Memorize - เล่มที่ 16 ตอนที่ 10
“ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ครับ จัดการให้เสร็จเรียบร้อยตามที่สั่งแล้วครับ พวกเร่ร่อนที่ยังรอดชีวิตอยู่ ผมได้ถอดเสื้อผ้าของพวกมันออกจนหมด แล้วเอามาวางเรียงเป็นแถวให้แล้วครับ”
“ลำบากคุณเสียแล้วสิ ขอบคุณมากครับ”
“ฮ่าๆ ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรหรอกครับ ถ้าไม่ใช่ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่กับราชินีแห่งเงามืด ผมก็คงตายไปแล้วละครับ ขอบคุณจริงๆ ครับ”
โจซึงอูโบกมือปฏิเสธแล้วตอบกลับมาอย่างนอบน้อม หลังจากที่สามารถชำระแค้นกับพวกเร่ร่อนได้สำเร็จแล้ว ผมสังเกตได้ว่าท่าทางของเหล่าผู้เล่นมีอะไรเปลี่ยนแปลงไป ก่อนหน้านี้ยังดูท่าทางลำบากใจ ยุ่งยากในการรับมือกับพวกมันอยู่เลย แต่แล้วในที่สุดลักษณะท่าทีเช่นนั้นก็ค่อยๆ จางหายไป
ผมกับโจซึงอูเดินเข้ามายังด้านในสุด พร้อมกับมองไปยังต้นไม้ใบหญ้ารกทึบที่ยังคงตั้งตระหง่านอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ผมเองก็พอทราบเกี่ยวกับเวทมนตร์ชนิดนี้อยู่เหมือนกัน พอใช้เวทมนตร์เสร็จสิ้นแล้ว หากจะให้พลังเวทนั้นเลือนหายไป ก็ย่อมเสกให้มันหายไปได้ แต่การที่พลังเวทเหล่านั้นยังคงแสดงฤทธิ์เดชได้จนกระทั่งถึงตอนนี้ ทำเอาผมรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ดังนั้นผมจึงตัดสินใจใช้ดวงตาที่สามในการตรวจสอบข้อมูลของเขาอีกครั้ง
ข้อมูลผู้เล่น(Player Status)
1.ชื่อ(Name) : โจซึงอู (ปีที่ 3)
2.คลาส(Class) : นักเวททั่วไป (Normal, Mage, Expert)
3.ถิ่นกำเนิด(Nation) : บาร์บาร่า
4.ชนเผ่า(Clan) : คาร์อนนูรี (Clan Rank : C Plus)
5.นามแท้ • สัญชาติ : ผู้ไม่ยอมปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป • สาธารณรัฐเกาหลีใต้
6.เพศ(Sex) : ชาย (25)
7.ส่วนสูง • น้ำหนัก : 185.1 ซม. • 87.2 กก.
8.อุปนิสัย : ดี • ไขว่คว้าโอกาส (Good • Chance)
[พละกำลัง 48] [ความทนทาน 42] [ความคล่องแคล่ว 51] [ความแข็งแกร่ง 46] [พลังเวท 89] [โชค 78]
คะแนนพลังเหลือ 0 พอยต์
ไม่รู้ว่าเขาตีความการทอดสายตามองของผมไปในทิศทางความหมายอื่นหรือไม่ โจซึงอูส่งยิ้มมาให้แปลกๆ พร้อมชูมือขวาขึ้น มีเพชรแสงสีฟ้าอ่อนฝังอยู่ที่หลังมือของเขา โจซึงอูมองเพชรเม็ดนั้นด้วยสายตาที่แสนจะคลุมเครือ หลังจากนั้นจึงใช้นิ้วชี้หยิบเพชรออกมา
“เจ้าสิ่งนี้ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้วสินะ”
“ครับ?”
