Memorize - เล่มที่ 16 ตอนที่ 23
พอได้ยินคำว่าวันนี้ให้พักได้นั้น คงโล่งใจ สมาชิกเผ่าจึงทำสายตาประมาณว่ารอดตายแล้ว หลังจากนั้นจึงทยอยวางตัวพวกเร่ร่อนลง พวกมันโดนทำลายระบบหมุนเวียนพลังเวทมนตร์ไปแล้ว เพราะฉะนั้นจึงแทบไม่แตกต่างอะไรกับมนุษย์ปกติ
แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังไม่รู้แน่นอนอยู่ดี ผมจึงคิดว่าจะเตรียมมาตรการพื้นฐานบางอย่างไว้ แต่ทว่าเรื่องนั้นจะสามารถกระทำได้หลังจากที่โกยอนจูกลับมาเท่านั้น และผมจะต้องไม่ลืมเรื่องความสนใจในตัวท่านผู้เฒ่ากับชินแจรยงด้วย
“แล้วท่านผู้เฒ่ากับคุณชินแจรยงล่ะครับ จะอย่างไรต่อไปดี ทานอะไรสักเล็กน้อยไหม หรือไม่ก็เที่ยวชมแคลนเฮาส์…”
ทั้งสองคนพยักหน้าให้กับคำพูดของผมทันทีทันใด ผมเพียงแค่ถามออกไปพอเป็นมารยาทเท่านั้น จึงได้สั่งการให้อียูจองกับชินซังยงให้คำแนะนำเรื่องที่พักเป็นกรณีพิเศษ
พอคำสั่งถูกประกาศออกไป สมาชิกเผ่าจึงเริ่มเคลื่อนไหว คงอยากจะเสร็จงานเร็วๆ แล้วไปพักผ่อนอย่างเต็มที่แล้ว ผมมองพวกเขาเหล่านั้น แล้วจึงทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ในล็อบบี้อย่างช้าๆ ทันใดนั้นร่างกายของผมก็เกิดความเหนื่อยล้าขึ้นมาทันทีอย่างไม่ทันตั้งตัว
หลังจากพักผ่อนอย่างเต็มที่ไปได้หนึ่งวันเต็ม เช้าวันต่อมาผมจึงเข้าไปยังห้องทำงานแล้วเรียกวิเวียนพบโดยทันที
งานที่จะต้องทำมีอยู่เป็นกองพะเนิน เพราะฉะนั้นผมจำเป็นที่จะต้องเรียงลำดับความสำคัญว่างานไหนมาก่อน งานไหนมาหลัง และแน่นอนว่าเรื่องที่จะต้องทำเป็นลำดับแรกสุดคือ เรื่องเกี่ยวกับพวกเร่ร่อน ระหว่างการเดินทางกลับมานั้น วิเวียนมีท่าทีเชื่อมั่นในตัวเองเป็นอย่างมาก ผมจึงได้ลองมานั่งคิดดูบ้างว่าพวกเราจะใช้วิธีใด
1.จัดการเรื่องแพคซอยอน และพวกเร่ร่อน (ข้อมูล, ตัดสินคดีความ)
2.สร้างคุกที่ห้องซ้อมการต่อสู้ในชั้นใต้ดิน (สร้างแบบง่ายๆ ถ้าไม่สามารถทำได้ ก็เอาอย่างที่สามารถทำลายได้โดยง่าย)
3.สรุปผลเรื่องอุปกรณ์ของพวกเร่ร่อน (สรุปเสร็จแล้วค่อยแจกจ่ายอุปกรณ์ให้สมาชิกเผ่า)
4.ท่านผู้เฒ่า, ชินแจรยง (ให้ท่านผู้เฒ่าเข้าพบ, หลังประชุมเสร็จค่อยชวนชินแจรยงให้เข้าร่วม)
5.วิเคราะห์สถานการณ์ (อย่างต่อเนื่อง)
ผมดูบันทึกบนโต๊ะ พลางหมุนปากกาขนนกในมือขวาไปมาอยู่อย่างนั้น เป็นนิสัยที่ผมทำอยู่ประจำเมื่อเกิดอาการหัวสมองตีกันจนยุ่งเหยิง ก่อนอื่นเราจะต้องจัดการงานเหล่านี้ให้เสร็จไปก่อนในระดับหนึ่ง ผมจึงตัดสินใจว่าอย่างมากที่สุดแล้ว ในช่วงประชุมอยู่นั้น เราจะต้องจัดการงานให้ได้สำเร็จ หลังจากวิเวียนมาพบจึงจะสามารถตัดสินใจในเรื่องถัดไปได้
ก๊อก ก๊อก!
