Memorize - เล่มที่ 16 ตอนที่ 22
บทสนทนาระหว่างพี่ชายกับจองฮายอนเต็มไปด้วยความมีมิตรไมตรีจิตอันดีต่อกันและกัน ผมมองเขาทั้งสองกันจับประสานมือกันอย่างแผ่วเบา ในช่วงที่ผมกำลังตกตะลึงอยู่นั้น พี่ชายที่เสร็จจากภารกิจร่ำลาเมื่อครู่ จึงได้เข้ามาลากตัวผมไป
“ซูฮยอน ขอคุยอะไรสักหน่อยได้หรือเปล่า”
“หืม? อืม”
พี่ชายรีบย่ำเท้าเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรถึงต้องมาพูดกันสองคนแบบนี้ หลังจากนั้นเขาจึงพูดออกมาว่า
“ครั้งนี้ฉันได้ตั้งหน่วยกู้ภัยขึ้นมาน่ะ แล้วก็ในตอนที่เดินกลับมาเมืองเนี่ย ดูเหมือนฉันมีเรื่องอะไรที่ต้องให้คิดมากมายหลายสิ่งเลยละ”
“คิดอะไรล่ะ”
“คิดว่าตอนนี้นายเองก็เป็นผู้ใหญ่แล้วเหมือนกัน”
“เรื่องนั้นมันก็แน่อยู่ละ…”
“อืม แต่พอมองในมุมฉันแล้วมันแบบ ยังไงดีล่ะ จะว่าเศร้านิดหน่อยก็ได้ จะว่าประหลาดใจนิดหน่อยก็ได้ล่ะมั้ง ภาพของนายตอนใส่ชุดนักเรียน ม.ต้น เดินอวดหมุนอยู่รอบตัวน่ะเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานเลย…นายโตขึ้นมาตอนไหนฉันยังไม่รู้เลย ตอนนี้มีทั้งคนที่ชื่นชมนายแล้วก็คนที่เขาต้องการนายขึ้นมาเสียแล้วสิเนี่ย”
‘พี่ ตอนนั้นมันตอนที่เราอยู่บนโลกมนุษย์ และที่นี่มันคือฮอลล์เพลนไม่ใช่หรือไงเล่า’
ผมรู้สึกสับสนมึนงงหน่อยๆ เพราะคำพูดที่ฟังดูแล้วผิดที่ผิดทาง ไม่รู้ควรจะไปโฟกัสในประเด็นไหน แต่ด้วยคำพูดที่แฝงไปด้วยความจริงจัง ไม่มีอะไรไร้สาระเช่นนั้น จึงทำให้ผมได้แต่ข่มใจที่อยากจะยั่วโทสะพี่ชาย แล้วตั้งใจยืนฟังเขาพูดไปทั้งอย่างนั้น แต่ทว่าคำพูดต่อมาของพี่ชายนั้นได้ฟาดเข้ามาจนทำให้สติผมกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศคนละทาง
“อ้า จริงสิ จะว่าไปผู้หญิงที่ชื่อจองฮายอนอะไรนั่นน่ะ เป็นผู้หญิงที่ช่วยชีวิตนายเอาไว้ใช่ไหม”
“อือ แล้ว?”
“มานี่ได้มีโอกาสพูดคุยบ้างอยู่ครั้งสองครั้งน่ะ ก็โอเคอยู่นะ ถ้าเป็นจองฮายอนคนนี้ล่ะก็ ฉันให้ผ่าน”
“อะไร”
‘ให้ผ่านอะไรของเขา?’
