Memorize - เล่มที่ 16 ตอนที่ 31
หลังจากผมทานข้าวเย็นร่วมกับสมาชิกเผ่า ผมจึงกลับมาที่ห้องทำงานอีกครั้งหนึ่ง และจึงนั่งลงที่โต๊ะ ใช้สายตาค่อยๆ สอดส่องข้อความที่อ่านเมื่อครู่อีกครั้ง
เนื้อหาในช่วงแรกไม่มีอะไรแปลกใหม่นัก ผมนึกว่าคงจะมีอะไรเครียดๆ ส่งมา แต่ทว่าเนื้อหานั้นเป็นการทักทายถามไถ่สารทุกข์สุกดิบต่างๆ เช่น กินข้าวอิ่มไหม, ร่างกายโอเคหรือยัง กินเนื้อที่ไปแล้วเกือบครึ่งหนึ่ง ผมได้แต่ถอนหายใจ และในตอนที่ตัดสินใจว่าจะทิ้งกระดาษแผ่นนี้ไปนั้น เนื้อหาสำคัญก็ค่อยๆ ปรากฏออกมา
ในแต่ละถ้อยคำ แต่ละคำพูดนั้น หากจะให้สรุปมาเป็นคำสั้นๆ คำเดียวก็คงเป็นคำนี้ นั่นก็คือ ขอร้องให้เผ่าเมอร์เซนต์นารี่ไม่ให้ความร่วมมือแก่อีฮโยอึลฐานะสมาชิกเผ่าที่เป็นพันธมิตรกันไปสักระยะหนึ่งจะได้หรือไม่
‘สำหรับคิมยูฮยอนแล้วยังไงก็ยังคงมีค่าอยู่เหมือนเดิม จึงทำให้ดูเหมือนว่าพวกฑูตสวรรค์ไม่ได้พูดอะไรถึงเป็นพิเศษน่ะ แต่…ตอนนี้มันจบไปแล้วเนอะ’
บทสนทนาที่ได้แลกเปลี่ยนกับอีฮโยอึลเมื่อวันก่อนนั้นวนเวียนเข้ามาอยู่เต็มหัวสมองผมเต็มไปหมด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหล่อนขีดเส้นพี่ชายผมไว้อย่างไร
ผมรู้ตัวตนของทั้งพี่ชายและอีฮโยอึลอยู่แล้ว เขาคงจะเรียกร้องอะไรสารพัดสักอย่าง เช่น ตอบแทนบุญคุณที่เคยได้ช่วยชีวิตไว้ หรือไม่ก็ ช่วยเลี้ยงผมมาจนเติบใหญ่ เป็นต้น และตัวพี่ชายเอง คงจะตกลงปลงใจด้วยกับยินดีเพื่อผมอย่างแน่นอน
ในส่วนนี้มีเรื่องที่ซีเรียสอยู่สักหน่อย ไม่สิ ค่อนข้างมากเลยละ แม้ผู้เล่นที่รู้ตัวตนที่แท้จริงจะมีอยู่เล็กน้อย แต่ทว่าผู้คนเหล่านั้นล้วนยังมีสิ่งที่ตัวเองละเมอเพ้อพกไปเองอยู่บ่อยครั้ง
และสิ่งนั้นคือการที่คิดว่าผู้พิทักษ์แห่งทวีปเหนือเป็นคนจิตใจดีนั่นเอง ผมเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะมีคำว่า ‘พิทักษ์’ อยู่ในนั้น หรือเป็นหนี้บุญคุณอะไรกันแน่ เพราะหากจัดการกับระบบความคิดและความเข้าใจที่มีต่อผู้พิทักษ์ โดยจำกัดเฉพาะคนรู้จักแล้วล่ะก็จะรับรู้ได้เลยว่าผู้พิทักษ์คือ ‘ผู้เสียสละตนเอง เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น’
แต่ทว่าความคิดของผมกลับไม่เป็นเช่นนั้น แม้จะออกคำสั่งอะไรอย่างไร ท้ายที่สุดแล้วก็ยังไม่สามารถหลุดพ้นจากการเป็นลูกกระจ๊อกของเหล่าทูตสวรรค์ได้อยู่ดี เหล่าทูตสวรรค์มีวัตถุประสงค์อยู่อย่างหนึ่ง และเพื่อให้วัตถุประสงค์นั้นสำเร็จลุล่วงไปได้อย่างง่ายดายนั้น ก็จะต้องเชิดชูยกยอผู้พิทักษ์ทั้งหลายนั่นเอง
