Memorize - เล่มที่ 16 ตอนที่ 12
ในสถานการณ์ ณ ขณะนี้ ผมยังแอบเสียดายเล็กน้อยกับข้อจำกัดต่างๆ แต่ทว่าพอนึกถึงคราวที่ต้านทานพลังดวงตาแห่งการล่อลวงของโกยอนจูเมื่อครั้งก่อนได้นั้น ผมจึงสามารถเข้าใจได้อย่างคร่าวๆ แล้ว หากไม่มีข้อจำกัดเหล่านั้น มันจะกลายเป็นความสามารถในการล่อลวงผู้อื่นได้โดยแท้จริง ถึงขั้นที่ว่าใครๆ ก็ไม่อยากเชื่อแน่นอน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมปราถนาก็คือข้อมูลชั้นสูงต่างหาก มันไม่ใช่ข้อมูลธรรมดาทั่วๆ ไปที่สามารถค้นได้อย่างง่ายดาย แต่มันเป็นข้อมูลที่เหล่าผู้นำคนสำคัญต่างล่วงรู้กันหมด และหากพูดถึงพวกเร่ร่อนที่รู้ข้อมูลเช่นนั้นได้ แน่นอนว่าคือแพคซอยอนเพียงคนเดียวเท่านั้น
‘ถ้าอย่างนั้นหมายความว่าจะต้องทำให้แพคซอยอนยอมคายข้อมูลออกมาให้ได้ ไม่ว่าจะต้องทำยังก็ตาม…’
“ซูฮยอน ดูตรงนู้นหน่อยสิคะ”
“ครับ?”
ช่วงที่ผมจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองไปชั่วขณะ ผมเงยหน้าขึ้นมาเพราะรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกดึงแขนไปอย่างกะทันหัน โกยอนจูไม่ได้หันมามองทางผมเลยแม้แต่น้อย สายตาของหล่อนกำลังจับจ้องไปยังสถานที่ที่เหล่าผู้เล่นรวมตัวกันอยู่ ไม่รู้ว่าหล่อนกำลังมองอะไรอยู่กันแน่
ไม่ผิดแน่นอน ตรงจุดนั้นคือจุดที่เหล่าผู้เล่นผู้รับหน้าที่เฝ้าดูเจ้าพวกเร่ร่อนรวมตัวกันอยู่จริงๆ พวกมันอยู่ในสภาพถูกมัดแขนด้วยของที่อาจจะดูแปลกหูแปลกตาไปสักหน่อย อย่างเช่น ใช้หนังขาดๆ หรือก็ไม่พวกผ้าขาดๆ มามัดไว้ ส่วนพวกเร่ร่อนที่เป็นผู้หญิงนั้นอยู่ในสภาพที่ดูดีขึ้นมาหน่อย โดยมีผ้าหรือไม่ก็พวกฮู้ดคอยคลุมร่างอยู่
ดูอย่างไรก็เหมือนกับเป็นทาสไม่มีผิด พวกเร่ร่อนทุกคนกำลังคุกเข่า ก้มหน้าก้มตายอมจำนนกับความอัปยศอดสูที่เหล่าผู้เล่นมอบให้ ผมจึงปลุกพลังเวทไปที่สายตาและโสตประสาทโดยทันที
“เห็นว่าคอแห้งนี่ เราก็ให้น้ำไปแล้วไม่ใช่หรือไง หา? ทำไมไม่กินซักทีล่ะ”
“…”
“น้ำไม่พอ ก็เลยไม่กินงั้นสิ? ทีหลังก็บอกสิวะ เดี๋ยวเติมให้แล้วกันนะ ถุย!”
“อึก!”
ผู้เล่นที่เหลือแขนอยู่ข้างเดียวถุยน้ำลายใส่หน้าพวกเร่ร่อน เขามองเหยียดผู้ชายคนนั้นด้วยใบหน้ายิ้มเยาะ หลังจากนั้นจึงแปรเปลี่ยนมาเป็นสีหน้าที่แสนโหดเ**้ยม
“ทำไมไม่กินล่ะ นี่กำลังเมินน้ำใจฉันอยู่หรือว่าไง รีบกินซะสิ ไอ้นี่!”