ในใจผมกำลังรู้สึกอ่อนเพลีย แล้วพอผมเบิกตากว้างกลับไป พี่ชายก็ดูท่าจะรู้เท่าทันอะไรผมถึงได้ ตบบ่าผมปุๆ
“เหมือนเป็นคนที่ความคิดความอ่านจริงจังน่ะ และเหนือสิ่งอื่นใด เธอเป็นผู้หญิงที่คิดถึงนายอย่างสุดหัวใจด้วย ยังไงก็เถอะ ตอนนี้นายก็โตพอแล้ว ฉันเองก็เข้าไปจู้จี้จุกจิกอะไรนายได้มากนักหรอก แต่คนนี้น่ะ ฉันว่าเข้าท่านะ”
“…”
“การพูดการจาก็ดูดีพอจะต่อกรกับอีฮโยอึลได้เลย ไงก็เถอะ ถ้าได้ประมาณนั้นก็โอเคละ”
ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่ชายพูดเลยสักอย่างเดียว จึงหันไปมองจองฮายอน และตอนนั้นเองที่ผมสามารถเข้าใจคำพูดของพี่ชายได้
จองฮายอนยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา ราวกับอารมณ์ดีต่อเรื่องอะไรบางอย่างมากๆ และข้างกายหล่อนนั้นก็มีโกยอนจูที่กำลังกัดริมฝีปากแน่น กับอันซลที่กำลังหักนิ้วเรียวยาวของหล่อน
“…แค่นี้นะ ไปละ”
“เอ๋? อ้า ได้สิ ว่าแต่มากินมื้อกลางวันด้วยกันสักมื้อ…”
“ไม่ละ ขอตัวนะ”
ผมตัดบทและปฏิเสธโดยฉับพลัน หลังจากนั้นจึงรีบถอนหายใจออกมาอย่างแรง
เป็นพี่น้องกันแท้ๆ แต่ไม่มีความคิดเท่าทันความรู้สึกคนอื่นเลยจริงๆ อีกทั้งยังคิดแต่เรื่องที่ไม่สามารถเข้าใจได้แบบนั้นอีก
หลังจากแยกย้ายกับเหล่าผู้เล่นที่ร่วมเดินทางกลับมาด้วยกันทั้งอย่างนั้น ผมจึงรีบใช้วาร์ปเกตโดยทันที ผมนำพาพวกเร่ร่อนทั้งหมดหลบหลีกสายตาของเหล่าผู้เล่นทั้งหมด ผลลัพธ์ที่ได้คือการพาพวกเราให้มาถึงแคลนเฮาส์ได้ภายในสามสิบนาที
“ฟู่ว ในที่สุดก็ถึงแล้วสักที”
“ฮึก คิดถึงมากๆ เลย”
พอมาถึงหน้าประตูใหญ่แล้ว ผมจึงได้ยินเสียงของโกยอนจูกับอันซลดังแว่วเข้ามา ผมเกิดความคิดอะไรหลากหลายอยู่เต็มไปหมด จึงหันไปมองพวกเร่ร่อน หลังจากที่เราได้พบกับหน่วยกู้ภัยเมื่อครู่นั้นมา พวกเร่ร่อนกลับไม่มีคำพูดอะไรใดๆ เล็ดลอดออกมาจากปากเลยนับตั้งแต่ตอนนั้น ถึงผมจะไม่ได้ยินคำพูดของพวกมันตรงๆ แต่ทว่าผมยังสามารถเดาได้อยู่ดีว่าความรู้สึกของพวกเขาเป็นอย่างไร
แพคซอยอน, อีกาอิน, อีแฮอินปรากฏอยู่ด้านในด้วยสีหน้าเหมือนตายทั้งเป็น ส่วนที่เหลืออีกสี่คนนั้นมีสีหน้าเคร่งเครียด พร้อมกับจ้องมองตัวเมืองด้วยสายตาที่ไม่คุ้นเคย ผมมองพวกเร่ร่อนอย่างเฉยชา แล้วจึงขยับกรามไปมาเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงพูดออกไปว่า
“เริ่มได้เลยครับ”
“จงเป็นอัมพาต”
เสียงร่ายมนตร์ของเหล่านักเวทดังขึ้น ณ เวลานั้น คาถาจงเป็นอัมพาตนี้โดยทั่วไปแล้วไม่ถึงกับเป็นพลังเวทที่อยู่ระดับสูงมากมายอะไรนัก แต่ทว่าเราสามารถเห็นข้อแตกต่างของประสิทธิภาพที่ยิ่งใหญ่ขึ้นตามค่าพลังเวทของตัวผู้เล่นได้
