Memorize - เล่มที่ 16 ตอนที่ 30
อย่างไรก็ตาม การพบปะกับอีฮโยอึลในวันนี้ นับเป็นช่วงเวลาที่มีประโยชน์ไม่ใช่น้อย ไม่ถึงกับต่างคนต่างได้เผยความในใจออกมาก็จริง แต่ทว่าผมสามารถยืนยันได้แล้วว่าความคิดของหล่อนเหมือนกับผมแทบจะทุกประการ ดังนั้นผมจึงสามารถพูดได้อย่างมั่นใจเลยว่าไม่เสียเวลาโดยใช่เหตุอย่างแน่นอน แม้จะบอกว่างานล้มเหลวไม่เป็นท่า แต่การให้เข้ามาช่วยเรื่องอำนาจและการควบคุมต่างๆ ก็ยังคงจำเป็นอยู่ดี ซึ่งหากคนๆ นั้นคืออีฮโยอึล ก็บอกได้เลยว่าหล่อนเหมาะสมกับหน้าที่นี้มากๆ แล้ว
ผมลุกออกจากที่นั่ง อีฮโยอึลค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา แล้วมองมาที่ผมทันที
“จะไปแล้วเหรอ”
“อืม ว่าแต่ก่อนฉันไป เธอควรแจ้งวันเวลาคำสั่งเกณฑ์พลที่เธอเป็นเจ้าภาพสักหน่อยจะดีกว่าไหม”
“วันที่จัดคืออีกสามสัปดาห์หลังจากนี้ การดำเนินการก็เข้าสู่ช่วงท้ายๆ แล้วละ แต่ยังต้องการเวลาจัดการให้เสร็จสมบูรณ์แบบอยู่น่ะ และก็ตอนนี้เรากำลังหาสถานที่อยู่ ยังไงฉันจะส่งข่าวไปให้ภายในสามวันนี้ก็แล้วกัน”
“โอเค รับทราบ อ้า แล้วก็เธอน่ะ สงสัยคงจะต้องเข้ามาเยี่ยมเผ่าเราสักครั้งหนึ่งก่อนเปิดคำสั่งเกณฑ์พลสักหน่อยนะ”
อีฮโยอึลเอียงคอสงสัยในช่วงแรกๆ ทว่าหลังจากนั้นนัยน์ตาหล่อนกลับลุกแวววาวขึ้นมา พร้อมพูดออกมาว่า
“ทำไมล่ะ”
“แล้วก็อีกอย่าง คำสั่งเกณฑ์พลที่เธอเป็นเจ้าภาพน่ะ ผู้เล่นทุกคนที่มารวมตัวกันเขารู้กันใช่ไหมว่าเธอยังมีชีวิตอยู่”
“แหงอยู่แล้วสิ พวกนั้นเป็นคนที่เคยร่วมรบตบมือกับฉันมาก่อนทั้งหมดนั่นแหละ”
“งั้นหมายความว่าทุกคนเป็นคนที่เชื่อถือได้ในระดับหนึ่งน่ะสินะ”
วินาทีที่ประโยคนั้นถูกเปล่งออกไป ดวงตาของอีฮโยอึลก็เบิกกว้างขึ้น หล่อนเข้าใจความหมายเหล่านั้นที่แฝงอยู่ในคำพูดของผม ก่อนที่จะได้เอื้อนเอ่ยคำใดออกมา ไหนๆ ผมก็จะเข้าร่วมอยู่แล้ว ดังนั้นจึงคิดว่าผมจะทำให้งานคำสั่งเกณฑ์พลในครั้งนี้ครึกครื้นให้ได้
“…ให้ไปเยี่ยมได้เมื่อไหร่ล่ะ”
ในที่สุดอีฮโยอึลก็เปล่งคำพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเข้มงวด
“ขอบคุณที่สละเวลาอันมีค่าของคุณครับ ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่”
“อ้อ มาแล้วหรือครับ ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมต้องขออภัยด้วยที่ให้คุณช่วยนัดแนะวันเวลามาก่อน พอดีช่วงนั้นผมมีงานยุ่ง ต้องทำหลายสิ่งหลายอย่าง เลยหาเวลาไม่ได้เลยครับ”
ผมมองชินแจรยงที่เดินเข้ามาในห้องทำงาน แล้วจึงชี้ไปยังโซฟาตรงหน้าเพื่อเชิญชวนให้เขานั่งลง
จริงๆ ตั้งใจไว้แต่แรกแล้วว่าจะพักแรมอยู่แค่คืนเดียวเท่านั้น แต่ทว่าวันเวลากลับผ่านเลยราวกับสายน้ำเชี่ยวกราดตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ แต่ผมก็ไม่ได้ลงไปข้องแวะแต่อย่างใด เพียงแค่ไม่ได้พูดออกไปตรงๆ ก็เท่านั้น ตอนนี้ผมกำลังอยู่ในสภาพคอยส่งสัญญาณแห่งความมุ่งมั่นตั้งใจให้เขาได้รับทราบ ไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นในรูปแบบไหน ระยะเวลาเท่าไหร่ ไม่สิ ยิ่งเป็นผู้เล่นที่มีช่วงปีสูงๆ แล้วล่ะก็การที่จะหาที่อยู่พักพิงใหม่ถือว่าเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องพินิจพิเคราะห์อย่างมาก
