Memorize - เล่มที่ 16 ตอนที่ 27
“ขอโทษนะคะ ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่”
ผมได้บอกให้สมาชิกเผ่าของอีสตันเทลลอว์ที่มาเยือนเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ไปที่ห้องรับแขกด้วยตัวเอง แล้วจึงเชิญให้เขานั่งลง ซึ่งในวินาทีผมนั่งลงบนเก้าอี้ไปด้วยนั่นเอง ยอนฮเยริมก็เริ่มต้นประโยคมาด้วยการขอโทษขอโพย จนทำให้ผมเกิดความรู้สึกลังเลอย่างไรชอบกล หลังจากนั้นผมจึงมองไปยังฮันโซยองที่นั่งลงกับที่อย่างสบายๆ ฮันโซยองกำลังจ้องยอนฮเยริมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“คราวก่อนที่ได้มาเฝ้าระวังแคลนเฮาส์ ฉันเผลอพูดอะไรไม่ยั้งคิดให้สมาชิกเผ่าของคุณฟังน่ะค่ะ ฉันจะไม่แก้ตัวให้ตัวเองน่าละอายไปมากกว่านี้ ฉันคิดตื้นไปเองค่ะ ตอนนี้ฉันได้ทำเสียมารยาทไปแล้ว ขอความกรุณาให้คุณให้โอกาสพวกเราอีกสักครั้งด้วยนะคะ”
ยอนฮเยริมก้มหัวลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ ยิ่งไปกว่านั้นทั้งน้ำเสียง ลักษณะการพูดต่างนอบน้อมเป็นอย่างมาก ผิดกับตัวจริงลิบลับ
ความจริงแล้ว การที่ยอนฮเยริมจากอีสตันเทลลอว์เข้ามาหาเพื่อขอโทษในสิ่งที่พูดผิดไปเมื่อก่อนหน้านี้นั้น เป็นเรื่องที่ไกลเกินคิด ผมกำลังสันนิษฐานว่าคงมาเพื่อขอคืนดีเสียมากกว่า ผมเองก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเลยว่ายอนฮเยริมจะบุกเข้ามาขอโทษเองขนาดนี้ แต่ทว่าตอนนี้มันกลับกลายเป็นความจริงขึ้นมาเสียแล้ว
อย่างไรก็ตาม ผมเห็นว่าเพียงเท่านี้ก็ถือเป็นการขอโทษด้วยดีแล้ว อีกทั้งผมก็ไม่ได้คิดจะยืนกราน ดื้อด้านต่ออีสตันเทลลอว์แต่อย่างใด ดังนั้นผมจึงตัดสินใจจัดการปัญหาที่ค้างคาอยู่ให้หมดสิ้น
“ผมจะรับคำขอโทษไว้แล้วกันนะครับ ตอนแรกที่ได้ยินคุณมาว่าแบบนั้น ผมเองก็ไม่ได้รู้สึกดีใจอะไรหรอกครับ เพียงแต่ถ้าเป็นราชินีแห่งการสำเร็จโทษที่ผมรู้จัก แม้ลักษณะการพูดจะเป็นเช่นนั้น แต่ผมไม่คิดว่าเขาจะรู้สึกเช่นนั้นเหมือนอย่างที่พูดน่ะครับ”
ผมจงใจยกประเด็นความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับยอนฮเยริมขึ้นมา เพราะผมรู้ดีว่านิสัยของหล่อนรุนแรง หยาบกระด้างและรักในศักดิ์ศรีตัวเองมากถึงเพียงใด ผมจึงคิดว่าคงจะดีเหมือนกันหากผมช่วยหยุดยั้งนิสัยเหล่านั้นได้ ทันใดนั้นผมจึงเห็นยอนฮเยริมที่เงยหน้าขึ้นมานั้น ดูมีท่าทีที่สดใสมากขึ้นสักเล็กน้อย
“ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่คะ ฉันเองก็อยากจะขอโทษที่ไม่สามารถดูแลสมาชิกเผ่าได้อย่างทั่วถึงเช่นกันค่ะ”
ในตอนนั้น ผมก็ได้ยินเสียงของฮันโซยองที่นั่งมองอยู่เฉยๆ จนกระทั่งถึงตอนนี้ดังขึ้นมา ผมส่ายหน้าให้ทันที มีคำพูดที่ว่า ‘การที่ได้ฟังเรื่องราวดีๆ ก็ถือว่าดีอยู่หรอก แต่หากฟังเรื่องดีเช่นนั้นเข้าบ่อยๆ ก็จะเกิดความรู้สึกเอียน ไม่ชอบเรื่องนั้นได้สักวันหนึ่ง’ ดังนั้นการที่ผมมานั่งฟังแต่คำขอโทษอยู่เช่นนี้ จึงทำให้ผมรู้สึกประหม่าขึ้นมาอย่างเสียมิได้
“ไม่เป็นไรครับ ยังไงผมจะชี้แจงให้สมาชิกเผ่ารับทราบเองครับ ไม่ต้องกังวลนะครับ“
“ค่ะ ถ้างั้นก็ขอความกรุณาด้วยนะคะ ขอบคุณที่เข้าใจพวกเราค่ะ”
อีกฝ่ายคงรู้แล้วว่าผมพูดตัดบทออกมาแล้ว ฮันโซยองจึงพยักหน้าตอบรับกลับมา ในตอนนั้นเองยอนฮเยริมก็เงยหน้าขึ้นมาพอดิบพอดี กอปรกับเห็นแววตาของฮันโซยอง หล่อนจึงได้หย่อนกายนั่งลงในที่สุด
ความเงียบเข้ามาปกคลุมบรรยากาศโดยรอบไปชั่วขณะ ตอนที่ยังขอโทษขอโพยกันก็ดีอยู่แท้ๆ แต่ทว่าหลังจากนั้นมา บรรยากาศภายในห้องกลับกลายเป็นความรู้สึกไม่ชอบมาพากลเสียแทน ฮันโซยองเองก็คงจะรู้สึกเช่นเดียวกันกับผม
ผมจึงเห็นหล่อนเริ่มบทสนทนาขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เพื่อทำลายบรรยากาศแปลกๆ ที่กำลังเผชิญอยู่ตอนนี้
“ฉันตกใจมากเลยค่ะที่ได้ทราบข่าวว่าคุณหายตัวไปจากมิวล์ อาจจะมาทักทายช้าไปสักนิด แต่การที่คุณสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย นับว่าเป็นโชคดีมากๆ ค่ะ”
“ครับ ผมเองก็ไม่นึกว่าพวกเร่ร่อนจะบุกโจมตีแบบนั้น ในระหว่างนั้นก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมายเลยครับ แต่…อย่างที่พวกคุณเห็น ผมสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัยดีครับ เห็นทีผมเองก็จะต้องขอบคุณที่มาช่วยดูแลป้องกันแคลนเฮาส์ของพวกเราด้วยนะครับ”
“ขอบคุณอะไรกันคะ เราไม่ได้ตั้งหน่วยกู้ภัยอะไรขึ้นมาเลย ได้แต่รออยู่ท่าเดียวเท่านั้นเองค่ะ จริงๆ ก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ตลอดเวลาเลยนะคะ…”
“ฮ่าๆ ไม่เป็นไรหรอกครับ เป็นการเลือกที่ฉลาดหลักแหลมที่สุดแล้วครับ”
แม้ต่างคนจะต่างพูดออกมาตามมารยาท แต่บรรยากาศที่เดิมทีก็ไม่ชอบมาพากลอยู่แล้วกลับเพิ่มความเคอะเขินแปลกๆ มากขึ้นไปอีกจากการพูดรับส่งกันอย่างนั้น ถ้าอย่างนั้นแล้ว เห็นทีถึงคราวที่จะต้องเปลี่ยนหัวข้อสนทนาสักหน่อยเสียแล้ว