โจซึงอูหยิบเพชรเม็ดนั้นที่ฝังอยู่กับมือขวาออกมา ก่อนที่ผมจะได้เอื้อนเอ่ยคำใดออกไป ทันทีที่เพชรเม็ดนั้นถูกเอาออกมาได้สำเร็จ ที่หลังมือของเขาจึงบังเกิดหลุมเล็กๆ พร้อมกับมีเลือดไหลซึมออกมา
“เมื่อก่อนนี้ผมมีวาสนาได้พบเข้ากับเพชรเม็ดนี้เข้าน่ะครับ เจ้าเพชรเม็ดนี้น่ะหว่านพวกเมล็ดพันธุ์ต่างๆ แล้วควบคุมให้เมล็ดพันธุ์เหล่านั้นเจริญเติบโตขึ้นมาได้ อีกทั้งยังมีพลังเวทที่ช่วยสรรสร้างม่านกำบังให้อีกด้วยครับ”
“ใช้ได้แค่ครั้งเดียวเหรอครับ”
“ครับ อ้า ก็ปกติครับ แทนที่ผมจะใช้เพชรให้พาผมรอดชีวิตกลับมา แต่แล้วผมกลับรอดชีวิตมาได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นผมจึงมองว่าผมใช้มันได้อย่างเหมาะสมแล้วครับ ต้นไม้ ป่าไม้ที่เห็นเมื่อครู่นี้ หากพลังเวทที่ยังหลงเหลืออยู่ในเพชรเม็ดนี้มีค่าลดต่ำลงไป ก็จะทำให้ป่าไม้พวกนั้นหายไปตามธรรมชาติของมันครับ”
ผมรู้สึกได้ถึงสีหน้าที่แสดงออกซึ่งความเสียดายอยู่เล็กน้อย แต่นั่นเป็นคำพูดที่ถูกต้องแล้ว ผมจึงพยักหน้าตอบรับช้าๆ
เท้าของโจซึงอูหยุดการเคลื่อนไหวไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ สถานที่แห่งนี้ยังคงห้อมล้อมไปด้วยต้นไม้รกทึบดังเดิม และยังเป็นสถานที่เดียวกันกับที่เหล่าผู้เล่นและพวกเร่ร่อนไปเปิดฉากสู้รบกันอย่างดุเดือดเมื่อครู่ก่อนหน้านี้ด้วย มีพวกเร่ร่อนทั้งหมดสิบเอ็ดคนนอนเหยียดอยู่ตรงใจกลาง อุปกรณ์ทุกชิ้นล้วนถูกถอดออกไปหมดแล้วทั้งสิ้น แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังแสดงถึงมารยาท โดยการเหลือชุดชั้นในเอาไว้ปกปิดส่วนสำคัญ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมจะต้องทำตอนนี้คือการทำลายระบบหมุนเวียนเวทมนตร์ของพวกเร่ร่อน เหล่าผู้เล่นทุกคนล้วนมีระบบหมุนเวียนเวทมนตร์แฝงอยู่ภายในทั้งสิ้น หากจะให้แจงอย่างละเอียดมากกว่านี้สักเล็กน้อย คือในร่างกายของเหล่าผู้เล่นนั้นจะมีจุดเลือดลมไหลเวียนอยู่ ซึ่งพละกำลังต่างๆ ก็จะไหลผ่านเจ้ารูนี้เช่นกัน และหากรวมเส้นทางที่พละกำลังจะไหลเวียนผ่านทั้งหมดแล้ว เราจะเรียกเจ้าสิ่งนั้นว่ากลุ่มเลือด
ส่วนคำว่าระบบหมุนเวียนนั้น คงจะดีกว่าหากเราเรียกมันว่าเป็นเส้นทางการไหลเวียนชนิดหนึ่งที่เริ่มแพร่กระจายมาตั้งแต่หัวใจ หากอิงตามคำพูดของเหล่าฑูตสวรรค์ พวกเขาบอกว่าพละกำลังจะถูกหมุนเวียนผ่านหัวใจได้โดยพลังเวท และเมื่อไหลผ่านระบบหมุนเวียนนั้นแล้ว พละกำลังนั้นจึงจะแสดงพลังของตัวเองออกมา
วิธีที่จะทำลายมีอยู่มากก็จริง แต่ทว่าวิธีที่สามารถเลือกได้ในตอนนี้มีอยู่ทั้งหมดสามวิธี คือ หัวใจ, กลุ่มเลือด และระบบหมุนเวียนเวทมนตร์ ซึ่งวิธีที่ผมได้เลือกในบรรดาสามวิธีนี้คือการเข้าไปยุ่งกับระบบหมุนเวียนเวทมนตร์ของพวกมัน ในส่วนอื่นๆ ที่ผมไม่ได้เลือกก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่ในกรณีที่เข้าไปจัดการกับหัวใจหรือกลุ่มเลือดนั้น มีโอกาสสูงมากถึงขั้นเสียชีวิตได้ แต่ถึงอย่างนั้นไม่ได้หมายความว่าระบบหมุนเวียนเวทมนตร์จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ เพียงแค่ในบรรดาสามวิธีที่ว่านั้น วิธีนี้เป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว
ร่างกายที่แทบจะเปลือยหมดร่างของพวกเร่ร่อนสะท้อนกับแสงจันทร์ หลังจากนั้นจึงปรากฏแสงนวลๆ ออกมา พวกเร่ร่อนชายมีอยู่หกคน ส่วนพวกเร่ร่อนหญิงมีอยู่ห้าคน
