Memorize - เล่มที่ 17 ตอนที่ 15
จู่ๆ ผมก็รู้สึกกังวลกับคำพูดกะทันหันของอันฮยอนที่กำลังพูดต่อจากเมื่อกี้ เขาเลียริมฝีปากแห้งผากแล้วพูดต่อ
“พี่ไม่เคยเป็นอย่างนั้นเหรอครับ จู่ๆ ก็รู้สึกอยากเรียนขึ้นมา จู่ๆ สมองก็รู้สึกปลอดโปร่ง เป็นวันแบบนั้นละครับ”
“อ้อ เข้าใจแล้วละ”
“ครับ อย่างนั้นละครับ วันนั้นผมก็รู้สึกแบบนั้น ผมเคยไม่กลับไปที่บ้านเลยกว่าสองอาทิตย์ เวลารู้สึกเบื่อๆ แต่ในวันนั้นผมกลับรู้สึกต่างออกไปครับ”
“เพราะอย่างนั้นก็เลยกลับบ้านงั้นเหรอ”
“ครับ ผมเข้าไปในบ้านแต่…เงียบมากเลยครับ เงียบจนแปลก และทันทีที่เปิดประตูเข้าไป ผมก็เห็นน้องล้มฟุบอยู่ในห้องครับ ชุดนักเรียนของเธอถูกฉีกออกอย่างแรง หน้าตาและร่างกายยับเยินเสียจนแทบจำไม่ได้ เลือดก็ไหลออกมาไม่หยุด”
หลังจากที่ได้ฟัง ผมก็รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง อย่าบอกนะว่า…?
“อย่าบอกนะว่า อันซล…?”
“พี่ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ เพราะเรื่องแบบนั้นที่พี่กำลังคิดไม่ได้เกิดขึ้นครับ ที่เสื้อผ้าขาดนั่นเป็นเพราะเธอขัดขืน และเลือดของเขาก็ออกเยอะก็เลยเป็นแบบนั้นครับ”
เขาคงรู้สึกถึงความโกรธของผม อันฮยอนจึงอธิบายเพิ่มเติม และผมก็รีบถามเขาต่อในทันที
“ถ้าแบบนั้นแล้วเป็นยังไงต่อล่ะ”
“ผมเรียก 119 ครับ แม้ใจผมอยากจะตามไปฆ่าพ่อตัวเองก็ตาม แต่การช่วยชีวิตซลนั้นต้องมาก่อนครับ”
“แล้ว?”
“จากนั้น…ก็โชคดีครับที่สามารถช่วยชีวิตเธอเอาไว้ได้ แต่ว่าอาการผิดปกติทางจิตของเธอก็เริ่มแสดงอาการตั้งแต่ตอนนั้นครับ”
“แสดงอาการงั้นเหรอ”
อันฮยอนพยักหน้าให้กับคำถามของผมแล้วตอบกลับ
“ครับ”
จากนั้นจึงพูดต่อด้วยเสียงโรยแรง
“ไม่กี่วันต่อมา ซลที่ฟื้นคืนสติขึ้นมา แต่กลับจำผมไม่ได้เลยครับ”
“จำนายไม่ได้…ถ้าอย่างนั้น เธอสูญเสียความทรงจำไปจนหมดเลย?”