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเร่ร่อนในตอนนี้ถูกทำลายระบบหมุนเวียนพลังเวทไปแล้วเกือบเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นจึงไม่ต่างอะไรไปจากมนุษย์ธรรมดาเลย ซึ่งอาจเป็นเพราะสาเหตุนี้ด้วย จึงทำให้คาถาจงเป็นอัมพาตนี้ส่งผลให้ร่างกายของพวกเร่ร่อนแตกสลายไปอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้
หลังจากนั้นผมจึงมองสมาชิกเผ่าที่ให้พวกมันขึ้นขี่หลังทีละคน สองคนไป ผมจึงจับตัวโกยอนจูที่คว้าร่างของแพคซอยอน และพูดกับหล่อนว่า
“โกยอนจู ขอโทษนะครับ ผมอยากให้ช่วยแวะไปที่ร้านค้าหน่อยน่ะครับ พอดีต้องการเครื่องควบคุม”
“ไม่เป็นไรค่ะ แต่ถ้าพูดถึงเครื่องควบคุมล่ะก็…”
“รบกวนช่วยซื้อมาสามเซ็ตได้ไหมครับ เอาที่คุณภาพดีหน่อย ถ้าเป็นสำหรับร้านค้าแล้วเห็นทีอัญมณียี่สิบเม็ดน่าจะพอนะครับ”
“รับทราบค่ะ แต่ถ้าจะให้ไปคนเดียวแล้วถือมา มันก็คงหนักหน่อยนะ…”
โกยอนจูพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลีย ผมจึงหันไปหาอันฮยอนแล้วพูดกับเขาทันทีว่า
“อันฮยอน ตามไปนะ”
“ขอบคุณครับ พี่!”
ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาขอบคุณเรื่องอะไร แต่แล้วอันฮยอนก็ได้ฝากตัวพวกเร่ร่อนให้แก่อียูจอง แล้วร้องดีใจออกมาทันที อียูจองวิ่งกระหืดกระหอบ ตั้งใจจะมาคว้าตัวพวกเร่ร่อนที่ไร้ซึ่งคนแบกหามคนนั้นทันที แต่ทว่าหล่อนกลับต้องหยุดร่างกายไว้เพียงเท่านั้น เพราะชินแจรยงอาสาเข้ามาทำหน้าที่แทน
โกยอนจูมองอันฮยอนด้วยสายตาที่ไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไหร่นักอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงทำปากยื่นปากยาว หมุนตัวเดินไปทันที
หลังจากแน่ใจแล้วว่าสองคนนั้นได้เดินหายลับเข้าไปในย่านการค้าอันแสนคึกคักฝั่งตรงข้าม ผมจึงเดินเข้าไปในประตูใหญ่ของแคลนเฮาส์ ผมรู้สึกได้ว่ามีคนอยู่สองคนตรงด้านหลังประตูบานนี้ ผมบอกให้จองฮายอนไปแจ้งข่าวแพคฮันกยอล ดังนั้นเป็นไปได้ว่าเขาอาจจะกำลังรออยู่ก็ได้
ผมค่อยๆ เปิดประตูใหญ่ช้าๆ และในวินาทีที่เดินเข้าไปข้างในนั้น
ฮี้!
เกิดเสียงที่ผมคุ้นเคยดังขึ้น พร้อมกับของแหลมๆ อะไรบางอย่างที่กำลังส่องแสงเลือนรางทะลุเข้ามาหาตัวผม ด้วยความที่ผมทราบตั้งแต่แรกแล้วว่ามีใครบางคนยืนอยู่หลังประตูบานนี้ ผมจึงขยับมือเอาไปจับเขาที่กำลังส่องแสงนั้นอย่างรวดเร็ว แล้วทันทีที่ผมก้มมองด้านล่างนั้น ก็พบเข้ากับเจ้าของเขาที่ผมจับไว้แน่น เจ้ายูนิคอร์นน้อยนั่นเอง เจ้ายูนิคอร์นน้อยมองหน้าผมในขณะที่ตัวเองโดนจับเขาอยู่ แล้วจึงเริ่มมีน้ำตาเอ่อล้นออกมาหลังจากนั้น
“ไม่เจอกันนานเลยนะ”
ฮี้ ฮี้ ฮี้! ฮี้ ฮี้ ฮี้!
