Memorize - เล่มที่ 17 ตอนที่ 16
งานชุมนุมเพื่อความสามัคคีที่จองฮายอนเสนอให้จัดขึ้นมาจบลงอย่างยิ่งใหญ่ โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าการรวมตัวในครั้งนี้จัดว่าดีมากทีเดียว เพราะผมรู้สึกว่าไม่กี่วันจากนี้หลังจากที่งานเลี้ยงจบลงแล้ว บรรยากาศภายในเผ่าจะต่างไปจากเดิมอย่างแน่นอน
แม้ไม่นานมานี้จะมีสมาชิกเผ่าที่ไม่ค่อยได้สุงสิงกันบ้าง แต่โอกาสนี้ทำให้เราสามารถดึงสมาชิกที่เคยรู้สึกเฉยเมยเหล่านั้นให้เข้ามาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ และแน่นอน สงครามเย็นเรื้อรังระหว่างคิมฮันบยอลและคนอื่นๆ ก็ยังคงไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลายลงแม้แต่น้อย
หลังงานชุมนุมสามัคคีนั่นจบลง ผมเรียกอันซลมาพบหลังจากใช้เวลาคิดทบทวนอะไรอยู่หลายวัน
และในตอนนี้ อันซลก็มาอยู่ตรงหน้าผมแล้ว ดูเหมือนหล่อนจะรอคอยให้ผมเรียกตั้งแต่ที่โดนโกรธเมื่อตอนนั้น เพราะพอผมเรียกให้หล่อนมาที่ที่นั่ง หล่อนก็รีบวิ่งมาในทันที
ผมมองไปยังอันซลที่ก้มหน้าเล่นมือตัวเองอยู่ แล้วจึงจมอยู่กับความคิดของผมเองบ้าง
ถ้าจะให้พูดตามตรง ผมเองก็ไม่มั่นใจนัก อาวุธที่ดีที่สุดที่ผมพอจะมีในตอนนี้ คือการล่วงรู้อนาคตและพละกำลัง
ถ้ามันเพียงแค่ใช้กำลังอย่างเดียวล่ะก็ ผมคงไม่ต้องมานั่งกังวลอยู่แบบนี้ ไม่ใช่แค่เพราะผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตใจมาตั้งแต่แรก แต่ยังเป็นเพราะผมไม่สามารถคาดหวังกับโพชั่นได้อย่างแพคซอยอนด้วย ในเรื่องของจิตใจนั้น การทำให้มันแหลกสลายน่ะง่ายนิดเดียว แต่การจะให้ฟื้นคืนสภาพเดิมนี่สิงานหิน
แต่ถึงอย่างนั้นจะมัวเอาแต่นั่งเล่นนิ้วตัวเองอยู่อย่างนี้ไม่ได้สิ…
ถึงแม้จะยังหาทางออกไม่ได้ในตอนนี้ แต่ผมจะพยายามจนกว่าจะหาวิธีแก้ไขได้ นั่นเป็นความคิดเดียวที่ผมมีในตอนนี้ ก็ในเมื่อมันยังมีคำพูดนี้ ‘ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น’ อยู่นี่
ผมหยุดความคิดของตนไว้เพียงเท่านี้ และตัดสินใจพูดกับอันซล
“ซล”
“ค…คะ?”
หล่อนเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจเพราะผมเรียก ก่อนจะตอบออกมา
“พี่ลองมาคิดดูสักพักแล้ว…แต่ไม่ว่ายังไงพี่ว่า ซลเป็นสมาชิกที่ดูไม่เหมาะกับเมอร์เซนต์นารี่มากที่สุด”
“…!”
