Memorize - เล่มที่ 16 ตอนที่ 21
“มะ เมืองนี่! เราเข้ามาในตัวเมืองกันแล้วจริงๆ!”
“รอดแล้ว! พวกเรารอดแล้ว! รอดแล้วแม่จ๋า ฮือ ฮือ…”
วินาทีที่พวกเราเข้าไปยังเอเดนได้สำเร็จ เมือง ณ ขณะนั้นราวกับมีเสียงอึกทึกครึกโครมไปทั่วบริเวณ เพราะเหล่าผู้เล่นต่างส่งเสียงโห่ร้องออกมาด้วยความดีใจ มีบางคนทรุดตัวลงร้องไห้อยู่กับพื้นบ้าง แต่นั่นไม่ใช่น้ำตาที่หลั่งออกมาจากความเศร้าโศก แต่เป็นน้ำตาที่สื่อถึงความดีอกดีใจที่ได้มีชีวิตรอดกลับมาอีกครั้งหนึ่ง
ในตอนแรกนั้น พวกเราคาดการณ์ไว้ว่าน่าจะใช้เวลาเดินทางประมาณสามสี่วัน แต่จริงๆ กลับใช้เวลาถึงสามสี่สัปดาห์ ผมแทบจะไม่ได้คาดคิดคาดฝันมาก่อนเลยจะเรื่องราวทุกอย่างจะกลายมาเป็นเช่นนี้ และที่แห่งนี้คือเมืองที่ผมไม่ได้เห็นมานานมากแล้วจริงๆ จึงทำให้ผมรู้สึกว่าเหมือนได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง…ไม่สิ เรามีเรื่องที่จะต้องทำทันทีเมื่อมาถึงที่นี่ ดังนั้นผมจึงเรียกโกยอนจูเบาๆ อย่างไม่ให้คนอื่นผิดสังเกต
“โกยอนจู เรื่องนั้นเป็นอย่างไรแล้วบ้างครับ”
“คะ? เรื่องนั้นน่ะเหรอคะ”
โกยอนจูเบิกตาโพลงในตอนแรก แต่พอผมค่อยๆ ใช้สายตาจ้องมอง หล่อนจึงเริ่มอมยิ้ม
“อ้อ อุปกรณ์น่ะเหรอคะ ก็จัดการไว้ให้เรียบร้อยแล้วน่ะสิคะ~”
“ตอนเดินทางมา พวกผู้เล่นมีหิ้วอุปกรณ์พวกนั้นมาด้วยบางส่วนน่ะครับ”
“ใช่ค่ะ อุปกรณ์มีเยอะมากจนแน่นไปหมด ไม่มีพื้นที่ว่างเหลือเลย ฉันเลยใช้ความสามารถในการจดจำของฉันดูแลรับผิดชอบของที่พอไปไหวมาทั้งหมดน่ะค่ะ ส่วนที่เหลือก็มีเสียหาย ใช้การไม่ได้บ้าง แต่ฉันก็สั่งแล้วละว่าให้เอามาเฉพาะของที่จะใช้ค่ะ”
โกยอนจูพูดออกมาเช่นนั้น จึงทำให้ผมใช้ดวงตาที่สามมองผ่านทะลุไปยังเหล่าผู้เล่น ที่ต่างคนต่างกำลังฉลองกับเหตุการณ์ในครั้งนี้อยู่ ความสามารถในการจดจำของหล่อนนั้นค่อนข้างดีเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเรื่องที่เธอไม่รู้อยู่เหมือนกัน
หลังจากยืนยันข้อมูลอุปกรณ์ต่างๆ อย่างรวดเร็วเสร็จสิ้นลง ผมจึงค่อยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกได้เสียที โชคดีที่อุปกรณ์ดีๆ ถึงขนาดเป็นของอัจฉริยะไม่มีปรากฏให้ผมเห็น
ผมคิดถึงเรื่องของตอบแทนที่ได้ให้สัญญากับเหล่าผู้เล่นขึ้นมาอีกครั้ง อุปกรณ์ต่างๆ ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพเสียหาย ใช้การไม่ได้อย่างที่หล่อนว่า แต่หากเราสามารถซ่อมแซมมันได้ อุปกรณ์เหล่านั้นก็คงพอใช้ไปได้เช่นกัน
‘จากรูปการณ์แล้วพอมาถึงที่นี่ก็คงต้องให้ไปเลย แต่ว่า…ของที่หิ้วมาอยู่แล้วล่ะ จะให้ไปทั้งอย่างนั้นเลยเหรอ’