“คิมซูฮยอน เข้าไปนะ”
เสียงดังกังวานอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวดังขึ้นพร้อมเสียงประตูเปิด ผมละสายตาจากบันทึกนั้น และเงยหน้ามอง แล้วจึงได้พบกับวิเวียนที่กำลังเดินเข้ามาอย่างสง่างาม สีหน้าของหล่อนล้วนอัดแน่นไปด้วยความหยิ่งยโสอยู่ในนั้น
“วิเวียน ลา คลาดัส ผ่านไปสามสิบนาทีแล้วนะที่เรียกเธอมา ทำไมสายแบบนี้ล่ะ”
“โอ๊ย เงียบหน่อยเถอะน่า คิมซูฮยอน ฉันรู้น่ะสิว่าทำไมนายถึงเรียกฉัน ก็เลยเตรียมตัวเตรียมไงเล่า”
“เตรียมอะไร”
“ฉันมีธุระที่ห้องเก็บอุปกรณ์ แต่ฉันเข้าไปไม่ได้ไม่ใช่หรือไง เลยมาสายนิดหน่อย เพราะมัวแต่วิ่งไปขอร้องโกยอนจูน่ะ”
พอมาดูแล้วจึงเห็นว่าวิเวียนถืออะไรบางอย่างอยู่ในมือทั้งสองข้าง ผมจึงได้พยักหน้าลง เพื่อเป็นการสั่งให้หล่อนนั่งลงตรงโซฟา ส่วนผมเองก็ลุกออกจากเก้าอี้ แล้วเคลื่อนตัวไปทางฝั่งนั้น พอเห็นว่าวิเวียนนั่งลงแล้ว ผมจึงเริ่มเปิดประเด็นออกไปทันที
“งั้นพูดแบบสรุปๆ เลยนะ คราวก่อนเธอบอกว่ามีวิธีใช่ไหมล่ะ พูดละเอียดๆ หน่อยสิ”
“หืม? รอเดี๋ยวสิ นายลองดูของพวกนี้ก่อน”
วิเวียนเอียงคออยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงเริ่มนำสิ่งของที่นำมาวางลงทีละชิ้น ทีละชิ้น ผมไล่มองสิ่งของเหล่านั้นที่วางอยู่บนโต๊ะทีละอย่าง พลางขมวดคิ้วไปด้วย
บันทึกของมาร์โวลโล แล้วก็ชุดยาน้ำของมาร์โวลโล, ผลไม้เน่าเสียของต้นอิกดราซิล ซึ่งสิ่งที่หล่อนนำมานั้น ล้วนแต่เป็นของที่ได้จากการเดินทางสำรวจในเมืองมาเจีย เมืองแห่งเวทมนตร์ในอดีตกาล
และสิ่งสุดท้ายที่วิเวียนหยิบขึ้นมาคือ ออร์โดแห่งข้อบังคับ หลังจากนั้นหล่อนจึงใช้ปลายไม้เท้าเคาะที่บันทึกของมาร์โวลโล
“คำตอบทุกอย่างอยู่ในนี้”
“คำตอบของอะไรล่ะ อย่าทำให้ฉันร้อนใจ รีบพูดมาเร็ว”
“หึๆ รีบอะไรขนาดนั้นล่ะ ก่อนอื่น ฉันมีอะไรบางอย่างเขียนสอดไว้ในหนังสือ นายลองอ่านดูก่อนสิ เอ้อ จริงด้วย นายเข้าใจภาษาของพวกเราใช่ไหม”