หลังจากนั้นผู้เล่นที่เหลือแขนข้างเดียวจึงใช้เท้ากดหัวพวกเร่ร่อนคนนั้นลงไปอย่างเต็มแรง ทำให้ศีรษะของชายคนนั้นต้องจมมุดอยู่กับพื้นดินที่ถูกถ่มน้ำลายไปอย่างเสียไม่ได้ เหล่าผู้เล่นที่อยู่บริเวณนั้นมองดูภาพเหล่านั้น พร้อมหัวเราะคิกคัก
“ฉันเองก็พอเข้าใจเขาอยู่นะ แต่สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนนี่มันช่างน่ากลัวจริงๆ เลยค่ะ”
โกยอนจูยักไหล่ พร้อมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงตามปกติ ผมจึงจ้องมองไปยังภาพเหล่านั้นเข้าไปอีก แล้วตอบกลับไปอย่างแผ่วเบาว่า
“…ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกันครับ”
แต่ทว่าไม่ใช่ผู้เล่นที่เหลือแขนข้างเดียวทำแบบนั้นคนเดียว มีผู้เล่นหญิงสามคนเดินเข้าไปยังบริเวณที่แพคซอยอนอยู่ พร้อมกับทำพฤติกรรมอย่างเดียวกัน ผู้เล่นหญิงสองคนจับลำตัวและใบหน้าของหล่อนเอาไว้แน่น ส่วนที่เหลืออีกหนึ่งคนนั้นก็ด่าเทสาดเทเสีย พร้อมกับตบหน้านับครั้งไม่ถ้วน
เมื่อไม่นานมานี้เอง พวกเขายังเป็นเพียงแค่เหล่าผู้เล่นที่แค่ได้ยินชื่อพวกเร่ร่อนก็ตัวสั่นงันงก แต่พอได้รู้ว่าพวกมันหมดหนทางสู้แล้ว พวกเขากลับกล้าบ้าบิ่นกล้าต่อกรกันตัวต่อตัว อีกทั้งยังสามารถเขี่ยความหวาดกลัวทิ้งไปได้อีกด้วย ความหวาดกลัวปนความเคียดแค้นจึงกลายมาเป็นความไม่พอใจเช่นนี้
“เฮ้อ ก็พอเข้าใจได้อยู่นะคะ หากมองในมุมที่เป็นผู้หญิงเหมือนกัน จริงสิ คุณเห็นนักบวชที่กำลังโบกมือหยอยๆ อยู่ตรงนู้นไหมคะ”
“เห็นครับ”
“เห็นว่าเป็นผู้หญิงที่เกือบโดนพวกเร่ร่อนเล่นงานเอาตอนนั้น โอ๊ะ เมื่อกี้โดนตบเข้าไปอย่างจังเลยค่ะ แก้มแพคซอยอนแดงเถือกเลยนะคะนั่น”
“…”
ตอนนั้นผมตั้งใจว่าจะลุกไปหยุดการกระทำเช่นนั้น แต่แล้วก็ตัดสินใจได้ว่าจะรอดูลาดเลาอีกสักหน่อย ตอนนี้น้ำกำลังเชี่ยว ดังนั้นผมจึงคิดว่าจะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นแล้วกัน ผมจึงจ้องมองไปยังอันซลกับสาวน้อยนักฆ่าด้วยใจที่แสนจะเบิกบาน ทั้งสองคนกำลังสวมเครื่องประดับหัวที่ทำจากหญ้าให้กันและกัน
“อุ๊ย! โดนฟาดยันคางเลยเหรอ ซูฮยอน ดูตรงนู้นอยู่หรือเปล่าคะ”
“ปล่อยไปเถอะครับ ยังไงนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกนี่ครับ”
“แต่ดูจากวันนี้ก็หนักหนาสาหัสเอาเรื่องอยู่เหมือนกันนะคะ นั่นไง มีคนจะตายแล้วนะคะ พวกผู้หญิงนั่นยังมีอะไรให้ล้วงความลับอยู่อีกเยอะเลยแท้ๆ…”
“ฮ่าๆ จะโดนฆ่าจริงๆ เหรอครับ ระดับความรุนแรงคงจะหนักขึ้นอยู่เรื่อยๆ แหละครับ ทั้งเหล่าผู้เล่น, เพื่อนร่วมงาน, เพื่อน, ครอบครัว, คนรัก อ้า ไม่สิ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะตายไหม ลองคิดถึงเรื่องกฏแห่งกรรมดูบ้างเถอะครับ”
“หืม?”