ในช่วงที่ผมกำลังเกิดความคิดเช่นนั้น โกยอนจูได้เข้ามาพูดกับผมด้วยความระมัดระวัง
“ซูฮยอน ถ้าคุณกำลังเครียดเรื่องปัญหาของตอบแทนอยู่ล่ะก็ ฉันมีความคิดบางอย่างเหมือนกันนะคะ…”
“ครับ? อ้อ ครับ ว่ามาเลยครับ”
“เราก็บอกให้พวกเขาเอาของที่ตัวเองหิ้วมาไปได้แทนเสียเลย เป็นไงคะ ทำแบบนั้นคนเขาจะไม่ยิ่งขอบคุณคุณมากกว่าเหรอคะ”
ประโยคเมื่อครู่นั้นสิ้นสุดลง พร้อมกับหล่อนที่เลิกคิ้วขึ้น ผมเห็นดังนั้นจึงทราบได้ในทันทีเลยว่าหล่อนคิดแบบเดียวกันกับผม การที่ผมจับตัวพวกเร่ร่อน โดยเฉพาะแพคซอยอนมาเป็นเชลยได้นั้น นับว่าเป็นการเหยียบย่ำทวีปเหนือแทบทั้งทวีปแล้ว ซึ่งในจุดศูนย์กลางของกรณีนี้มีผมอยู่ด้วย ดังนั้นชื่อของเมอร์เซนต์นารี่ก็จะเป็นที่รู้จักไปโดยปริยาย และการส่งต่อข่าวลือเช่นนั้นก็ดูเหมือนเป็นการช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ ให้แก่เหล่าผู้เล่นที่ผมช่วยให้พวกเขาอยู่รอดปลอดภัยอีกด้วย
จากคำพูดของโกยอนจูนั้น จึงสื่อความหมายออกมาว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตอนนี้ขอให้มอบอุปกรณ์ที่ไร้ประโยชน์แก่พวกเขาไปเสียก่อน และมาช่วยกันปลูกฝังให้เขามีการจดจำและการเรียนรู้ดีๆ กันเถอะ
ข้อดีของการแพร่กระจายข่าวลือเช่นนั้นไปปากต่อปากนั้น ผมเองก็ทราบอยู่แก่ใจดี ดังนั้นจึงพยักหน้าตอบกลับไปในทันที
“ครับ งั้นก็ทำแบบที่ว่านั้นเลยครับ เห็นว่ามีเหรียญทองกับอัญมณีด้วยใช่ไหมครับ”
“ใช่ แต่ก็ไม่ได้มากมายขนาดนั้นนะคะ เหรียญทองมีไม่ถึงห้าร้อยโกลด์ ส่วนอัญมณีมีประมาณยี่สิบเม็ดเห็นจะได้ล่ะมั้งคะ”
“อัญมณีก็ปล่อยไปตามนั้น ส่วนเหรียญนั่น อย่างไรก็ช่วยแบ่งทีนะครับ ม้าเองก็ช่วยแบ่งให้เหมาะสมด้วยนะครับ”
“โฮะๆ ได้เลยค่ะ”
โกยอนจูตอบกลับมาพร้อมมอบรอยยิ้มอันแสนงดงาม โกยอนจูหมุนตัวเข้าไปหาเหล่าผู้เล่นโดยทันที ผมเห็นดังนั้นจึงเคลื่อนตัวไปยังที่ที่สมาชิกเผ่ารวมตัวกันอยู่บ้าง แน่นอนว่าเป้าหมายของผมก็คือ ชินแจรยงที่อยู่กับสมาชิกเผ่านั่นเอง ในระหว่างเดินทางมานั้น ผมเองก็ไม่ลืมที่จะพิจารณาข้อมูลของเขาอีกครั้งหนึ่ง
ข้อมูลผู้เล่น (Player Status)
1.ชื่อ (Name) : ชินแจรยง (ปีที่ 4)
2.คลาส (Class) : นักบวชทั่วไป (Normal, Priest, Expert)
3.ถิ่นกำเนิด(Nation) : บาร์บาร่า
4.ชนเผ่า(Clan) : –
5.นามแท้ · สัญชาติ: ความพยายามมุ่งมั่น ไม่ย่อท้อ, ความตั้งใจอันแรงกล้า ไม่ยอมจำนนต่อผู้ใด · สาธารณรัฐเกาหลีใต้
6.เพศ (Sex) : ชาย (42)
7.ส่วนสูง · น้ำหนัก : 176.2 ซม. · 73.8 กก.
