกว่านี้นะครับ ผมจะเตือนแค่ครั้งเดียว ไม่มีครั้งที่สอง”
“ค่ะ ฉันจะจำไว้ ฉันผิดเอง ต่อไปนี้ฉันจะไม่เป็นฝ่ายหาเรื่องก่อนและจะปล่อยผ่านไปค่ะ”
“เข้าใจแล้วครับ”
น้ำเสียงของโกยอนจูมีความจริงใจ คนอย่างหล่อนไม่มีทางโกหกแน่นอน ผมจึงเชื่อคำพูดนั้น
โกยอนจูไม่ได้พูดอะไรต่อแล้วหันหลังกลับไป
มองดูแผ่นหลังที่เดินลงบันไดไปเงียบๆ แล้วผมก็รู้สึกผิดนิดหน่อย ดูเหมือนว่าจะยังหลงเหลือความรู้สึกอยู่บ้าง เพราะเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกับยอนฮเยริมและฮันโซยองมาก่อน ถึงหล่อนจะทำเป็นหยิ่งยโสแต่ก็ยังจะอาจจะรู้สึกเสียใจอยู่ก็ได้
ผมเลียริมฝีปากอย่างขื่นขมพลางหมุนตัวเดินไปตามทางเดินชั้นสาม
ในตอนนั้นเองผมก็ได้ยินเสียงใครบางคนขึ้นบันไดมา
เมื่อผมหยุดรอนิ่งๆ ก็เห็นใครบางคนค่อยๆ เดินขึ้นมาจากชั้นสอง เจ้าของเสียงฝีเท้าก็คืออิมฮันนา
“สวัสดีครับ”
“อุ๊ย! แคลนลอร์ด”
อิมฮันนาเบิกตากว้างพลางกะพริบตาด้วยความตกใจเมื่อเห็นผม
“เร็วไปหน่อยที่จะบอกว่าเช้าแล้ว ตื่นเร็วจังเลยนะครับ”
“อ้า ค่ะ ปกติฉันก็ไม่ได้นอนเยอะหรอก พอมาอยู่ในที่ใหม่ๆ ก็เลยรู้สึกไม่คุ้นนิดหน่อย แล้วฉันก็อยากเดินดูส่วนต่างๆ ของแคลนเฮาส์ด้วย จะเป็นการรบกวนไหมคะ”
“ผู้เล่นอิมฮันนาก็เป็นสมาชิกเผ่าเมอร์เซนต์นารี่นี่ครับ ไม่รบกวนหรอก”
“ขอบคุณสำหรับความเอื้อเฟื้อนะคะ”
อิมฮันนาโค้งอย่างสุภาพพลางยิ้มเล็กน้อย และแล้วความเงียบก็มาเยือน หล่อนคงรู้สึกอึดอัดเมื่อบทสนทนาจบลงจึงหลบตาผมและเอาแต่จ้องมองพื้น ในขณะที่ผมกังวลว่าจะทำอย่างไรดี จู่ๆ อิมฮันนาก็พูดขึ้นมา
“ว่าแต่ว่าแคลนลอร์ด…”
“ผมกำลังจะไปที่คลังชั้นสามครับ”
“อ้า งั้นเหรอคะ”
“ถ้าไม่รังเกียจจะขึ้นไปด้วยกันไหมครับ”
อิมฮันนายังคงจับจ้องพื้นและขยับนิ้วมือไปมา แต่หลังจากนั้นก็พยักหน้ารับเป็นคำตอบ
‘ปกติแล้วเป็นคนแบบนี้หรือไงนะ’
ผมคิดเงียบๆ ในขณะที่เดินนำหน้าไปตามทางเดิน อิมฮันนาแห่งเลิฟเฮาส์ดูใจดี แต่ก็ไม่ได้ขี้อาย
แม้แต่ตอนที่พูดคุยกับผมเรื่องดอกไม้กลางคืน หล่อนก็ไม่ได้เอ่ยขออย่างขลาดเขิน เห็นได้ชัดว่าหล่อนมีความมั่นใจที่ล้นเหลือ
ผมไม่คิดว่าเราจะอึดอัดใส่กัน เพราะว่าอายุเท่ากัน แต่ดูจากสีหน้าในตอนนี้หล่อนดูลำบากใจ
ไม่นานนักก็มาถึงหน้าคลัง ผมยื่นมือไปที่วงแหวนเวทซึ่งถูกวาดไว้ตรงกลางและเมื่อฝ่ามือของผมสัมผัสกับพื้นผิวเย็นเยียบ กลไกเวทมนตร์ก็ค่อยๆ เริ่มทำงานวงแหวนเวทส่องแสงสีน้ำเงินตอบรับ จากนั้นก็รู้สึกว่ากุญแจปลดล็อกจากด้านใน