“ไม่ครับ อย่างที่ผมบอกพี่ไป ไม่ใช่การสูญเสียความทรงจำทั้งหมด แต่เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้นครับ”
อันฮยอนส่ายหัวด้วยความกังวล ผมเองก็กำลังใช้ความคิดโดยประสานมือไว้ด้วยกันเช่นกัน
ถ้ามีเรื่องที่ผมเสียดายอยู่เรื่องหนึ่ง เห็นทีก็คงจะเป็นเรื่องราวในอดีตที่ได้ฟังจากปากของอันฮยอนนี่แหละ เขาเล่าเรื่องจากมุมมองของตนเอง เพราะแบบนั้นรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องที่อันซลได้ประสบพบเจอมาดูจะตกหล่นไปมากทีเดียว เพราะเขาก็บอกเองว่าในตอนนั้นเขาแทบจะไม่ได้อยู่บ้าน ดังนั้นสิ่งที่เขาพูดจึงไม่ใช่สิ่งที่แน่นอนนัก
ผมเรียบเรียงความคิดเล็กน้อย แล้วจึงเริ่มพูดขึ้นช้าๆ
“ดังนั้นก็จะมีบางสิ่งที่เธอสามารถจำได้ และบางส่วนที่ลืมไปสินะ”
“ตามที่อาจารย์หมอบอกมา…เธอจะลืมเฉพาะความทรงจำส่วนที่ทำให้เธอเจ็บปวดครับ แม้จะมีความเป็นไปได้หลายทาง แต่ที่ดูจะเป็นไปได้มากที่สุดคือ เธอเผยสัญชาตญาณในการป้องกันตนเองจากชุดความทรงจำที่เธอไม่อยากจดจำมันอีกต่อไปน่ะครับ…”
“…”
“เมื่อได้ยินแบบนั้น สมองผมก็ว่างเปล่าไปเลยครับ เพราะที่เธอลืมผม มันก็หมายความว่าเธอเกลียดการมีตัวตนของพี่ชายเธอจากก้นบึ้งของหัวใจเลยน่ะสิครับ”
ผมพยักหน้าช้าๆ แม้ผมจะบอกว่ายังไม่ได้ฟังจากมุมมองของอันซล แต่เพียงแค่นี้สถานการณ์ก็น่าเห็นใจมากเพียงพอแล้ว
บ้านที่ต้องสูญเสียทรัพย์สินและบุคคลในครอบครัวกับความแตกแยกที่เป็นผลตามมาหลังจากนั้น แม่ฆ่าตัวตาย ความรุนแรงภายในครอบครัวที่กินระยะเวลายาวนาน การกลั่นแกล้งภายในโรงเรียน และสุดท้ายการฆ่าตัวตายของพ่อ ยิ่งไปกว่านั้น คนเป็นพ่อยังมาป่วยด้วยโรคจิตเภทรุนแรงอีก
ไม่ว่าจะอิงจากสถานการณ์หรือการสืบทอดทางพันธุกรรม อาการผิดปกติทางจิตคือโรคที่ไม่สามารถหาทางเลี่ยงได้อย่างเด็ดขาด ในโลกที่ไม่มีแม้ใครสักคนที่อยู่ข้างเดียวกันกับหล่อน ความจริงที่ว่าหากอิงจากนิสัยของหล่อนแล้ว การที่หล่อนไม่ได้คิดฆ่าตัวตายไปอีกคนช่างเป็นเรื่องที่น่าทึ่ง
ไม่สิ บางทีเธออาจจะเคยคิดก็ได้
อันฮยอนอาจจะไม่เคยรู้ หรือเขาอาจจะไม่ได้พูดออกมาทั้งหมดก็ได้
“หลังจากนั้นอันซลเป็นยังไงต่อล่ะ”
“…เธอทั้งสับสนและวิตกกังวลมากครับ เธอหลีกเลี่ยงการพบเจอผู้คนเอามากๆ ตกอยู่ในอาการโรคซึมเศร้าบ่อยๆ เอาแต่จับหัวตัวเองแล้วก็ร้องไห้ มิหนำซ้ำ อาการยังรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถเห็นได้ว่าเธอมีอาการอายุถดถอยน่ะครับ”
“ถ้างั้นนั่นคือสิ่งที่เป็นมาจนถึงตอนนี้เหรอ”
“โรงพยาบาลบอกว่า มันเป็นสิ่งที่เกิดจากความเจ็บปวดและความเครียดอย่างรุนแรงรวมกัน และยังบอกอีกว่าเราควรค่อยๆ เฝ้าสังเกตความคืบหน้ากันไป เพราะมีอยู่หลายกรณีที่ดีขึ้นได้อย่างฉับพลันแต่ว่า…ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยังไม่มีสัญญาณว่าเธอจะดีขึ้นเลยครับ”
อันฮยอนถอนหายใจออกมา ทันใดนั้นเขาก็เอนหลังเอาแขนทั้งสองยันพื้นไว้แล้วพูดขึ้น
“ผมพาเธอกลับมาบ้านบ้างในบางครั้งทั้งแบบนั้น…เพราะในตอนแรกผมเองก็ตั้งใจจะหาวิธีรักษาเธอ ตอนนี้เรารู้สึกเหมือนเหลือกันอยู่แค่สองคนจริงๆ ครับ ความกดดันที่รู้สึกได้นี่ไม่ใช่เล่นๆ เลย เพราะแบบนั้น ผมที่คิดว่าจะปกป้องซลได้ยังไง ก็เอารูปให้เธอดู พาเธอไปโรงพยาบาล และพาไปที่ที่เราเคยเล่นกันเป็นประจำเมื่อก่อนบ่อยๆ ด้วยครับ”
“ทำไมนายถึงไม่ทำแบบนั้นตั้งแต่ก่อนหน้านี้ล่ะ”
“ฮ่าๆ ความเสียดายมักตามมาทีหลังเสมอน่ะสิครับ แต่ยังไงก็ตาม นอกจากเวลาทำงานแล้ว ผมก็อยู่กับเธอแทบจะตลอดเวลาเลยนะครับ แต่อยู่มาวันหนึ่ง ผมก็คิดอะไรขึ้นมาได้ครับ”
“…?”