8.อุปนิสัย : ดี · กระตือรือร้น (Good · Passion)
[พละกำลัง 78] [ความทนทาน 82] [ความคล่องแคล่ว 74] [ความแข็งแกร่ง 90] [พลังเวท 84] [โชค 68]
‘ดูเหมือนเผ่าของเขาจะถูกยุบไปแล้ว…ถ้าเป็นอย่างนั้นก็โอเคเลยน่ะสิ’
ถึงจะไม่ใช่ข้อมูลผู้เล่นที่เตะตาผมอย่างจัง แต่ทว่าข้อมูลในระดับนี้ถือว่ายอดเยี่ยมไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว และเหนือสิ่งอื่นใด ผมพอใจกับนิสัยของเขาเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น ผมคิดขึ้นมาได้ว่าคงจะดี หากใช้โอกาสในคราวนี้ชวนเขามาเข้าร่วมเผ่าเสียเลย เพราะเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ของพวกเรานั้นกำลังขาดแคลนนักบวชอยู่พอดี
“คุณชินแจรยง”
“อ๊ะ ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่”
ผมดันตัวสมาชิกเผ่าคนอื่นๆ ที่เกาะติดออกไปให้พ้นทาง แล้วเริ่มเปิดประเด็นในทันที ชินแจรยงตอบกลับมาพร้อมส่งรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชายวัยกลางคนมาให้
“หมู่นี้คงเหนื่อยแย่เลยสินะครับ ผมกำลังคิดว่าจะมาขอบคุณที่มาเข้าร่วมหน่วยกู้ภัยในครั้งนี้น่ะครับ”
“ฮ่าๆ! ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเพียงแค่ลงมือทำตามความเชื่อมั่นและความศรัทธาของผมน่ะครับ แล้วผมก็เป็นหนี้บุญคุณคุณอยู่ด้วย”
“อย่างนั้นหรือครับ แต่จะจากกันไปทั้งแบบนี้ผมรู้สึกค้างคาใจอยู่นิดๆ ครับ ไม่ทราบว่าคุณมีแผนการในอนาคตอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ…”
“อ๋อ ก็ไม่มีวางแผนเอาไว้ถึงขนาดนั้นหรอกครับ”
ชินแจรยงพยักหน้า พร้อมให้คำตอบกลับมา เหมือนกับว่าเขายังไม่สามารถหาตำแหน่งให้ลงล็อกให้พอดีกับตัวเอง ดังนั้นผมจึงรีบเปิดปากพูดออกไปอย่างมั่นอกมั่นใจเต็มเปี่ยม ซึ่งคำพูดเหล่านั้นแฝงไปด้วยความเห็นแก่ตัวเล็กน้อยเสียด้วย
“ถ้างั้นผมอยากจะเชิญคุณมาที่แคลนเฮาส์ของเมอร์เซนต์นารี่น่ะครับ ผมมีเรื่องสำคัญจะแจ้งให้ทราบต่างหากน่ะครับ”
“เอ่อ…”
ชินแจรยงเองก็เป็นผู้เล่นที่ทำกิจกรรมต่างๆ ในฮอลล์เพลนมาตลอดระยะเวลาสี่ปี เขามีสีหน้าท่าทีเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับรู้ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของผมเมื่อครู่ แล้วเขาจึงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วแปลกๆ อย่างไรชอบกล
“อ้า ครับ รับทราบครับ งั้นให้ผมไปพบคุณตอนไหนดีครับ”
“ฮ่าๆ ไม่ต้องเป็นกังวลมากไปหรอกครับ ไหนๆ คุณก็เอ่ยออกมาแบบนี้แล้ว ยังไงคืนนี้ก็พักค้างแรมที่นี่สักคืนก็ได้นะครับ”
ชินแจรยงเองก็คงต้องการเวลาในการขบคิดเช่นกัน ส่วนตัวผมนั้นก็ไม่ได้มีความคิดถึงขั้นที่ว่าจะไปบังคับให้เขาเข้าร่วมกับพวกเราอย่างกะทันหันอะไรหรอก ด้วยเหตุนี้เขาจึงมีสีหน้าที่ดูผ่อนคลายมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อาจเป็นเพราะว่าสามารถข่มจิตข่มใจอันแสนว้าวุ่นได้แล้ว
“ซูฮยอน! พูดคุยกันเสร็จแล้วค่ะ”
ในตอนนั้นผมได้ยินเสียงโกยอนจูดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง ผมจึงรีบหมุนตัวกลับไปอย่างรวดเร็ว หล่อนจ้องมองผมด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ อาจเป็นเพราะการเจรจาผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