“ตอนนี้มีสมาชิกเผ่าที่สามารถเปิดประตูคลังได้ทั้งหมดสามคน รวมผมด้วย เพราะเรามีอุปกรณ์ที่ต้องเก็บรักษาอยู่จึงจำเป็นต้องทำแบบนั้น”
“อ้า ฉันได้ยินมาเหมือนกันค่ะ ระบุตัวตนด้วยวงแหวนเวทสินะคะ”
“ใช่แล้วครับ ถ้างั้นเข้าไปเลยไหมครับ”
“ค่ะ”
ผมผลักประตูและเข้าไปข้างใน
อุปกรณ์ที่ได้รับจากการปิดงบคราวก่อนถูกจัดเอาไว้อย่างสวยงามในคลัง อุปกรณ์บางส่วนถูกแขวนไว้บนผนังและบนชั้นวางของ ส่วนของที่เหลือ เช่น ของมีค่าและอัญมณี ถูกวางรวมกันไว้บนพื้น
ในขณะที่เปิดช่องเก็บโพชั่น ผมหันกลับไปมองอิมฮันนาซึ่งกำลังมองรอบๆ อย่างระมัดระวังพลางพูดขึ้น
“ผู้เล่นอิมฮันนาอายุเท่าไหร่เหรอครับ”
“ฉันเหรอคะ อายุยี่สิบสี่แล้วค่ะ แล้วแคลนลอร์ดล่ะคะ อายุเท่าไหร่”
“ผมก็อายุยี่สิบสี่ครับ เราอายุเท่ากันเลย”
“อ้าว จริงเหรอคะ โชคดีจัง”
ผมแค่ถามเพื่อทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดใจ แต่ท่าทีตอบสนองของอิมฮันนาน่าแปลกใจมาก
“โชคดียังไงเหรอครับ”
“อ้า ฉันแค่ดีใจที่ได้เจอคนที่อายุเท่ากันค่ะ คนรอบตัวฉันทุกคนอายุน้อยกว่าหรือไม่ก็มากกว่าฉัน ดังนั้นฉันก็เลยอยากจะมีเพื่อนสักคน”
“เพื่อนเหรอครับ ในเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ก็มีผมคนเดียวที่อายุยี่สิบสี่ ถ้างั้นเรามาเป็นเพื่อนกันไหมครับ พูดจากันอย่างเป็นทางการแบบนี้คงลำบาก เรามาพูดกันแบบไม่เป็นทางการก็ได้ครับ”
“มะ ไม่ได้หรอกค่ะ ฉันจะกล้าพูดจาแบบนั้นกับแคลนลอร์ดได้ยังไง… ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นหรอกนะคะ”
พวกผู้เล่นเป็นคนในยุคปัจจุบันทั้งหมด ถึงแม้เราจะมีมารยาทในสถานที่ที่เป็นทางการ แต่ก็ไม่แปลกที่จะพูดไม่เป็นทางการกันบ้าง ฮันโซยองผู้มีคาริสม่าอันยอดเยี่ยมยังอนุญาตให้สมาชิกเผ่าบางคนพูดจาสบายๆ ในพื้นที่ส่วนตัว ตัวอย่างเช่น ยอนฮเยริม
เมื่อผมมองดูโพชั่นที่วางรวมกัน ผมก็เจอขวดโพชั่นสามขวดที่บรรจุของเหลวสีเหลืองเอาไว้ ผมหยิบออกมาหนึ่งขวดและลุกขึ้นยืนพลางพูดต่อ
“ไม่เป็นไรครับ ดูเหมือนมันจะทำให้คุณลำบากใจเกินไป ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปมันจะลำบากนะครับ”
“ถะ ถ้างั้น…ฉันขออะไรสักอย่างได้ไหมคะ”
“เอ๊ะ ครับ ลองพูดมาสิครับ”
“ฉะ…ฉันจะพูดแบบเป็นทางการสักระยะหนึ่ง แคลนลอร์ดพูดแบบไม่เป็นทางการกับฉันได้ไหมคะแล้วก็ฉันจะขอเรียกว่าพี่… อ๊ะ อันนี้ไม่ได้สิ”
‘อะไรเนี่ย’