อันฮยอนหยุดพูดไปสักพัก เขาหันมองผมอย่างกะทันหันและพูดออกมาด้วยเสียงดังฟังชัด
“ผมคิดว่าบางทีการใช้ชีวิตต่อไปทั้งๆ ที่ลืมความทรงจำไว้ข้างหลังมันก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไรครับ”
“…อืม”
“ใช่ไหมล่ะครับ จู่ๆ ผมก็คิดขึ้นมาว่าถ้าหากเราเติมลงไปแต่สิ่งดีๆ บางทีเราอาจจะเริ่มต้นใหม่กันได้น่ะครับ”
“…อย่างนั้นนี่เอง”
โดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่นัก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้พูดมันออกไป ถ้าลองอันฮยอนได้ยึดมั่นในความคิดเดิมของตนแล้ว เขาคงจะไม่พูดเรื่องแบบนี้กับผมเป็นแน่ และเพราะผมเองไม่เคยเข้าไปอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น ผมจึงไม่มีความคิดที่จะเปิดอกพูดคุยกับเขาตามอำเภอใจ
อันฮยอนยังคงพูดต่อไป
“แต่ว่าพี่ครับ สำหรับคนที่โชคชะตากำหนดไว้ว่าไม่ได้ผลน่ะ จะทำอย่างไรมันก็ไม่ได้ผลหรอกครับ ตอนนั้นผมตั้งใจจะเริ่มต้นใหม่ แต่เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา ผมกับน้องก็เข้ามายังฮอลล์เพลนแล้วครับ พี่เข้าใจความรู้สึกของผมใช่ไหมครับ”
“…เข้าใจสิ”
“พี่เอง ถ้าวันที่พี่ปลดประจำการออกมาแล้วต้องมาเจอหมายศาล ผมหมายถึง ลองคิดดูดีๆ นะครับ มันจะมีใครบ้างที่รู้สึกว่ามันยุติธรรมน่ะครับ แต่เอาเถอะครับ เรื่องมันก็ประมาณนี้ละครับ ฮ่าๆ”
อันฮยอนตัดจบเรื่องทั้งหมดด้วยคำพูดที่ผมเองก็ไม่รู้ว่าเขากำลังร้องไห้หรือหัวเราะอยู่
ค่ำคืนมืดมิดที่มีเพียงแสงจันทร์นวลส่องสว่าง บรรยากาศรอบตัวเงียบสงบ ผมและอันฮยอนต่างปิดปากเงียบไม่พูดอะไรออกมาราวกับนัดกันเอาไว้
ความเงียบเข้าปกคลุมอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายผมก็ตัดสินใจเป็นคนเริ่มพูดขึ้นก่อน
“ฮยอน ฉันอยู่ในฐานะผู้ฟังมาตลอด จึงเดาไม่ได้ว่าที่ผ่านมานายจะต้องมีชีวิตที่ทุกข์ทนเจ็บปวดขนาดไหน เพราะฉันเองไม่เคยไปอยู่ในจุดเดียวกันกับนาย”
“…ครับ”
“เพราะแบบนั้น นั่นอาจจะเป็นสาเหตุที่ฉันไม่คิดจะพูดว่า ‘ถ้าหากนายบอกฉันเร็วกว่านี้สักหน่อย’ ออกไป ฉันหมายถึง ฉันคงจะสามารถหาทางช่วยพวกนายได้เร็วกว่านี้”
“เรื่องนั้น…”
อันฮยอนมีท่าทีลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม สุดท้ายเขาก็ตอบออกมาด้วยเสียงเล็กๆ ราวกับว่าน้ำเสียงแบบนี้กลายเป็นเพื่อนเขาไปแล้ว
“เพราะผมกลัวว่าจะถูกทิ้งน่ะครับ”
“หืม?”