วิเวียนเผยรอยยิ้มแปลกๆ บนใบหน้า พร้อมพูดออกมายาวเหยียด ที่ผมคิดนะ บางทีหล่อนอาจจะชอบใจมากที่ได้ต่อรองกับผมแบบนี้ ผมเลียปากตัวเองแล้วจึงคว้าหนังสือเล่มนั้นมา วิเวียนดูลังเลทันทีหลังจากนั้น แล้วจึงรีบคว้ามุมหนังสืออีกด้านอย่างรวดเร็ว
“อะ…อ่านได้เหรอ อ่านได้จริงเหรอ”
“ไม่ อ่านไม่ออกทั้งหมดนั่นแหละ ยังไงก็เอามาก่อนเถอะน่า ถึงจะอ่านไม่ออก แต่อย่างน้อยก็ขอดูอะไรสักนิดหน่อยเถอะ”
หากจะพูดให้ถูกต้องคือไม่ใช่ ‘ทั้งหมด’ แต่เป็น ‘เกือบทั้งหมด’ เสียมากกว่า แต่ทว่าผมก็แอบโกหกไปบ้างเล็กๆ น้อยๆ มีวิธีพอให้เข้าใจได้บ้าง หากผมอ่านในสิ่งที่หนังสือเล่มนี้เขียนเอาไว้ วิเวียนจึงปล่อยมือ พร้อมทำหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
หล่อนบอกว่าคำตอบทุกอย่างอยู่ในนี้ ผมจึงพิจารณาหนังสือด้วยความรู้สึกตื่นเต้น มีส่วนที่วิเวียนพับไว้อยู่เยอะมาก แต่ส่วนที่สะดุดตาผมนั้น มีเพียงแค่เฉพาะครึ่งเล่มแรกเท่านั้น
ทันทีที่ผมคลี่กระดาษออก ผมก็เห็นข้อความอะไรบางอย่างที่เขียนด้วยลายมือตัวกลมอยู่ในด้านที่ว่างเปล่าของกระดาษ ดูแล้วมีความแตกต่างไปจากบันทึกที่เขียนโดยมาร์โวลโลอย่างสิ้นเชิง แล้วพอเพ่งดูดีๆ ผมจึงรู้ได้ว่าวิเวียนเป็นคนเขียนข้อความนี้ขึ้นมาเอง
‘หึๆ ตื่นเต้นจังเลยแฮะ’
ผมจึงข่มจิตข่มใจที่เอาแต่เต้นรัวนี้ แล้วเริ่มวิเคราะห์อย่างเงียบๆ ไล่ตั้งแต่ตัวที่อยู่บนสุดเป็นตัวแรก จากนั้นก็…
[คิมซูฮยอน ♡ วิเวียน]
‘…’
ผมปิดหนังสือลงในทันที ไม่กล้าอ่านอีกต่อไปแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
ด้านวิเวียนก็กำลังกัดเล็บตัวเองด้วยสายตาที่แสดงถึงความวิตกกังวล ผมเองก็อยากจะฟาดสันหนังสือเคาะลงบนหัวหล่อนบ้างเหมือนกัน แต่ก็ข่มความรู้สึกเช่นนั้นไว้ แล้วพูดออกมาว่า
“วิเวียน ขอถามอะไรหน่อยอย่างหนึ่ง”
“อะ…เอ๋? อ้อ…ถะ…ถา…ถาม…ถามมาสิ”
“ที่เธอเขียนมาน่ะ หรือว่า…”
“อะ…อะ…อืม”
“คงไม่ได้คิดจะใช้พวกนี้ไปสั่งสอนแพคซอยอนใช่ไหม”
ณ วินาทีนั้น ผมเห็นอารมณ์และความรู้สึกหลากหลายรูปแบบแล่นผ่านใบหน้าของวิเวียนเต็มไปหมด หล่อนกะพริบตาปริบๆ สีหน้างุนงงเล็กน้อย แล้วจึงรวบรวมสีหน้าท่าทางใหม่ ตอบกลับมาว่า