ผมส่งคำทักทายอย่างอ่อนโยนไปหา แต่เจ้ายูนิคอร์นน้อยกลับตอบผมมาด้วยเสียงคล้ายกับร้องไห้ ไม่รู้ว่าเสียใจเรื่องอะไรเหมือนกัน อีกทั้งขาทั้งสี่ข้างของเจ้ายูนิคอร์นก็เริ่มเตะไปมาอยู่บนอากาศ สัญญาณที่ส่งมานั้นอาจจะมีมากมายก็เป็นได้ เพราะหลังจากนั้นผมจึงพามันลงมาด้านล่าง แต่ทว่าการที่ผมเอามันลงมาเช่นนั้น กลับทำให้มันเกิดความรู้สึกเสียใจไปเสียได้
ฮี้ ฮี้! ฮี้ ฮี้ ฮี้! ฮี้ ฮี้ ฮี้ ฮี้ ฮี้!
“เฮ้ เฮ้”
ฮี้ ฮี้ ฮี้ ฮี้ ฮี้? ฮี้ ฮี้, ฮี้ ฮี้ ฮี้ ฮี้ ฮี้?!
“อ้อ เข้าใจแล้ว รอเดี๋ยวนะ…เฮ้ เฮ้!”
การกระทำต่อมาของเจ้ายูนิคอร์นน้อยนั้นทำเอาผมรู้สึกประหลาดใจมาก ทันทีที่ผมวางมันลงบนพื้น มันก็บุกเข้ามาราวกับรอโอกาสนี้อยู่แล้ว และเริ่มทำตัวกระจองอแงเป็นเด็กๆ
เจ้ายูนิคอร์นน้อยวิ่งหมุนไปมารอบกายผม สงสัยนึกว่าตัวเองเป็นลูกหมาเสียล่ะมั้ง ไหนจะเอาเขามากระแทกตัวผม เอาขามาตีผมเบาๆ และตอนนี้ก็กำลังทิ้งตัวเกลือกกลิ้งไปมาอยู่บนพื้น ดูเหมือนจะเรียกได้เต็มปากเลยว่าเป็นเจ้าเด็กจอมดื้อคนหนึ่ง
“เฮ้ ทำไมเป็นงี้ไปล่ะ”
“…คงดีใจก็เลยเป็นแบบนั้นไงครับ”
ผมเงยหน้าขึ้นทันทีหลังจากเสียงอันแสนไพเราะดังขึ้นมาตรงหน้า แล้วจึงพบเข้ากับแพคฮันกยอลที่กำลังยืนอยู่อย่างเหนียมอาย หล่อน ไม่สิ นาทีที่ผมกับเขาสบตากัน เขาจึงเผยรอยยิ้มน้อยๆ ออกมา พร้อมพูดต่อด้วยน้ำเสียงใสแจ๋ว
“ตอนแคลนลอร์ดไม่อยู่ เขาไม่ยอมกินอะไรสักอย่างเลย แต่พอได้มาเห็นแคลนลอร์ดปลอดภัยกลับมาแบบนี้ เขาก็เลยวางใจ…บางทีอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้นะครับ”
แพคฮันกยอลอธิบายเสร็จ ผมจึงมองไปยังเจ้ายูนิคอร์นน้อยด้วยสายตาที่ไม่เคยมองใครแบบนี้มาก่อน เจ้าตัวดื้อนี่ยังคงกลิ้งเกลือก หายใจฮึดฮัดไปมา สงสัยคงจะเหนื่อยเข้าเสียแล้ว
ผมจึงยื่นมือออกไปอย่างช้าๆ อุ้มเจ้ายูนิคอร์นน้อยขึ้นมา จึงทำให้เจ้าตัวดื้อนี่มีท่าทีที่สงบมากขึ้น อีกทั้งยังเอาหน้าเข้ามาถูไถอยู่ในอ้อมกอดของผมอีกด้วย ผมจึงค่อยๆ ลูบหลังเบาๆ อย่างอ่อนโยน
ฮี้ ฮี้