เราสามารถรับรู้ถึงสิ่งนี้ได้ แม้จะมองแค่ในมุมปัจจุบันเท่านั้น อีฮโยอึลเป็นผู้พิทักษ์แท้ๆ แล้วทำไมถึงไม่ชวนกันไปช่วยเหลือเหล่าเมืองต่างๆ ที่โดนบุกโจมตีอยู่ ณ ตอนนี้ล่ะ เผ่าต่างๆ จากใจกลางและทิศตะวันตกนั้น ต่างก็กำลังทยอยย้ายถิ่นฐานมาที่ทิศตะวันออกกับทิศใต้ เพราะฉะนั้นอย่าว่าแต่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเลย
เรื่องนี้เป็นลางสังหรณ์ของผมคนเดียว แต่มีความเป็นไปได้สูงพอสมควรที่อีฮโยอึลจะอยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดนี้
กล่าวคือ การเป็นผู้พิทักษ์แห่งทวีปนั้นเปรียบเสมือนได้กับเป็นตัวแทนของเหล่าทูตสวรรค์ที่ยังคงมีชีวิตอยู่ พวกเขาได้เห็นทุกย่างก้าวที่ถูกปรับให้เข้าที่เข้าทางมากยิ่งขึ้นอย่างทะลุปรุโปร่งเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้ตามที่ต้องการ
พูดสั้นๆ คือ การที่ในตอนนี้อีฮโยอึลได้ถอนรากถอนโคนเผ่าสิงโตทองและเผ่าพันธมิตรออกไปเพื่อทวีปเหนือนั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม หากคิดถึงสิ่งเหล่านี้แล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างต้องไม่พอใจอย่างแน่นอนกับการที่อีฮโยอึลจะเข้ามายังเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ และสืบเนื่องจากเหตุผลเหล่านั้น จึงทำให้ผมตัดสินใจว่าอยากจะฆ่าหล่อนทิ้งไปเสียตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกัน ตอนนั้นคุณค่าในตัวพี่ชายผมถูกประเมินเอาไว้สูง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าเผ่าสิงโตทองจะไม่มีอีกต่อไปแล้วในภายภาคหน้า
แน่นอนว่าตอนนี้ผมถอดใจเรื่องที่จะฆ่าหล่อนเดี๋ยวนั้นออกไปแล้ว สถานการณ์ ณ ขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม ผมกำลังมองเห็นว่าอีฮโยอึลในปัจจุบันนี้มีการกระทำที่คล้ายกับสิ่งที่ผมเจตนาไว้อย่างมากเลยทีเดียว แม้หล่อนดูเหมือนจะมีใจให้พี่ชายผมเป็นหนที่สองแล้ว ถึงกระนั้นเผ่าต่างๆ รวมถึงพี่ชายผมที่เติบโตมาได้โดยการส่งเสริมจากผู้พิทักษ์นั้น แน่นอนอยู่แล้วว่าพวกเขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงอิทธิพลของเหล่าผู้พิทักษ์ไปได้
‘ยุ่งยากจริงๆ เลยแฮะ’
ผมถอนหายใจ และทิ้งกระดาษแผ่นนั้นไป ผมคิดว่าเราเจอเรื่องแย่ๆ อยู่แล้ว กลับต้องมาเจอเรื่องแย่ๆ ขึ้นไปอีกเสียอย่างนั้น ในหัวผมก็วุ่นวายมากเกินพออยู่แล้ว หากยิ่งได้แก้ไขเรื่องหนึ่งออกไป อย่างไรก็จะต้องมีอีกเรื่องหนึ่งโผล่พรวดขึ้นมาให้แก้ปัญหาอีกจนได้
อย่างไรก็ตาม ผมเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าหล่อนคิดอะไรอยู่ ถึงจะมาเผ่าผม ดูเหมือนผมจะต้องเข้าไปพบและคุยอย่างละเอียดกับพี่ชายโดยตรงเสียแล้วสิ และเห็นว่าเมื่อก่อนนี้ได้ไปเจอกับเซราฟมาด้วย