“อ๊ะ จริงสิครับ ผมได้ยินแว่วๆ เกี่ยวกับเรื่องคำสั่งเกณฑ์มาน่ะครับ ไม่ทราบคุณคิดจะเข้าร่วมคำสั่งเกณฑ์ในครั้งนี้ด้วยหรือเปล่าครับ”
ฮันโซยองเปิดปากเตรียมตอบคำถามผมในข้อนี้ แต่แล้วหล่อนกลับหันหน้าไปมองยอนฮเยริมแทน ยอนฮเยริมเห็นสายตาของหล่อนเช่นนั้น จึงค่อยๆ ลุกจากที่นั่ง ก้มหัวให้เล็กน้อยแล้วหมุนตัวเดินออกไป
ผมเห็นยอนฮเยริมที่เดินออกไปนอกประตูแล้วก็ได้แต่หัวเราะกับตัวเองอยู่ในใจ อาจจะเป็นการเดินออกไปเพื่อพูดคุยเรื่องสำคัญจริงๆ ก็เป็นได้ แต่ไม่รู้ทำไมผมกลับคิดว่าเป็นท่าทีแสดงการขอโทษอย่างหนึ่งเท่านั้น การกระทำของยอนฮเยริมเช่นนั้น ทำให้ผมรู้สึกว่าหล่อนมาที่นี่ก็เพื่อขอโทษเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
หลังจากเสียงปิดประตูดังขึ้น ฮันโซยองจึงมองผมตรงๆ ด้วยแววตาที่รู้สึกได้ถึงความสุขุมเยือกเย็น หากก่อนหน้านี้หล่อนเป็นเพียง ‘ผู้หญิง’ คนหนึ่งที่ชื่อฮันโซยองเท่านั้น ทว่าตอนนี้หล่อนได้กลับมาเป็น ‘ราชินีแห่งเลือดและเหล็ก’ โดยสมบูรณ์แล้ว
“ความจริงแล้วฉันมีเรื่องอยากจะขอร้องต่อลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่อยู่หนึ่งเรื่องค่ะ”
“หากเป็นการขอร้องเกี่ยวกับการเข้าร่วมคำสั่งเกณฑ์นั้น ผมคิดว่าจะไปเข้าร่วมอยู่แล้วครับ”
“คล้ายๆ กันค่ะ แต่ว่าสถานการณ์ในขณะนี้ค่อนข้างวุ่นวายเล็กน้อยน่ะค่ะ บทสนทนาของเราอาจจะยืดเยื้อไปสักหน่อย…”
ฮันโซยองไม่ได้พูดต่อจนจบประโยค ผมจึงรีบตอบกลับไปในทันที
“เชิญตามสบายเลยครับ ผมจะตั้งใจฟังอยู่ตรงนี้”
ฮันโซยองจ้องกลับมาด้วยสายตาอันแน่วแน่อยู่ครู่หนึ่ง หลังจากหล่อนลอบกลืนน้ำลายลงคอจึงเริ่มพูดต่อทันที
“คือว่า เมื่อเร็วๆ นี้เรามีแผนที่จะส่งคำสั่งเกณฑ์ไปถึงเผ่าในสังกัดของเมืองโมนิก้าด้วยน่ะค่ะ การเตรียมการอะไรทุกอย่างก็ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว แต่ทว่าคำสั่งเกณฑ์ในคราวนี้ ดูเหมือนว่าลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ไม่จำเป็นจะต้องไปเข้าร่วมก็ได้นะคะ”
“ครับ? ทำไมล่ะครับ”
“ไม่ถึงกับเป็นการเสียเวลาอะไรหรอกค่ะ แต่…มันก็ไม่ใช่คำสั่งเกณฑ์ที่มีความหมายมากมายขนาดนั้น แม้ว่าคุณจะตกลงเข้าร่วมก็ตาม”
ผมรู้สึกถึงอะไรบางอย่างในคำพูดของฮันโซยองที่ฟังดูแล้วช่างไม่สอดคล้องกันเสียเลย แต่แล้วดูเหมือนหล่อนยังมีอะไรจะพูดต่อเนื่องออกมาอีก ผมจึงได้แต่ตั้งใจฟังอย่างเงียบๆ
“ตอนนี้คำสั่งเกณฑ์ของอีสตันเทอลอว์ถูกวางแผนออกมาได้ราวๆ สองรอบแล้วค่ะ ซึ่งในสองรอบนี้มีอยู่รอบหนึ่งที่พวกเราได้เป็นเจ้าภาพ แต่อีกรอบหนึ่งนั้นอยู่ในฐานะผู้รับคำสั่งเกณฑ์น่ะค่ะ”