ด้วยความที่ผมรู้ซึ้งถึงหัวจิตหัวใจของชินแจรยง ดังนั้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมจึงให้เวลาเขาได้มองเห็นเมอร์เซนต์นารี่ในทุกๆ แง่มุม และยังให้เวลาให้เขาได้จัดการกับความคิดของตัวเองได้อย่างเต็มที่อีกด้วย
ชินแจรยงนั่งลงตามคำเชิญของผม แล้วจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันแสนนุ่มนวล
“ไม่หรอกครับ ไม่เป็นไรครับ ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ คุณเองก็ต้องยุ่งเป็นเรื่องธรรมดา ผมต่างหากที่จะต้องขอโทษ ทั้งๆ ที่บอกไว้แล้วแท้ๆ ว่าจะพักแรมอยู่คืนเดียวเท่านั้น แต่ทว่ากลับเป็นหนี้บุญคุณคุณอย่างไม่ละอายมาจนถึงตอนนี้ แหะๆ”
“หนี้บุญคุณอะไรกันครับ ที่ผ่านมาผมได้ยินสมาชิกเผ่าพูดถึงคุณชินแจรยงเยอะมากเลยนะครับ ทั้งเข้ามาช่วยงานอะไรหลายๆ อย่าง แถมยังคอยให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับอันซลอีกด้วย”
จากการประเมินชินแจรยงของสมาชิกเผ่านั้น พบว่าส่วนใหญ่แล้วเต็มไปด้วยความปราถนาดีโดยทั้งสิ้น จริงๆ ผมก็คิดกับเขาในแง่ดีมาตั้งแต่เขามาเข้าร่วมหน่วยกู้ภัยแล้วละ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผมคิดว่าหากเขาจะมาเข้าร่วมเผ่าของเราในภายหลัง ผมสิที่จะต้องยินยอมให้เขาเข้ามาอย่างไร้ซึ่งข้อกังหาใดๆ
ชินแจรยงส่งรอยยิ้มขัดเขินมาให้ หลังจากนั้นจึงเริ่มจ้องผมด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง ดูท่าว่าจะต้องเข้าประเด็นหลักเสียแล้วในตอนนี้ ผมจึงตัดสินใจเริ่มต้นพูดก่อน เพื่อช่วยบรรเทาความตึงเครียดของเขา
“ถ้างั้นคุณตัดสินใจได้หรือยังครับ”
ชินแจรยงมีสีหน้าตกตะลึงไปพักหนึ่ง ลูกกระเดือกของเขาขยับขึ้นลงราวกับกลืนน้ำลายลงคอก็ไม่ปาน แต่พอผมเห็นว่าเขาสามารถเรียกความสุขุมกลับมาได้แล้ว จึงเห็นได้ว่าเขาคงตัดสินใจตามที่ผมได้พูดไปแล้วจริงๆ
“ตอนที่คุณบอกเป็นนัยยะในช่วงแรกๆ นั้น ผมค่อนข้างสับสนนิดหน่อยครับ ในทางคำพูด ผมอาจจะบอกว่าจัดการทุกอย่างได้เสร็จสิ้นหมดแล้ว แต่ทว่าก็ยังมีสมาชิกเผ่าหลงเหลืออยู่ในหัวใจผมอยู่เหมือนกัน แต่พอผมได้มานั่งคิดดูดีๆ แล้ว คำพูดของคุณในตอนนั้น ผมถือว่าเป็นคำที่ผมควรจะขอบคุณมากๆ ที่คุณมอบให้ผมที่ตกอยู่ในสภาวะเช่นนั้น”
“ถ้าอย่างนั้น…”
“ครับ ผมสามารถตัดสินใจได้เมื่อวานนี้เองครับ ช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมได้ใช้ชีวิตอยู่ที่เผ่าเมอร์เซนต์นารี่ และรู้สึกว่าคนดีๆ ที่นี่มีอยู่เยอะมาก ผมคิดว่าผมจะไม่มีวันพลาดโอกาสทองเช่นนี้ไปเด็ดขาด หากคำพูดเหล่านี้ยังคงมีผลอยู่บ้าง ตอนนี้ผมขอบังอาจ อยากจะวิงวอนอะไรบางอย่างน่ะครับ แต่เดิมคุณก็มีผู้สำคัญอันทรงเกียรติอยู่เยอะมากแล้ว ดังนั้นผมจึงไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถเข้ามาช่วยอะไรได้บ้าง หากคุณตอบรับให้ผมเข้าร่วมเผ่า ผมจะพยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่ให้ได้มากที่สุดครับผม”