“เหนื่อยแย่เลยนะครับ แล้วเขาว่าอย่างไรบ้างครับ”
“สีหน้าทุกคนดูพอใจกันหมดเลย ไม่สิ จริงๆ ก็ไม่ถึงขั้นดีใจอะไรหรอก พอให้เหรียญทองไป พวกเขาแทบจะกราบไหว้เลยด้วยซ้ำมั้งคะ”
“ขั้นตอนดูท่าจะยุ่งยากนะครับ”
“ก็จริงอยู่น้า…”
กราบไหว้เลยเหรอ จริงๆ แล้วนั้น ผมเองก็รู้สึกว่าค่าตอบแทนที่ผมให้ไปในสถานการณ์ที่พวกเขาสูญเสียทุกอย่างในการถูกโจมตีนั้นไม่ต่างอะไรกับฝนที่ตกลงมาในหน้าแล้งเลยสักนิด
พอผมเบนสายตาไปมองเหล่าผู้เล่น จึงพบเข้ากับภาพที่พวกเขากำลังยืนลังเลอยู่ แต่ทว่าพอมองไปยังโจซึงอูที่กำลังโค้งตัวอยู่นั้น ผมก็พยักหน้าให้เขาไป
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ปัญหาเรื่องอุปกรณ์คลี่คลายไปในที่สุด การชวนให้ชินแจรยงเข้าร่วมเผ่าก็ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง เพราะฉะนั้นสิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่ในขณะนี้คือ การหวนคืนสู่แคลนเฮาส์นั่นเอง
เพียงแต่ผมยังมีคนอีกหนึ่งคนที่จะต้องร่ำลากันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจากไป
“ซูฮยอน”
‘พูดถึงเสือ เสือก็มาจริงๆ’
ผมยิ้มเจื่อนๆ แล้วหันกลับไป จึงได้พบกับพี่ชายที่ยืนอยู่อย่างจัง พี่เดินเข้ามาหาผมพร้อมวางมือแปะไว้บนหัว หลังจากนั้นจึงเปลี่ยนทิศทางมาวางลงบนไหล่แทน
“อืม ตอนนี้จะทำยังไงต่อไปล่ะ”
“ตั้งใจว่าจะกลับไปแคลนเฮาส์น่ะ ไม่ได้อยู่เสียนานเลยนี่นา”
“อืม ก็จริง คิดได้ดีแล้วล่ะ นายเป็นถึงแคลนลอร์ดเลยนี่นา ต้องมีเรื่องให้คอยจุกจิกอยู่เยอะเลยล่ะสิ”
“เออ…อ๊ะ? ก็…ก็ต้องเป็นงั้นอยู่แล้วสิ”
ผมมองพี่ชายด้วยความรู้สึกที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมนึกว่าพี่จะพาผมไปที่แคลนเฮาส์ของเผ่าแฮมิลเดี๋ยวนี้เพื่อป้องกันอะไรสักอย่างเสียอีก แต่ทว่าครั้งนี้กลับมีปฏิกิริยาที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของผมเลย ซึ่งตัวผมเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าทำไมถึงรู้สึกเสียดายแปลกๆ
พี่ชายส่งยิ้มมาให้ ไม่รู้ว่าเข้าใจความรู้สึกของผมหรือไม่อย่างไร แล้วจึงเอามือออกจากไหล่ไป พี่มองด้านหลังผมแล้วจึงเปิดปากพูดว่า
“ผมน่ะอยากจะให้เขามาอยู่ข้างๆ อย่างที่ใจผมคิด แต่…ซูฮยอนเองก็ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกันกับผม เพราะงั้นถึงทำอะไรไม่ได้เลยเนอะ ยังไงก็ขอฝากน้องชายของผมไว้ด้วยนะครับ”
“โฮะๆ แคลนลอร์ดน่ะได้รับความช่วยเหลือสนับสนุนตลอดเวลาอยู่แล้วล่ะค่ะ ถึงยังไงพวกเราก็จะทำหน้าที่ช่วยเหลือให้ได้เต็มที่และดีที่สุดก็แล้วกันนะคะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องเป็นห่วงไปค่ะ ท่านลอร์ดแฮมิล”
“ฮ่าๆ ท่านลอร์ดแฮมิลเลยเหรอครับ พูดอะไรแบบนั้นล่ะครับ ยังไงก็ตามผมสนุกมากที่ได้มาเจอกันในครั้งนี้ ในอนาคตเองก็คงมีเหตุให้ได้เจอะเจอบ้างประปรายนะครับ”
“ดิฉันรู้สึกเป็นเกียรติมากเช่นเดียวกันค่ะที่ได้พบคุณ ในอนาคตก็ขอฝากตัวด้วยนะคะ”
‘อะ…อะไรเนี่ย’