“รับ…คำสั่งเกณฑ์หรือครับ แคลนอีสตันเทลลอว์น่ะเหรอครับ”
“ค่ะ คำสั่งเกณฑ์รอบที่สองนั้นเป็นคำสั่งเกณฑ์ที่มาจากการรวมกลุ่มกันของทิศตะวันออกกับทิศใต้น่ะค่ะ และแน่นอนว่าตัวตั้งตัวตีนั้นอยู่ฝั่งทิศตะวันออกค่ะ ท่านนั้นเป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับฉันด้วยเช่นกัน แต่บางทีท่านนั้นก็อาจจะรู้ว่าฉันเองก็มีความสัมพันธ์ต่อลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่เช่นกันค่ะ”
ผมสามารถจับความรู้สึกอันแสนคลุมเครือนี้ไว้ได้แล้ว ว่าเจ้าภาพที่ฮันโซยองพูดถึงนั้นคือใคร ถึงแม้ผมจะยังไม่รู้ข้อมูลโดยละเอียด แต่รู้สึกได้ว่าภาพเหตุการณ์เรื่องราวต่างๆ กำลังถูกขึ้นเค้าโครงออกมาแล้วในระดับหนึ่ง
“เดิมทีฉันคิดว่าจะเชิญเข้าร่วมคำสั่งเกณฑ์ที่โมนิก้าได้จัดขึ้นน่ะค่ะ แต่ว่าเมื่อวานฉันได้รับการติดต่อมาจากท่านผู้นั้น เลยเปลี่ยนความคิดไปน่ะค่ะ แล้วก็อยากจะเรียนให้ทราบว่า ท่านผู้นั้นต้องการพบกับลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ด้วยค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นหมายความว่า จะพบผมและสั่งให้ผมเข้าร่วมคำสั่งเกณฑ์รอบที่สองใช่หรือไม่ครับ”
ฮันโซยองส่ายหน้าซ้ายทีขวาทีอย่างช้าๆ ให้กับคำตอบที่ผมตอบออกไป ปฏิกิริยาของหล่อนเช่นนั้นทำเอาผมรู้สึกได้ถึงพลังบางอย่างที่ปะทุอยู่ในแววตา หล่อนมีท่าทีลังเลใจครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆ เอื้อนเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา
“ไม่ค่ะ เรื่องนั้นฉันก็ไม่ทราบ ท่านบอกแค่ว่าอยากจะพบกับลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ก่อนคำสั่งเกณฑ์รอบที่สองจะถูกจัดขึ้นน่ะค่ะ พบกันแค่สองคนเท่านั้นนะคะ”
ท้องฟ้าแจ่มใส แสงแดดพาทำให้อากาศอบอุ่น ผมกำลังนอนพิงหลังของยูนิคอร์นอยู่ที่ดาดฟ้าอาคาร พร้อมรู้สึกเพลิดเพลินใจไปกับช่วงเวลายามว่างที่ตัวเองไม่ได้สัมผัสมาเนิ่นนาน
ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไป หลังจากที่อีสตันเทลลอว์ได้เข้ามาเยี่ยมเยียนเมื่อไม่กี่วันก่อน ไม่สิ ถ้าหากจะมีอะไรที่เปลี่ยนแปลง เห็นทีจะเป็นข้อมูลภายในเผ่าเสียมากกว่า พวกเราได้พาพวกเร่ร่อนยัดเข้าคุกที่เพิ่งสร้างเสร็จสดๆ ร้อนๆ เรียบร้อยแล้ว สรุปผลอุปกรณ์ต่างๆ ก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว ส่วนงานวิจัยของวิเวียนเองก็กำลังอยู่ในกระบวนการขั้นสุดท้าย หากจะมองว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงล่ะก็ คงจะเป็นแค่การเปลี่ยนแปลงเพียงสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวเท่านั้น