“…”
ข้อมูลผู้เล่น (Player Status)
1.ชื่อ (Name) : ชินแจรยง (ปีที่ 4)
2.คลาส (Class) : นักบวชทั่วไป (Normal, Priest, Expert)
3.อุปนิสัย : ดี · มีความกระตือรือร้น (Good · Passion)
[พละกำลัง 78] [ความทนทาน 82] [ความคล่องแคล่ว 74] [ความแข็งแกร่ง 90] [พลังเวท 84] [โชค 68]
‘ช่วยอะไรไม่ได้เลยงั้นเหรอ อย่าล้อเล่นไปหน่อยเลย’
ผมใช้ดวงตาที่สามยืนยันข้อมูลผู้เล่น พร้อมปรายตามองชินแจรยง อย่างแรกเลยคือเขาเป็นนักบวช และมีข้อมูลผู้เล่นในระดับนี้ ถือว่าเขามีส่วนช่วยเราอย่างไร้ซึ่งข้อโต้แย้ง ยิ่งไปกว่านั้น ค่าพลังความแข็งแกร่งในฐานะที่เป็นนักบวชถือว่าอยู่ในระดับสูงมาก ดังนั้นผมจึงสามารถคาดหวังได้ถึงประสิทธิภาพต่างๆ ที่สูงขึ้น สูงยิ่งขึ้นไปอีก ส่วนอุปนิสัยนั้นไม่ต้องพูดถึงเลย
และหากลองคิดถึงสงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่จะมีขึ้นในภายภาคหน้าแล้วล่ะก็ เมอร์เซนต์นารี่ที่ตอนนี้กำลังขาดแคลนนักบวชอยู่นั้น การชักชวนให้เขาเข้าร่วมเผ่าครั้งนี้เปรียบเสมือนฝนตกในหน้าแล้งเลยทีเดียว
ผมยื่นมือออกไปข้างหน้า แล้วจึงเปิดปากพูดออกไปด้วยน้ำเสียงไพเราะที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้อย่างไม่ขัดเขิน
“ฮ่าๆ เรื่องนั้นไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ ในอนาคตก็จะยิ่งยุ่งมากขึ้นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่ว่าอย่างไรคุณก็มีส่วนช่วยพวกเราอย่างแน่นอนครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็โชคดีแล้วครับ ผมถือว่าเป็นเรื่องราวดีๆ เลยนะครับที่ผมจะได้มีงานทำเหมือนคนอื่นเขาบ้าง ในอนาคตผมจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อเมอร์เซนต์นารี่ครับ”
ชินแจรยงส่งรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยนมาให้ หลังจากนั้นจึงยื่นมือเข้ามาจับ ทันใดนั้นผมพลันรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ฝ่ามือ พร้อมกับความรู้สึกที่ว่าควรปล่อยมือได้แล้วเสียทีวิ่งแล่นเข้ามา
ก๊อก ก๊อก
ในตอนนั้นเอง ตอนที่ผมกำลังจับมือกับชินแจรยงอย่างแสนอบอุ่น ในช่วงที่ต่างคนต่างกำลังผละมือออกจากกันนั้น เสียงใครบางคนกำลังเคาะประตูเบาๆ ก็ดังขึ้น วินาทีที่ผมกับเขาหันหน้าไปทางประตูพร้อมกันนั้น ประตูก็ถูกเปิดกว้างออก จนได้พบเข้ากับหญิงสาวผู้หนึ่ง นั่นก็คือ อียูจองนั่นเอง
“พี่…อ้า กำลังคุยกันอยู่สินะ ขอเข้าไปหน่อยได้ไหม”
“ไหนๆ ก็เปิดประตูแล้วนี่ เข้ามาสิ มีเรื่องอะไรเหรอ”
ผมส่งสายตาไปหาชินแจรยง พอเขาพยักหน้ารับ อียูจองเห็นดังนั้นจึงปรี่เข้าห้องมาในทันที หล่อนเดินตรงเข้ามาที่โต๊ะทำงานของผม แล้วเหลือบมองชินแจรยงแวบนึง หลังจากนั้นจึงค่อยยื่นกระดาษที่พับมาอย่างเรียบร้อยสวยงามให้แก่ผม
“พี่ อันนี้ส่งมาจากเผ่าแฮมิล”
“เผ่าแฮมิล?”