ใบหน้าของอิมฮันนาแดงก่ำ ผมพามาดูคลังอุปกรณ์แต่ดูเหมือนความสนใจทั้งหมดจะพุ่งมาที่ผมแทนเสียแล้วๆ จู่ผมก็นึกถึงตอนที่สบตากับหล่อนในห้องประชุม ในตอนนั้นดวงตาของอินฮันนาเต็มไปด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า
ผมเอียงคอเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้ารับอย่างง่ายดาย เพราะมันไม่ใช่คำขอร้องที่ยากอะไร
“ก็ได้ครับ ถ้างั้นต่อไปนี้ฉันจะพูดแบบสบายๆ นะ อิมฮันนา”
“ขอบคุณค่ะ ฉันขอพูดแบบเป็นทางการไปก่อน หลังจากนี้ถ้าสบายใจแล้ว ฉันจะเปลี่ยนไปพูดแบบไม่เป็นทางการค่ะ”
“ก็ได้ ฉันจะออกไปแล้ว อยากจะดูอะไรอีกไหม”
“ไม่ค่ะ ฉันก็จะออกไปเหมือนกันค่ะ”
อิมฮันนาส่ายหน้า จากนั้นเราก็ออกมาข้างนอกแล้วปิดประตู หญิงสาวมองขวดโพชั่นในมือของผมและเอ่ยถาม
“นั่นขวดอะไรเหรอคะ”
“อีลิกเซอร์น่ะ”
“ว้าว! นี่คืออีลิกเซอร์เหรอเนี่ย”
“ได้มาโดยบังเอิญน่ะ อิมฮันนา ถึงจะเช้าไปสักหน่อย แต่ช่วยอะไรสักอย่างได้ไหม”
อิมฮันนาพยักหน้าพลางตอบว่า “แน่นอนค่ะ” ผมมองหล่อนพลางครุ่นคิดอย่างหนัก
ผมจะเก็บเรื่องของโกยอนจูและอิมฮันนาไว้ก่อน ตอนนี้ถึงเวลามุ่งไปที่เรื่องของฮันโซยอง อีลิกเซอร์จำเป็นต่อเผ่าแฮมิล ความมุ่งมั่นอันแรงกล้าที่จะทำทุกวิถีทาง เขาไม่ได้เป็นแค่พี่ชายเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตสมาชิกเผ่าแต่ละคนเอาไว้ด้วย
แต่ทุกสิ่งมีลำดับและขั้นตอน การตัดสินใจไปเมืองตะวันออกเพื่อไปพบพี่ชายใช้เวลาไม่นานนัก ตะวันออกและตะวันตกยังคงเป็นพันธมิตรต่อกันแบบเงียบๆ ดังนั้นถ้าใช้วาร์ปเกตก็คงใช้เวลาหนึ่งชั่วโมง ไม่สิ ไม่ถึงสามสิบนาทีด้วยซ้ำ
‘เผ่าแฮมิลมีผู้เล่นที่โดนคำสาปของแบนชี เหลือเวลาอีกไม่ถึงสองสัปดาห์ สามารถช่วยชีวิตได้ด้วยอีลิกเซอร์’
ผมจัดการความคิดเงียบๆ และหันไปพูดกับอิมฮันนาซึ่งกำลังรอคอยคำตอบ
“ฉันจะออกไปข้างนอกสักพัก คงใช้เวลาไม่นานมาก ไม่ต้องปลุกใคร แต่ถ้าสมาชิกเผ่าตื่นแล้ว บอกให้ทุกคนไปรวมตัวกันที่ห้องประชุมเล็กชั้นสามได้ไหม”
“ไม่ใช่เรื่องยากเลยค่ะ ว่าแต่จะไปไหนเหรอคะ”
“แท่นบูชา”
“แท่นบูชาเหรอคะ”
สิ่งที่ผมต้องการตอนนี้คือข้อมูล อีลิกเซอร์ที่ผมถืออยู่นี้จะช่วยรักษาอาการผิดปกติใดๆ ก็ตามหากว่ายังมีชีวิตอยู่ มันคือโพชั่นอมตะที่เหมือนกับชีวิต สิ่งนั้นนำพาความรู้สึกได้อย่างง่ายดาย ในฐานะผู้เล่นที่จะใช้มันและในฐานะแคลนลอร์ด มันเป็นเรื่องที่ต้องเสียสละให้ได้
ผมตอบคำถามทางพยักหน้านิ่งๆ
“อืม ฉันจะไปพบทูตสวรรค์”
* * *