“อ้า ทำไงดีล่ะ ดูท่าเขาจะชอบพี่จริงๆ เลยนะเนี่ย~”
“โอ๊ย น่ารักจังเลยน้า~ เจ้ายูนิคอร์น~ ฉันยืนอยู่ตรงนี้ทั้งคนเลยนะ”
“อะแฮ่ม พอได้แล้ว เข้าไปข้างในกันเถอะครับ”
สายตาอันแสนพึงพอใจจากรอบข้างต่างจดจ้องมาทางผม ทำเอารู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาเลยทีเดียว ผมจึงเดินเข้าไปในแคลนเฮาส์อย่างสุขุม
พอเดินผ่านสวนไป แล้วมองพิจารณาไปจนถึงล็อบบี้ แคลนเฮาส์ยังคงสภาพเหมือนเดิม ไม่มีเปลี่ยนแปลง หลักฐานคือการดูแลทุกอย่างยังคงเป็นเช่นเดิมเหมือนอย่างเคย ทั้งๆ ที่ผมไม่อยู่แท้ๆ
และในจังหวะที่ผมตั้งใจจะชวนทุกคนเข้าห้องประชุมด้วยใจอันแสนเบิกบานนั้นเอง ใบหน้าที่แฝงไปด้วยความจริงจังจากทุกคนดันสะดุดตาผมเข้า ทุกคนมีสีหน้าเหนื่อยล้าอย่างชัดเจน และกำลังบอกกลายๆ ว่าอยากพักผ่อนเร็วๆ เต็มทีแล้ว
ความรู้สึกผมในตอนนี้อยากจะเข้าไปประชุมนโยบายเสียเต็มแก่แล้ว แต่ทว่ากลับได้แต่ข่มอารมณ์ ทำใจร่มๆ ไว้เพียงเท่านั้น จากสภาพของทั้งสามคนที่ออกมาจากมิวล์ด้วยกันแล้วนั้น ดูท่าว่าตอนนี้คงต้องการเวลาพักผ่อนบ้าง
อีกทั้งสมาชิกเผ่าที่เหลืออยู่ต่างก็เผชิญกับความยากลำบากมาจนถึงขณะนี้ และยังช่วยกันผลักดันกันอย่างไม่หยุดยั้งจนสำเร็จลุล่วงมาได้ตลอดระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ แม้กระทั่งตัวผมยังเกิดความรู้สึกเหนื่อยล้าเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นคนอื่นๆ เองก็คงไม่ได้ต่างอะไรไปจากผม
‘งั้นแก้ไขเฉพาะปัญหาที่กำลังเผชิญหน้าอยู่ก็แล้วกัน ส่วนวันนี้ก็ให้พักไปหนึ่งวันคงจะดีกว่า’
ผมเปลี่ยนความคิด แล้วจึงมองไปยังพวกเร่ร่อนที่สมาชิกเผ่าพามา(?)
“เห็นว่าทุกคนดูเหนื่อยๆ กัน เพราะฉะนั้นผมจะพูดเฉพาะคำสั่งเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น และจะให้ทุกคนได้พักผ่อนวันนี้หนึ่งวันครับ ก่อนอื่นก็ขอให้ทุกคนช่วยพาพวกเร่ร่อนทุกคนไปไว้ที่ล็อบบี้ก่อน หากโกยอนจูกลับมาแล้วผมดำเนินอะไรเสร็จสิ้นหมดแล้ว ผมคิดว่าจะขังพวกเขาไว้ที่ห้องฝึกซ้อมชั้นใต้ดินสักระยะหนึ่งนะครับ”