ผมหมุนเก้าอี้พลางมองออกไปยังนอกหน้าต่าง ความมืดมิดเริ่มเข้ามาปกคลุมสวน เพราะฉะนั้นจึงเข้าสู่ช่วงเวลากลางคืนโดยแท้จริง ถึงมันจะมาเร็วไปสักเล็กน้อย แต่แล้วผมก็ยันกายลุกขึ้นยืน ผมคิดว่าก่อนอื่นจะต้องมุ่งมั่นจัดการในสิ่งที่จะต้องให้สำเร็จไปเสียก่อน
หากทำงานเสร็จสิ้นไปแล้วหนึ่งงาน อีกงานหนึ่งจึงจะค่อยปรากฏออกมา หากทำตามลำดับที่ว่านี้แล้วล่ะก็ ตอนนี้ก็คงถึงคราวที่ผมจะต้องจัดการอีกงานหนึ่งเสียแล้ว
มื้อเย็นนี้ผมได้รู้มาว่างานวิจัยของวิเวียนใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว หมายความว่าการปรุงน้ำยาสำเร็จไปได้ด้วยดี และถึงเวลาที่จะต้องเข้าไปทำปฏิกิริยาบางอย่างในตัวแพคซอยอนแล้ว หล่อนบอกว่าน้ำยาคงจะปรุงเสร็จได้ในช่วงเช้ามืด แต่ผมว่าคงจะไม่เลวร้ายอะไรนัก หากผมจะล่วงหน้าเข้าไปฟังคำอธิบาย และเฝ้าดูสิ่งต่างๆ ไว้เสียก่อน
ผมที่ตัดสินใจได้ดังนั้น จึงพาตัวเองออกมาจากห้องทำงาน แล้วลงจากชั้นสามไปทันที ผมเดินผ่านทางเดินในอาคารที่ตอนนี้ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิดและความหดหู่น่าเปล่าเปลี่ยว แล้วในที่สุดผมก็มาถึงหน้าประตูห้องที่อยู่สุดทางเดิน
ทั้งๆ ที่วิเวียนปิดประตูห้องไว้อย่างแน่นหนาแล้วแท้ๆ แต่ทว่ากลุ่มพืชสมุนไพรต่างส่งกลิ่นคละคลุ้ง จนลอยเข้ามาปะทะกับโพรงจมูก
ผมเปิดประตูแล้วเดินเข้าไป ด้วยเหตุนี้จึงทำให้กลิ่นเผ็ดร้อนที่ผสมปนเปกันจากพืชสมุนไพรเหล่านั้นต่างทะลุทะลวงเข้ามาในจมูก จนทำเอาแสบร้อนไปหมด
แสงสีอำพันโปรยปรายมาจากเพดานห้อง ส่องลงมายังพื้นที่อยู่ข้างใต้ พื้นห้องในตอนนี้อยู่ในสภาพวุ่นวาย ยุ่งเหยิง เละเทะไปหมด พืชสมุนไพรต่างกระจายไปทั่วทุกหนแห่ง อีกทั้งวัตถุดิบต่างๆ ที่หล่อนบอกว่าจำเป็นในคราวนี้ ต่างก็ถูกจัดวางไว้อย่างระเกะระกะอีกด้วย
ไม่รู้ว่าหล่อนใช้วงเวทในการทำซ้ำไปซ้ำมาหรือไม่ เพราะข้างใต้เตาไฟที่กำลังเดือดปุ ๆ อยู่ใน ขณะนี้ ผมมองเห็นวงกลมอะไรบางอย่างที่มีสีแดงเพลิงส่องประกาย
วิเวียนไม่ได้หันมามองด้านหลัง ทั้งที่ผมเดินเข้ามาแล้ว ดูแล้วคงกำลังอยู่ในขั้นตอนอะไรบางอย่างที่สำคัญมาก จนไม่สามารถละสายตาไปได้ ออร์โดแห่งข้อบังคับที่อยู่ในมือขวาของหล่อนนั้นกำลังส่องประกายแสงวูบวาบออกมาอย่างไม่ขาดสาย วงเวททั้งสิบที่ปรากฏอยู่บนเพดานห้องเริ่มมลายหายไปกับตา แล้วหล่อนก็ยื่นมือมาหยิบรากทราโบเซียไปสามราก โดยที่ไม่เหลียวตามองเลยแม้แต่น้อย หลังจากจึงปามันเข้าไปในเตาไฟ
ฟู่ว!