ผมกวาดสายตามองโดยรอบ ก่อนที่จะเดินตรงไปยังพวกเร่ร่อนชายที่อยู่ด้านซ้ายสุด ผมมองเหล่าผู้เล่นที่รอดชีวิตมาได้ ยกเว้นสามคนที่ตายไปแล้ว พวกเขาล้วนมีสีหน้าดีใจที่ได้มีชีวิตอยู่ต่อ พร้อมกับมองไปยังพวกเร่ร่อนด้วยสายตาที่แฝงไว้ซึ่งความคาดหวังอะไรบางอย่าง และในบรรดาผู้เล่นเหล่านั้นมีอันซลรวมอยู่ด้วย
“คุณผู้เล่นโจซึงอู”
“อ๊ะ ครับ”
“ไม่ทราบว่าคุณได้เก็บอุปกรณ์ที่อยู่กับศพไปหรือยังครับ”
“ครับ? ไม่นี่ครับ ยัง…”
สายตาของพวกผู้เล่น รวมถึงโจซึงอูจดจ้องมาทางผม ที่พูดเสียงสูงขึ้นมาเพราะอยากจะให้ทุกคนตั้งใจฟังโดยเฉพาะ
“หากไม่ลำบากพวกคุณเกินไป อยากจะขอให้ทุกคนช่วยเก็บรวบรวมอุปกรณ์ที่ศพพวกนั้นใช้งานมาได้ไหมครับ ขอความกรุณาด้วยครับ”
“ได้อยู่แล้วครับผม แต่ถ้าคุณคิดว่าจะนำอุปกรณ์ไปด้วย มันจะไม่เยอะเกินไปหน่อยเหรอครับ ถึงจะไม่รวมพวกอุปกรณ์ที่พังไปแล้วก็เถอะ…”
“ดังนั้นความช่วยเหลือของทุกคนที่อยู่ที่นี่จึงจำเป็นยังไงละครับ หากช่วยนำอุปกรณ์เหล่านั้นไปด้วย แล้วเมื่อไหร่ที่เราถึงเมือง ผมจะตอบแทนให้เองครับ”
“อ้า…”
วินาทีที่ผมพูดจบ เหล่าผู้เล่นบางส่วนจึงมีแววตาที่แสดงถึงความประหลาดใจ สิ่งที่เหล่าผู้เล่นสูญเสียไปจากการบุกโจมตีของพวกเร่ร่อนในครั้งนี้คงจะมีอยู่ไม่น้อย ณ เวลานี้เราจะต้องร่วมมือและปฏิบัติไปพร้อมๆ กัน แต่ทว่าเมื่อเดินทางถึงเมืองแล้ว คงเป็นความสัมพันธ์ในรูปแบบอื่น หรือไม่ก็แทบไม่ต่างจากเดิมอะไรมากนัก ส่วนเรื่องของตอบแทนที่ว่านั้น เป็นคำพูดที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนเกินคำบรรยายก็จริง แต่ทว่าก็เปรียบเสมือนการให้โอกาสที่สามารถจะนำสิ่งของที่สูญหายไป กลับคืนมาได้อีกครั้งหนึ่ง
หลังจากที่ผมพูดในส่วนของตัวเองจบ ผมจึงหันหน้ากลับไปอย่างรวดเร็ว และทันใดนั้นก็ได้เห็นโกยอนจูกำลังพิงกายอยู่กับต้นไม้
‘โกยอนจู ฝากเรื่องอุปกรณ์ด้วยนะ’
‘ไม่ต้องเป็นห่วง เชื่อใจฉันเถอะค่ะ ซูฮยอน’
จะว่าแกล้งก็ได้ เหมือนแค่หล่อนมองตาผม หล่อนก็สามารถรับรู้ได้ถึงความต้องการของผม โกยอนจูส่งยิ้มสดใสมาให้ ก่อนที่จะเริ่มเดินไปยังสถานที่ที่ศพถูกกองทิ้งไว้ ผมได้ส่งมอบภาระหน้าที่ให้หล่อนก็จริง แต่การกระทำเช่นนี้แทบไม่ต่างอะไรกับการผลักภาระให้เลย เหล่าผู้เล่นคนอื่นๆ ก็ดูจะรู้ทันสิ่งนี้ พวกเขาจึงเริ่มเดินไปทีละคน สองคน และแน่นอนว่ายังคงมีผู้เล่นบางส่วนที่ยังยืนอยู่ที่เดิม
“อันซล เธอด้วย”
“ทะ ท่านพี่”
“คิมฮันบยอล และท่านผู้เฒ่าด้วย ช่วยพาอันซลไปด้วยนะครับ”
“รับทราบ”
คิมฮันบยอลพยักหน้ารับโดยไม่ได้พูดอะไร ส่วนท่านผู้เฒ่าก็ตอบรับเบาๆ กลับมา ผมมองอันซลที่ถูกทั้งสองคนจูงหายลับไป พร้อมกับใช้ดวงตาที่สามมองผ่านร่างพวกเร่ร่อน
ตอนนี้พื้นที่ว่างเปล่าได้กลายเป็นพื้นที่โล่งกว้างที่มีเพียงแค่ผมกับพวกเร่ร่อน ผมมุ่งหน้าไปหาพวกเร่ร่อนที่นอนอยู่ริมสุด แต่แล้วกลับค้นพบอะไรบางอย่าง จึงเคลื่อนตัวไปยังจุดศูนย์กลาง ข้างใต้นี้มีชายคนหนึ่งกำลังนอนอยู่ ดูทรงแล้วคงเป็นนักสู้ระยะประชิด ผมย่อตัวลงพลางมองเขา แล้วกดไปที่แขนของเขาอย่างเต็มแรง หลังจากนั้นจึงวางมือลงบนหน้าอกอันเกลี้ยงเกลา ผิวหนังของเขากำลังสั่นไหวเบาๆ อะไรบางอย่างขึ้นมาปะทะเข้ากับฝ่ามือของผม
“ฉันรู้แล้วว่าแกรู้สึกตัวแล้ว”
“…!”