โกยอนจูหรี่ตามองแล้วหันหน้ามาทางผม สายตานั้นทำเอาผมต้องหันกลับไป แล้วมองไปยังภูเขาที่อยู่ไกลแสนไกล ซึ่งตัวผมเองกลับไม่มองเห็นภูเขาลูกนั้นเลย
“ว่าไงคะ~”
โกยอนจูพูดด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก พร้อมกับมาคล้องแขนผมไว้ ทันทีที่ผมหันหน้ากลับไป ผมก็เห็นหล่อนกำลังพิงไหล่ เอาหัวมาถูไถไปมา
“ทำไมจู่ๆ ถึงทำแบบนี้ล่ะครับ”
“จู่ๆ อะไรกันคะ มีอะไรคะ ไหนเล่าให้ฟังหน่อยสิคะ”
“ครับ?”
“อย่ามาแกล้งทำเป็นไม่รู้หน่อยเลยค่ะ ฉันเห็นซูฮยอนเป็นแบบนี้ได้ครั้งสองครั้งแล้วมั้งคะ อย่ามาทำงี้ รีบพูดเร็วเข้าค่ะ ตอนไปสู้รบก็เห็นบินร่อนไปมาอย่างร่าเริงอยู่เลย แต่พอทำลายระบบหมุนเวียนพลังเวทมนตร์ได้สำเร็จ คุณก็ทำตัวเหมือนแตะต้องอะไรไม่ได้เสียอย่างนั้นแหละค่ะ คุณกำลังวางแผนทำอะไรอยู่กันแน่คะ”
“ไม่ได้คิดจะทำอะไรทั้งนั้นแหละครับ”
ผมหลบตา แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ หลังจากนั้นผมก็รู้สึกอะไรบางอย่างนิ่มๆ กำลังถูไถอยู่ที่แขน แต่ผมก็ไม่หวั่นไหวอะไรทั้งนั้น
“อย่างนั้นจริงๆ น่ะเหรอคะ”
“ยังไม่ใช่เวลาครับ”
“เวลางั้นเหรอคะ”
“ฮ่าๆ ผมยังต้องการเวลาเพิ่มอีกสักหน่อยน่ะครับ ยังไม่ใช่ตอนนี้หรอก”
ผมพูดอ้อมๆ อย่างนิ่มนวลที่สุด หลังจากนั้นจึงลุกขึ้นมาจากที่นั่ง ผมรู้ความพิเศษของพวกเร่ร่อนแล้ว และแพคซอยอนเป็นคนแบบไหน ผมเองก็รู้เสียยิ่งกว่ารู้ เป้าหมายสุดท้ายของผมคือ แพคซอยอน ผู้หญิงคนนั้นนั่นเอง การบังคับขู่เข็ญแบบธรรมดาๆ แบบนั้นน่ะ ไม่สามารถบังคับให้หล่อนยอมจำนนต่อพวกเราได้หรอก
เพราะฉะนั้นแล้วเราจึงต้องค่อยๆ ตะล่อมเข้าไปอย่างช้าๆ ช้าให้ได้มากที่สุด อีกทั้งเราจำเป็นที่จะต้องทำให้พวกเร่ร่อนที่อยู่รอบข้างจนตรอกอย่างถึงที่สุด เพื่อที่จะทำสิ่งนั้นให้ได้สำเร็จ
ผมมองแก้มป่องๆ ของโกยอนจู แล้วหัวเราะออกมาเบาๆ
“ทำแก้มป่องอยู่ได้ ปล่อยลมออกมาได้แล้วครับ ผมคิดว่าอีกเดี๋ยวจะเล่นเกมอะไรสนุกๆ สักเกมหนึ่ง”
“เกมเหรอคะ”
“ครับ ถึงเวลาแล้วผมจะเชิญโกยอนจูแน่นอน”
“…?”
โกยอนจูได้แต่เอียงคอไปมาด้วยใบหน้าไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด
* * *
“สรุปคือยังหาตัวไม่พบ แล้วก็ยังไม่กลับมาด้วยงั้นเหรอ”
“ครับ พัคดงซู ผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านแพคซอยอนเองก็กำลังสืบค้นหาตัวอยู่ แต่ว่า…”
“เฮอะ กลับมาก็บ้าแล้ว”
ฮยอนเอามือก่ายหน้าผาก สีหน้าท่าทางราวกับคนปวดหัว ผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา ลอบมองตาฮยอนครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงค่อยเปิดปากพูดอย่างระมัดระวังออกไปว่า
“คือ…ตอนนี้เวลาผ่านไปได้สองสัปดาห์แล้วครับ”
“แล้ว?”