ฮี้…
ผมหันหน้าไปเมื่อได้ยินเสียงร้องดังแว่วเข้ามาในหู แล้วจึงพบเข้ากับยูนิคอร์นสองตัวที่กำลังนอนหลับพักผ่อนด้วยสีหน้าอันแสนสบายอุรา ส่วนเจ้ายูนิคอร์นน้อยนั้นกำลังนอนซุก ส่งเสียงลมหายใจดังครืดๆ อยู่ในอ้อมกอดของผม และยูนิคอร์นของฮยอนซึงฮีเองก็กำลังทำหน้าที่เปรียบเสมือนเป็นหมอนให้ผมกับเจ้ายูนิคอร์นได้หนุนนอนอย่างเต็มที่
ในช่วงที่ผมกำลังจะเผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัวนั่นเอง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้ากำลังเดินขึ้นมาบนดาดฟ้า ผมจึงหันหน้าไปยังประตูดาดฟ้า แล้วพบเข้ากับฮยอนซึงฮีที่วิ่งเข้ามาหา หล่อนค่อยๆ ย่องเข้ามาหาผมอย่างเงียบๆ คงเป็นเพราะเห็นยูนิคอร์นกำลังหลับอย่างเหนื่อยอ่อน
“หลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่คะเนี่ย”
“ก็พักหนึ่งครับ ประมาณครึ่งชั่วโมง?”
ฮยอนซึงฮีดูโล่งอกมากขึ้น แล้วจึงค่อยหย่อนกายลงมานั่งข้างผมอย่างระมัดระวัง หล่อนเฝ้ามองเจ้ายูนิคอร์นน้อยด้วยใบหน้าที่งดงามจน แล้วจึงหันมาสบตาเข้ากับผม หล่อนเปิดปากพูดออกมาว่า
“อ้า จริงด้วย ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่คะ เมื่อวานทำไมไม่มาล่ะคะ”
“เมื่อวานหรือครับ”
“คำสั่งเกณฑ์ไงคะ เผ่าที่อยู่ในโมนิก้ามารวมตัวกันหมดเลยนี่นา ฉันก็เลยไปหา ว่าจะทักทายเสียหน่อย แต่กลับไม่เห็นคุณเลย”
“อ๋อ พอดีเมอร์เซนต์นารี่ไม่ได้ถูกรับเชิญน่ะครับ เดิมทีพวกเราเป็นแค่ทหารรับจ้างอิสระด้วย เลยไม่มีเหตุผลที่จะไปเข้าร่วมน่ะครับ”
ฮันโซยองได้อ้อนวอนขอให้เก็บคำขอร้องเมื่อวันนั้นไว้เป็นความลับ ผมจึงไม่สามารถพูดอะไรออกไปอย่างละเอียดได้ อย่างไรก็ดีผมเองก็ไม่มีความคิดที่จะทำเช่นนั้นอยู่แล้ว ด้วยความที่ในคำพูดของผมไม่ได้มีอะไรผิดแปลกไปมากมายขนาดนั้น ฮยองซึงฮีจึงพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย
“แต่ว่าเผ่าแสงดาวเองก็มีคำสั่งเกณฑ์เข้ามาด้วยนี่ครับ ทั้งที่เพิ่งมาอยู่ในโมนิก้าได้ไม่นานเองไม่ใช่เหรอครับ”
“อืม ใช่แล้วค่ะ แต่ว่าตอนนี้เราเป็นเผ่าในสังกัดอีสตันเทลลอว์แล้วนี่นา เพราะงั้นจึงมีคุณสมบัติพอที่จะได้เข้าร่วมคำสั่งเกณฑ์ใช่ไหมล่ะคะ”