และเมื่อผมพูดต่อก็ปรากฏเครื่องหมายตกใจขึ้นเหนือศีรษะของอันซล ผมสามารถคาดเดาได้เลยว่าหล่อนรับฟังผมมากแค่ไหนจากดวงตาที่เบิกกว้างขึ้นของหล่อน
“ทะ…ท่านพี่”
“ดูสิ เอาอีกแล้ว พี่พูดยังไม่ทันจบ เธอจะคร่ำครวญขึ้นมาก่อนทำไม”
“ขะ…ขอโทษค่ะ”
“แน่นอน ต้องขอโทษอยู่แล้ว ถ้าหากว่าเป็นยูจองล่ะก็ เธอคงถามถึงปัญหาของตัวเองมากกว่าจะมาร้องไห้คร่ำครวญและก็คงพูดว่าเธอจะแก้ไขมัน เธอเองก็รู้ใช่ไหมว่ายูจองมักจะโดนพี่ว่าอยู่เรื่อยกระทั่งตอนนี้ก็ตาม”
อันซลกลืนก้อนสะอื้นลงคอแล้วพยักหน้าอย่างยากลำบาก ผมมองดูท่าทีแบบนั้นของหล่อนแล้วจึงพูดต่อ
“แน่นอน พี่ยอมรับว่าเธอมีความสามารถไม่เหมือนคนอื่นทั่วไป แต่ก็นั่นล่ะนะ ความสามารถนั้นจะมีค่าขึ้นมาได้ก็ต่อเมื่อเธอรู้จักใช้และสามารถรักษามันไว้ได้ ถ้าทำไม่ได้ มันก็เป็นเพียงความสามารถที่ดีแต่ไม่ถูกนำมาใช้ ก็แค่นี้ พี่พูดผิดตรงไหนไหมล่ะ”
ขวับ ขวับ
อันซลเม้มปากแน่นแล้วส่ายหัว แม้ผมจะยังติดใจที่หล่อนเอาแต่ส่งสายตาน่าสงสารมาให้ แต่ก็ดูเหมือนว่าหล่อนได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว
เห็นดังนั้น ผมจึงพูดตัดบทขึ้น
“ตอนนี้ในบรรดาสมาชิกทั้งหมด การพัฒนาของเธอถือว่าช้าและล้าหลังที่สุด พี่ไม่ได้พูดถึงความสามารถหรอกนะ แต่กำลังพูดถึงภาพรวมเกี่ยวกับฮอลล์เพลนแห่งนี้ เธอเข้าใจที่พี่พูดใช่ไหม”
“คะ…ค่ะ ขอโทษค่ะ ขอโทษจริงๆ ฉันผิดไปแล้ว จะไม่ทำแบบนั้นอีก ยกโทษให้ฉันด้วยนะคะ”
นับเป็นครั้งแรกที่ผมทำให้อันซลต้องเข้าตาจนแบบนี้ ใบหน้าของหล่อนดูตกใจไม่น้อยราวกับว่าหล่อนยังไม่สามารถปรับตัวกับภาพลักษณ์แบบนี้ของผมได้ คงเพราะหล่อนถูกตามใจจนเคยชินมาจนถึงตอนนี้
ผมเริ่มพูดต่อด้วยเสียงอ่อนลง หลังจากที่เห็นอันซลเอาแต่ทำสีหน้าว่างเปล่า
“เธอรู้ใช่ไหมว่าตำแหน่งผู้ติดตามกำลังว่างอยู่ตอนนี้”
ในการประชุมเมื่อไม่นานมานี้ ผมได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบอย่างเป็นทางการถึงการปลดอียูจองออกจากการเป็นผู้ติดตาม ที่ผมตัดหล่อนออกไม่ใช่เพราะหล่อนบกพร่องในหน้าที่ ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะ ‘ที่คาดผมอันบริสุทธิ์’ หรือเปล่า แต่ท่าทีของอียูจองดูมั่นคงเสียจนน่าเคารพ
นอกจากนั้น เรายังได้พูดคุยกันอย่างเพียงพอแล้วในช่วงก่อนการประชุม และได้เพิ่มสถานการณ์บางประการเข้าไปเพื่อนำไปสู่การเห็นชอบของอียูจองได้อีกด้วย แม้ว่าเจ้าตัวจะดูไม่พอใจมากก็ตาม
หลังจากที่ผมเห็นว่าอันซลพยักหน้าแล้ว ผมจึงได้พูดต่อ
“ฉันคิดว่าจะแต่งตั้งให้เธออยู่ในตำแหน่งนี้”
“ฉะ ฉันเหรอคะ ผู้ติดตามน่ะเหรอคะ”
“ใช่ แต่อย่าเข้าใจผิดล่ะ เธอต้องรู้จักและเรียนรู้เกี่ยวกับฮอลล์เพลนให้มากกว่านี้ เธอไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ มันจะดีกว่าหากเธอไปเตรียมตัวให้พร้อมแล้วค่อยกลับมา
“ถะ…ถ้าอย่างนั้น…”
สีหน้าของอันซลที่ดูเหมือนน้ำตาจะหยดแหมะลงมาได้ทุกเมื่อค่อยๆ เปลี่ยนไปทีละนิด หล่อนสั่นหัวอยู่หลายครั้งและกะพริบตาอีกสามสี่ที
“พี่จะไม่ทิ้งฉันใช่ไหมคะ จะไม่ขับไล่ไสส่งฉันไปไหนใช่ไหม”
เมื่อผมได้ยินอันซลถามคำนั้นอย่างระมัดระวังนั้น
ตึ่ก ตึ่ก ตึ่ก! ผลั่ก!
“แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่!”