“ท่านผู้นำครับ หากเกิดเหตุเช่นนี้ ควรมองว่าโดนพวกสะกดรอยตามเล่นงาน จะไม่ถูกต้องเสียมากกว่าหรือครับ”
ฮยอนไม่ได้ตอบกลับไปโดยทันที หลังชายผู้นั้นพูดจบ เขาลดมือที่ก่ายอยู่บนหน้าผากลง แล้วถอนหายใจออกมา
“ไม่เข้าใจเลยจริงๆ แพคซอยอนไม่ได้ไปแค่คนเดียวไม่ใช่หรือไง ทั้งคิมดาฮเย ผู้มีความสามารถในม่านกำบัง, อีแฮอิน นักธนู และก็ใครสักคนที่เป็นนักเวท ที่ชอบเหม่ออยู่ตลอดน่ะ…”
“พูดถึงอีกาอินอยู่หรือเปล่าครับ”
“อืม คนที่มีความสามารถอยู่ระดับคลาสหายากแบบนั้น จะโดนพวกสะกดรอยตามเล่นงานงั้นเหรอ ไม่น่าใช่มั้ง”
“…”
คราวนี้ชายผู้นั้นปิดปากเงียบสนิท ไม่ได้พูดอะไรออกไปอีก แต่สองคนรู้อยู่แก่ใจดีว่ามีโอกาสสูงมากที่จะเกิดเรื่องขึ้นตามสิ่งที่ชายผู้นั้นได้พูดออกมา จะให้จินตนาการว่าแพคซอยอนโดนทรยศ เห็นทีคงเป็นเรื่องยาก และยังเป็นเรื่องที่จะไม่มีวันเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน ฮยอนจิ๊ปาก สีหน้าของเขาดูอึดอัดอย่างไรชอบกล หลังจากนั้นเขาจึงมองไปยังชายผู้นั้น
“คงจะไม่เป็นอะไรมาก หากแพคซอยอนตายไปแล้วจริงๆ แต่หากโดนจับตัวไปล่ะก็…”
“ก็ต้องหวังให้ฆ่าตัวตายไปใช่ไหมล่ะครับ”
“…ในกรณีที่มันอาจจะเกิดขึ้นได้นั่นละ ว่าแต่ซ่อมแซมวาร์ปเกตเสร็จแล้วใช่ไหม”
“ครับ ตอนนี้โดโรธีกับเบธโดนทะลุทะลวงไปแล้วเรียบร้อย บางทีสัปดาห์หน้า อาจถึงคราวของฮาโลที่จะต้องโดนแบบนั้นบ้างครับ”
ฮยอนพยักหน้ารับกับคำรายงานของชายผู้นั้น
“นั่นแหละ เป็นสิ่งที่เราต้องจับมามอง ยังไงก็ตาม ช่วยฝากบอกด้วยนะว่าหยุดล้อเล่นกับพวกผู้เล่นเสียที ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราจะต้องคอยเฝ้าระวังและสืบค้นหาตัวให้ถึงที่สุดให้ได้”
“รับทราบครับ”
“นายเองก็ด้วย จะคนใหญ่คนโตก็ไม่เว้น แต่ไม่ใช่ถึงกับห้ามอะไรเด็ดขาดหรอกนะ ฉันจะคอยควบคุมจัดการโดยตรงเอง แค่นายรับทราบและปฏิบัติตามให้เหมาะสมก็พอ”
“ครับ?”
จากการย้อนถามของชายผู้นั้น ทำเอาฮยอนจิ๊ปากออกมาอย่างไม่พอใจ แล้วพูดต่อไปว่า
“ก็…คราวก่อนนู้นมีผู้เล่นคนหนึ่งที่นายถูกใจไม่ใช่หรือไงเล่า”
“อ้า…ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับท่าน”
ชายผู้นั้นตอบออกมา พร้อมกับรอยยิ้มแสนขมขื่น ไม่รู้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ หลังจากนั้นฮยอนจึงพยักหน้าน้อยๆ ชายผู้นั้นจึงหันกาย เดินออกไปทันที ท่าทางการย่างก้าวของชายผู้นั้นแลดูไม่ธรรมชาติอย่างไรชอบกล
* * *