เมื่อผมเลิกคิ้วขึ้นเพื่อถามว่าที่เขาพูดนั้นหมายความว่าอย่างไร อันฮยอนก็พูดต่ออีกครั้งด้วยเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิม
“จริงๆ แล้วมันก็เป็นแบบนั้นนี่ครับ แม้แต่ในยุคนี้ หากเราบอกใครว่าเป็นโรคทางจิต มันก็เป็นความจริงที่ทุกคนจะมองเราด้วยอคตินี่ครับ และเมื่อตอนที่ผมเข้าพิธีเปลี่ยนสภาวะครั้งแรก มันก็เป็นแบบนั้น พี่จำได้ไหมครับ”
“อ้า ตอนนั้น…”
แน่นอน มันเป็นอย่างที่เขาพูด ผมพูดอะไรไม่ออก ในวันนั้นอันซลแสดงอาการวิตกกังวลออกมามากจนไม่สามารถเทียบได้กับตอนนี้ มากจนพัคดงกอลและชินอูต้องขอให้พาหล่อนออกไปโดยเร็วที่สุด บางทีอันฮยอนอาจจะได้ยินมัน
เดี๋ยวก่อนนะ นี่หมายความว่า อาการของเธอดีขึ้นแล้วเหรอ
ในเวลาเดียวกันนั้น ก็มีคำถามมากมายในใจผม แต่ไม่ว่าผมจะคิดสักเท่าไรก็คงไม่สามารถหาคำตอบได้ในตอนนี้ นี่มันเป็นปัญหาที่ต้องการเวลาและตัดสินใจหาทางแก้ไข
ผมจัดการเรียบเรียงความคิดตัวเองอยู่สักครู่หนึ่งแล้วจึงลุกขึ้นช้าๆ เดินไปหาอันฮยอนที่ยังนั่งอยู่ ผมแตะไหล่เขาแล้วพูดขึ้น
“เอาเถอะ ฉันเข้าใจแล้ว ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้นายต้องมาพูดถึงเรื่องราวที่เจ็บปวดแบบนี้”
“พี่…”
“แล้วก็ขอบคุณที่เชื่อใจและยอมเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง”
“ไม่หรอกครับ ผมเองก็รู้สึกโล่งที่ได้พูดออกมาบ้างเหมือนกันครับ ก็อย่างที่พี่บอกนั่นแหละครับ ผมควรจะบอกพี่ให้เร็วกว่านี้ เพราะก็ไม่ใช่ใครอื่น พี่เป็นพี่ผม…”
อันฮยอนตอบผมพร้อมเผยรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า หลังจากที่เห็นเขาเป็นแบบนั้น ผมก็รีบยื่นมือออกไปในทันที อันฮยอนมองมือของผมอย่างเหม่อลอย ก่อนจะยื่นมือมาจับพร้อมรอยยิ้มฝืนๆ
และเมื่อผมกำลังออกแรงเพื่อดึงเขาขึ้น ผมก็ได้ยินเสียงอียูจองแว่วมาแต่ไกล
“พี่คะ! อันฮยอน! ทั้งสองคนอยู่ไหนกัน ไปทำอะไรอยู่ที่ไหนกันนะ!”
ผมกับอันฮยอนหันหน้าไปมองเธอพร้อมกัน และเราก็ได้สบตากันอีกครั้ง ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะดึงอันฮยอนขึ้นมาแล้วพูดต่อ
“…บรรยากาศกร่อยลงเยอะเลยนะ เราไปกันเลยดีไหม”
“ก็ได้ครับพี่ เรายังมีปาร์ตี้กันอยู่นี่ครับ”
อันฮยอนลุกขึ้นปัดมือแล้วยืดตัวบิดขี้เกียจเสียเต็มแรง จากนั้นเขาก็ก้มหัวอย่างสุภาพและพูดกับผม
“พี่ ต่อไปผมขอฝากซลไว้ด้วยนะครับ ผมจะคอยช่วยอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะป็นอะไรก็ตาม พี่สั่งผมมาได้เลยครับ”
“ได้ แน่นอน ถึงฉันจะไม่รู้ว่าจะทำได้ไหม…แต่ฉันให้สัญญาได้ข้อหนึ่ง”
เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมได้เคยพูดไปก่อนแล้ว ผมจึงตอบเขาได้อย่างเต็มปาก
“ฉันจะทำให้ดีที่สุดเท่าที่ความสามารถของฉันจะทำได้”
เมื่อผมพูดจบ เราก็เดินมาถึงสถานที่ที่เหล่าสมาชิกกำลังรวมตัวกันอยู่พอดี
ในครั้งนี้ผมเป็นฝ่ายจับแขนอันฮยอนไว้