รากทราโบเซียเข้าไปละลายในเตาไฟเป็นที่เรียบร้อย ทันใดนั้นจึงเกิดเสียงดังสนั่นขึ้นมา พร้อมกับควันสีม่วงอมแดงที่เริ่มปะทุขึ้นมา วิเวียนปรายตามองเตาไฟแล้วพยักหน้า หล่อนทำท่าทางให้รู้ว่าตอนนี้ละ ใกล้จะใช้ได้เต็มทีแล้ว หลังจากนั้นหล่อนจึงเริ่มร่ายมือไปมาอย่างไม่หยุดหย่อนอีกครั้ง
จะช่วยดีไหม ประโยคนี้แล่นเข้ามาในหัว แต่ทว่าผมก็เก็บความคิดเหล่านั้นไป แล้วจึงเข้าไปจัดการเคลียร์พื้นที่ ก่อนหย่อนกายนั่งลงกับพื้น
วิเวียนเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างแรงกล้ามากถึงมากที่สุด ซึ่งนิสัยในด้านนี้ของหล่อนก็มีปรากฏอยู่ในคำพูดคำจาด้วย แต่ทว่าหากได้มาเห็นการกระทำของหล่อนจริงๆ แล้วล่ะก็จะยิ่งสามารถพิสูจน์ได้มากขึ้นไปอีก และนี่คือเหตุผลที่ผมยอมรับในตัวผู้หญิงคนนี้
จะว่าอย่างไรดีล่ะ ต้องบอกว่าจิตวิญญาณในการทำงานของหล่อนมันแสดงออกมาชัดเจนมากเลยหรือไม่นะ อย่างไรก็ตาม ภาพของวิเวียนที่กำลังตั้งอกตั้งใจ มุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองเช่นนี้ ถือเป็นภาพที่สวยงามมาก
ไหนจะเส้นผมที่ลู่ติดอยู่ข้างแก้มอันเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ เสื้อคลุมที่มีร่องรอยของพวกพืชสมุนไพรและวัตถุดิบต่างๆ ไหนจะบั้นท้ายอวบอิ่มของหล่อนที่เริ่มกระดุกกระดิกไปมา ภาพเหล่านี้มันช่าง…เอ๋?