ร่างกายของพวกเร่ร่อนสะดุ้งไปชั่วขณะ หลังจากนั้นจึงกลับมาแข็งทื่อดังเดิม ผมจึงใช้พลังเวทแทรกซึมเข้าไปยังภายในของพวกเร่ร่อนอย่างไม่รอช้า เดิมทีแล้วการทำให้ระบบหมุนเวียนเวทมนตร์ใช้การไม่ได้นั้น เป็นเรื่องที่ทำได้ยากเอาการ เพราะถึงเราจะต้องนำพลังเวทเข้าสู่ระบบหมุนเวียนอย่างไรก็ตาม แต่แล้วการกะปริมาณว่าควรนำเข้าไปประมาณเท่าไหร่นั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก
แต่ผมมีดวงตาที่สาม หากพวกเร่ร่อนที่อยู่ตรงหน้าผมนี้มีพลังเวทอยู่ที่แปดสิบห้า ในกรณีเช่นนี้ผมจึงสามารถตัดพลังเวทที่อยู่ในช่วงระดับต่ำกว่าแปดสิบห้าสักเล็กน้อยได้ และจากตรงนี้ หากใส่พลังเวทเข้าไปอีกเล็กน้อย อาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ ซึ่งหากใส่ในปริมาณต่ำเกินไป อย่างน้อยก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะสามารถฟื้นคืนกลับสู่สภาพปกติ
“อย่าลืมตา ลืมตาเมื่อไหร่ แกตายแน่”
หนังตาของพวกเร่ร่อนเริ่มสั่นสะท้านอย่างรุนแรง อาจเป็นเพราะรู้สึกถึงอะไรแปลกๆ ที่เข้ามาภายในร่างกายของตัวเอง ผมจึงกดเข่าที่กำลังกดทับแขนทั้งสองข้างของพวกเร่ร่อนให้แรงมากยิ่งขึ้น พร้อมกับมองภายในตัวพวกมันอย่างสังเวช เมื่อถึงจังหวะที่ผมคิดว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ผมจึงไม่ลังเลที่จะทำให้พลังเวทที่แทรกซึมในตัวพวกมันปะทุออกมา เพราะมันไม่ใช่เรื่องจำเป็นอะไรที่จะต้องมาถ่วงเวลา ผมเพียงแค่อยากจะพักผ่อนเร็วๆ เท่านั้น
ปัง! ปัง!
“อึก อ๊ากกก! อ๊ากกก!”
ตูม!
วินาทีที่ระเบิดปะทุ ร่างกายของพวกเร่ร่อนก็พองบวม ทั้งปาก ดวงตา จมูกต่างก็มีเลือดไหลออกมา พวกเร่ร่อนคนนี้ส่งเสียงกรีดร้อง บิดร่างกายไปมาอย่างทรมานราวกับร่างกายจะฉีกขาดออกจากกัน ตาถลนออกมาจากเบ้า ลิ้นห้อยออกมาจากปาก และด้วยความเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างสาหัสเช่นนี้ จึงทำให้หมดสติอีกรอบ
“ไปแล้วหนึ่ง”
ผมจึงลุกขึ้นยืนอีกครั้งหลังจากตรวจยืนยันระดับความเสียหายของระบบหมุนเวียนพลังเวทมนตร์เสร็จแล้ว ยังเหลืออยู่อีกประมาณสิบเอ็ดคน ซึ่งแน่นอนว่าแพคซอยอน คนที่สำคัญที่สุดก็รวมอยู่ในนั้นด้วย
* * *