“เฮ้อ ไม่ใช่สักหน่อย ที่นายว่าน่ะมันก็พอเป็นวิธีหนึ่งได้เหมือนกัน แต่มันเป็นวิธีที่ยากเอาเรื่องน่ะสิ คิดถึงหนทางที่มันจะสามารถไปได้อย่างง่ายดายสิ”
‘หนทางง่ายๆ งั้นเหรอ’
นาทีที่ผมได้ยินคำพูดเช่นนั้นของวิเวียน ผมก็รู้สึกถึงพลังงานบางอย่างวิ่งแล่นเข้ามาในแววตาของผม หากลองมาคิดๆ ดูแล้ว หล่อนเป็นสมาชิกเผ่าที่คอยช่วยแบ่งเบางานในส่วนของผมอยู่ตลอดเวลา และไม่เคยทรยศผมเลยแม้แต่น้อย ผมรู้สึกได้ว่าความตื่นเต้นที่เคยแตกสลายไปปะทุขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นจึงได้นั่งจ้องวิเวียนอยู่เฉยๆ
“ถ้างั้นตอนนี้ก็เข้าเรื่องเสียทีเถอะ จริงๆ แล้วจะทำยังไงกันแน่”
คงเป็นเพราะหล่อนสามารถอ่านความจริงใจที่แฝงอยู่ในคำพูดของผมได้ วิเวียนจึงกลืนน้ำลายเอื๊อกหนึ่ง แล้วค่อยๆ เอื้อนเอ่ยออกมา
“โอเค ก่อนอื่นฉันจะพูดตั้งแต่ข้อสรุปเลยนะ อย่างแรกนายจะต้องทำน้ำยาที่จะทำให้จิตใจของผู้หญิงที่ชื่อแพคซอยอนพังทลายไปให้ได้”
“ยาน้ำเหรอ บอกให้ฉันทำยาน้ำที่สามารถส่งผลกระทบต่อจิตใจยัยคนนั้นน่ะเหรอ”
“ถูกต้อง แต่ว่าเดี๋ยวก่อน ฉันขอเตือนอะไรไว้ล่วงหน้า ขึ้นชื่อว่าพลังจิตของมนุษย์แล้วมันไม่ใช่แขนงที่ง่ายอะไรขนาดนั้นนะ แค่น้ำยาเพียงอย่างเดียวไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ทั้งหมดหรอก จำข้อนี้ไว้ให้ดี ถ้านายรับฟังคำที่ฉันพูดก็จะดีมาก”
ในตอนแรกผมไม่ได้คาดหวังถึงขนาดนั้น อย่างไรก็ตาม คำว่า ‘หนทางง่ายๆ’ ไม่ได้เล็ดลอดออกมาจากปากเลย เพราะฉะนั้นผมจึงทำได้แต่นั่งตั้งใจฟังหล่อนเงียบๆ
วิเวียนกระแอมอยู่ครั้งสองครั้ง แล้วจึงเริ่มบทสนทนาเลยทันที และคำอธิบายต่อเนื่องของหล่อนนั้นทำเอาผมรู้สึกสนุกสนานขึ้นมา
เมื่อสมมติค่าพลังจิตโดยเฉลี่ยที่มนุษย์ปกติทั่วไปมีกันจะอยู่ที่หนึ่งร้อย ซึ่งจุดวิกฤตที่สูงมากพอจะทลายพลังจิตได้นั้น ทุกคนล้วนมีเหมือนกันหมดทั้งสิ้น คนที่พลังจิตอ่อนแอนั้น เพียงแค่โดนกระแทกเข้าไปสักสิบที ก็สามารถทำลายพลังจิตได้แล้ว แต่ในทางตรงกันข้าม คนที่มีพลังจิตแข็งแกร่งนั้น ต่อให้จะโดนกระแทกเข้าไปสักห้าสิบที แต่เขาผู้นั้นก็ยังจะสามารถทนทานต่อความเจ็บปวดได้