‘อีฮโยอึลส่งมางั้นเหรอ’
ผมค่อยๆ ยื่นมือออกไปรับกระดาษแผ่นนั้น พร้อมกวาดสายตามองด้านนอก และ ณ วินาทีนั้นเองผมก็หยุดเคลื่อนไหวไปเสียดื้อๆ โดยที่ตัวเองก็ไม่รู้สาเหตุเหมือนกัน ผู้ส่งกระดาษแผ่นนี้มาไม่ใช่อีฮโยอึล แต่กลับเป็นคิมยูฮยอน พี่ชายของผม ผมจึงลังเลว่าจะลองอ่านข้อความเขาเดี๋ยวนี้เลยดีหรือไม่ แต่แล้วผมก็รู้สึกได้ถึงสายตาของชินแจรยงที่กำลังยืนใจลอยอยู่ตรงหน้า
“ผู้เล่นชินแจรยง ขอแสดงความยินดีด้วยอีกครั้งนะครับที่ได้เข้าร่วมเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ ในอนาคตก็รบกวนด้วยนะครับ”
“อ๊ะ ครับ! ผมต่างหากล่ะครับที่ต้องรบกวน!”
“ผมจะรอดูนะครับ คงจะได้เจอกันในการประชุมช่วงเช้า อย่างไรก็ตาม…คุณคงต้องย้ายจากที่พักชั่วคราวมาเป็นที่พักส่วนตัวเสียแล้วละครับ ใช่ไหม อียูจอง?”
“เอ๋? อ้า อื้ม!”
ชัดเจนแล้วว่าหล่อนฟังบทสนทนาระหว่างผมกับชินแจรยง อียูจองไม่ได้มีสีหน้าตกใจมากมายถึงเพียงนั้น บางทีการที่หล่อนเห็นว่าเขาพักอยู่ที่นี่มาตลอดอาจจะนึกว่าเขาเข้าร่วมเผ่ากับพวกเราแล้วก็ได้
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ถือว่าคุณชินแจรยงได้เข้ามาเป็นสมาชิกเผ่าเมอร์เซนต์นารี่แล้วนะ เธอเองก็ช่วยดูแลด้วย”
“อ้า อย่างที่คิดไว้เลย เข้าใจแล้วค่า~ ยินดีต้อนรับนะคะ คุณลุง! ในอนาคตก็ขอความกรุณาด้วยค่ะ!”
อียูจองเผยรอยยิ้มอันแสนสดใสออกมา หลังจากนั้นจึงจับมือชินแจรยงเขย่าๆ ไปมา หล่อนเองก็เป็นอีกหนึ่งคนในบรรดาสมาชิกเผ่าที่มีความปราถนาดีมอบให้แก่ชินแจรยง การแสดงออกมาซึ่งความยินดีด้วยใจจริงนั้นช่างแตกต่างกับท่าทีที่เคยเห็นเมื่อครั้งเผชิญหน้าอยู่กับคิมฮันบยอลราวฟ้ากับเหว
‘เรียกว่าคนทรยศได้ไหมเล่าเนี่ย’
“ถ้างั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
“ครับ อียูจอง บอกให้สมาชิกเผ่าแนะนำตัวกับเขา แล้วก็ช่วยให้ข้อมูลที่พักกับเขาด้วยละ เข้าใจไหม”
อียูจองทำปากยื่นปากยาว นัยน์ตาแวววับเป็นประกายสวยงามส่งมาให้แทนคำตอบ ผมรู้สึกเหมือนได้เห็นลูกสาวตัวเองกำลังต่อต้านว่า ‘รู้แล้วน่า’ เลย
ผมมองเขาทั้งสองที่เดินออกนอกประตูไป แล้วจึงหยิบกระดาษที่วางทิ้งไว้ครู่หนึ่งขึ้นมาอีกครั้ง