‘ฮ่าๆ เรานี่นะ’
ผมนวดสันจมูกตัวเอง แล้วค่อยระเบิดเสียงหัวเราะเจื่อนๆ ออกมา ผมคิดว่าช่วงนี้ร่างกายคงเหนื่อยๆ มีดูผิด ดูพลาดไปบ้าง พร้อมกับมองวิเวียนด้วยใจที่เบิกบาน
เวลาล่วงเลยผ่านไปเท่าไหร่แล้วนะ ตอนนี้ช่วงเวลากลางคืนอันแสนมืดมิดได้ผ่านเลยไป เช้ามืดค่อยๆ เข้ามาแทนที่เสียแล้ว ผมเริ่มมองเห็นว่าการทำงานของวิเวียนใกล้จะเข้าขั้นเสร็จสมบูรณ์แล้ว
ของเหลวในเตาไฟที่เดือดปุดๆ ทำท่าเหมือนจะล้นเมื่อครู่นี้ กลับมีปริมาณที่ลดลงไปอย่างมากตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ วิเวียนใช้ไม้เท้ายาวกวนเตาไฟอย่างตั้งอกตั้งใจ หลังจากนั้นจึงหยิบกระบวยมาตักของเหลวจนเต็ม แล้วเริ่มนำไปใส่ขวดเปล่าที่วางอยู่ด้านข้างอย่างระมัดระวัง หล่อนทำซ้ำอยู่เช่นนั้นราวสามครั้ง หลังจากนั้นจึงชูแขนทั้งสองข้างขึ้น พร้อมตะโกนออกมาว่า
“เสร็จแล้ว!”
ผมไม่ได้พูดอะไรออกไป ได้แต่ปรบมือครั้งสองครั้งเบาๆ ให้แทน วิเวียนหันมามองผมในขณะที่แขนยังชูค้างเติ่งอยู่แบบนั้น แล้วจึงส่งรอยยิ้มอวดเก่งมาให้ ดูแล้วช่างเป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความมั่นใจเสียจริง
“เก่งมากที่รอฉันได้นะ คิมซูฮยอน”
“คงเหนื่อยแย่เลยสิ งั้นตอนนี้ก็เสร็จหมดทุกอย่างแล้วใช่ไหม”
“อื้อ เดิมทีมันเสร็จได้เร็วกว่านี้นะ แต่ว่าแผนในช่วงกลางๆ มันค่อนข้างละเอียดยิบสักหน่อยน่ะ เลยกินเวลาไปบ้าง รอเดี๋ยวเดียวนะ”
วิเวียนเริ่มเก็บขวดบรรจุน้ำยาขึ้นมาทีละขวด ทีละขวด คงอยากจะอวดผลงานตัวเองเร็วๆ เสียละมั้ง ยาน้ำสีม่วงอมแดงที่หล่อนปรุงขึ้นมาเมื่อครู่นั้นได้ออกมาทั้งหมดสี่ขวดด้วยกัน
ผมเองก็อยากจะถามว่าอันนี้จบจริงๆ แล้วใช่ไหม แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่ใช่ ผมสังเกตเห็นว่าวิเวียนถือน้ำยาที่มีสีต่างกันถึงสามสี ซึ่งไม่รวมยาน้ำสีม่วงอมแดงอยู่ในนั้น โดยแต่ละสี จะมีอยู่ทั้งหมดสี่ขวดด้วยกัน ดังนั้นทั้งหมดจึงมีสิบหกขวดพอดีนั่นเอง
มีทั้งสีน้ำเงินเข้ม, สีดำ, สีชมพู และสีม่วงอมแดง
ผมมองน้ำยาเหล่านั้นที่ถูกจัดวางอย่างเรียบร้อย ไล่ตั้งแต่ซ้ายมือมา แล้วจึงเหลือบมองวิเวียน หล่อนคงรู้สึกถึงสายตาขอร้องให้ช่วยอธิบายของผมได้ จึงกระแอมไอครั้งสองครั้ง แล้วเริ่มพูดในที่สุด
“นายรู้จักผลเน่าเสียของอิกดราซิลที่เป็นส่วนประกอบหลักในยานี้ใช่ไหม”
ผมค่อยๆ พยักหน้า หากเป็นผลดั้งเดิมของมันแล้วล่ะก็ มันจะช่วยให้จิตใจและสติของผู้ทานยาปลอดโปร่ง และช่วยในการหมุนเวียนพลังเวทได้อีกด้วย แต่ทว่าหากเป็นผลเน่าเสียนั้น มันจะให้ผลลัพธ์ตรงกันข้าม พูดง่ายๆ ก็คือ ยาพิษที่กินแล้วตายนั่นเอง