จึงสามารถกล่าวสรุปได้ว่า ค่าพลังจิตที่มนุษย์ทุกคนมีนั้นล้วนแตกต่างกันออกไปตามแต่ละบุคคล อีกทั้งจุดวิกฤตที่จะทำให้พลังจิตนั้นสามารถทลายลงไปได้ ล้วนมีความแตกต่างกันออกไปเช่นกัน
“อย่างนั้นหรอกเหรอ ถ้างั้นมันก็เทียบเท่ากับเกมที่ฉันเปิดให้พวกเร่ร่อนต่อสู้กันเองเมื่อคราวก่อนนั้นน่ะสิ”
“อืม ถ้าตามที่ฉันอธิบายไปก็เป็นอย่างนั้นนั่นแหละ นอกจากนี้วิธีที่เราจะสามารถกระแทกพวกมันได้มีอยู่เยอะมาก เช่น วิธีของผู้ฝึกสอนที่นายได้พูดไป นายจำสมัยแมงมุมเมื่อก่อนนู้นได้ไหมล่ะ”
“ได้สิ หรือว่าจะเธอจะพูดถึงเรื่องน้องของจองฮายอน?”
“อืม เด็กนั่นน่ะอดทนดีมากๆ แต่เจ้าเด็กนั่นน่ะมาเสียสติไป เมื่อตอนที่รู้ตัวแล้วว่าตัวเองตั้งท้องเป็นไข่แมงมุม”
วิเวียนหันมองไปรอบๆ เพราะไม่รู้ว่าจองฮายอนอยู่ด้วยหรือไม่ หลังจากนั้นจึงพูดออกมาอีกครั้งหนึ่ง
“แต่อย่างที่บอกไปเมื่อกี้ สติของมนุษย์นั้นไม่พังทลายลงง่ายๆ หรอก เพราะมีสิ่งที่เรียกว่าความอดทนอดกลั้นอยู่น่ะ อย่างที่ฉันพูดไป แพคซอยอนน่ะเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งมาก น่าจะอดทนได้ดีทีเดียว ถ้างั้นไม่ว่าจะเป็นเล่นเกม, บีบบังคับให้ทำ หรือทรมานร่างกาย บางทีในตอนแรกๆ อาจจะไม่สำเร็จก็ได้ และยิ่งเวลาผ่านไป ความเสียหายอาจจะเท่ากับศูนย์เลยก็ได้นะ”
“เดี๋ยวนะ งั้นถ้าใช้น้ำยาอย่างที่เธอว่า ผลลัพธ์มันจะไม่เหมือนกันเหรอ”
“ก็ต้องอย่างนั้นอยู่แล้ว ฉันก็เลยต้องใช้กลยุทธ์การใช้ม่านควันล่วงหน้าไง”
“ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่แฮะ”
วิเวียนหยุดพูดไปชั่วครู่ แล้วจึงชี้ไปยังน้ำยาของมาร์โวลโลกับผลของอิกดราซิล ข้อมูลเมื่อสมัยก่อนนั้นถูกยืนยันมาแล้วเรียบร้อย พูดง่ายๆ ก็คือ น้ำยานี้มีสรรพคุณช่วยทำหน้าที่เป็นสารเร่งปฏิกิริยาการแปรธาตุ และหากทานผลไม้ชนิดนี้เข้าไป มันก็จะกลายเป็นยาพิษที่ทำให้สติฟั่นเฟือนจนถึงขั้นเสียชีวิตได้…
“อ้า”