ใครคนหนึ่งเปิดประตูห้องทำงานอย่างแรงพร้อมกับผมยาวสยายที่ปลิวไหวอยู่ด้านหลัง แม้จะรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้างที่ถูกขัดจังหวะระหว่างกำลังพูดเรื่องสำคัญ แต่ผมก็อดสงสัยไม่ได้เมื่อเห็นผู้เล่นที่เข้ามาในห้อง
ในเมื่อผู้เล่นที่เปิดประตูห้องทำงานเข้ามากลับเป็นอิมฮานาไม่ใช่ใครอื่น
และเพราะผมรู้จักอุปนิสัยเรียบร้อยและกิริยามารยาทที่งดงามของอิมฮานาเป็นอย่างดี จึงนับว่าแปลกที่หล่อนพรวดพราดเข้ามาเช่นนี้ แต่ก่อนที่ผมจะทันได้พูดอะไรออกไป หล่อนก็เป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน
“ข่าวด่วนน่ะค่ะ เพิ่งได้ยินมาเมื่อสักครู่ตอนออกไปย่านที่คนอยู่กันเยอะค่ะ”
“ผู้เล่นอิมฮานา ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ ไปได้ยินข่าวอะไรมาล่ะครับ”
อิมฮานาทำตามที่ผมพูด หล่อนวางมือข้างหนึ่งไว้บนอกแล้วปรับลมหายใจให้คงที่ ผ่านไปเช่นนั้นประมาณห้าวินาที หล่อนค่อยๆ พูดขึ้นอย่างช้าๆ
“ฮาโลค่ะ การล่มสลายของฮาโลได้รับการยืนยันแล้วค่ะ”
“อืม…ผมได้ยินมาว่าขาดการติดต่อนะ…แต่อย่างไรก็ตาม…ครับ”
ผมตอบกลับไปอย่างสงบนิ่งเพราะเป็นเรื่องที่ผมได้คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว
แต่ดูเหมือนอิมฮานาจะยังพูดไม่จบ
“ฉันยังได้ยินมาอีกว่าพวกเขาขอกำลังหนุนจากเผ่าสิงโตทอง และไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองข่าวนะคะ ยังมีข่าวลืออีกว่าบรรดาผู้เล่นจากทวีปฝั่งตะวันตกได้เริ่มยกทัพเข้าไปยังบาบาร่า…”
ทันทีที่อิมฮานาพูดต่อ ผมก็ทุบโต๊ะกลับไปหนึ่งครั้ง
อิมฮานาไม่ได้โกหก ยังมีเหล่าผู้เล่นที่หลบหนีออกมาจากฮาโลได้อย่างหวุดหวิดเช่นเดียวกับพวกเรา พวกเขาใช้ลูกแก้วคริสตัลที่เชื่อมต่อใหม่อีกครั้งเพื่อส่งสัญญาณร้องขอความช่วยเหลือ หลังจากที่หนีออกมาห่างจากเมืองได้สักระยะหนึ่งแล้ว
แม้ว่าเหล่าผู้เล่นที่ประสบความสำเร็จในการหลบหนีจะไม่ได้เห็นจุดจบของฮาโล แต่เมื่อรวมกับข่าวที่แพร่สะพัดไปแล้วนั้น การจะมองว่าฮาโลล่มสลายไปแล้วก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร เพราะสุดท้ายแล้ว ผู้เล่นที่เหลืออยู่ในฮาโลก็มีเพียงไม่กี่พันคนเท่านั้นเอง
และอีกหนึ่งในข่าวลือ ที่ว่าหลังจากการล่มสลายของฮาโล เหล่าผู้รุกรานก็จะยกทัพบุกเข้าบาบาร่าต่อนั้นก็ยังคงเป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงเช่นกัน เพราะแม้แต่ในรอบแรก หลังจากที่เข้ายึดเมืองทางฝั่งตะวันตกได้ทั้งหมดแล้ว พวกเขาก็เข้ารุกรานบาบาร่าด้วยความรวดเร็วทันทีนั่นเอง
สถานการณ์กำลังเริ่มวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง
ถึงแม้ว่าจะหมดกำลังมากมายไปในการเดินทางบนเทือกเขาเหล็กกล้า แต่เผ่า SSUN ก็เคยเป็นผู้นำชั่วคราวให้กับทวีปทางเหนือต่อจากสิงโตทองอยู่ครั้งหนึ่ง ดังนั้นความจริงที่ว่าฮาโล ซึ่งเป็นเมืองที่พวกเขาดูแลนั้นล่มสลายลงอย่างง่ายดาย ทำให้ผู้เล่นทั่วไปที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุกังวล
ผมหลับตาลงช้าๆ ขณะนั่งอยู่บนเก้าอี้
แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเมืองทางตะวันตกหรือบาบาร่าก็ล้วนแต่เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือความสนใจของผมทั้งสิ้น สิ่งเดียวที่ผมสนใจในตอนนี้ คือในอนาคตข้างหน้ามันจะเปลี่ยนไปอย่างไรต่างหาก แม้จะบอกว่าเกิดมาจากสาเหตุคล้ายๆ กัน แต่ก็ยังเห็นได้ว่าสถานการณ์ในรอบที่สองมีความแตกต่างจากรอบแรกอยู่ประมาณหนึ่ง
และตรงกลางของเรื่องนี้ก็มีผมอยู่
เปลี่ยนไปแล้ว หรือยังไม่เปลี่ยน
ตั้งแต่นี้ไป ไม่มีใครรู้อีกแล้วว่าวันข้างหน้าจะเป็นเช่นไร
ทั้งการไว้ชีวิตอีฮโยอึล และการค้นหาสายลับที่ซ่อนอยู่ในทวีปทางเหนือ ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่สวนทางกับเมื่อครั้งแรกโดยสิ้นเชิง
สิ่งหนึ่งที่แน่นอนในตอนนี้ก็คือ ต่อไปในวันข้างหน้า เราจะไม่สามารถเชื่อความทรงจำในครั้งแรกได้ร้อยเปอร์เซ็นต์อีกต่อไป
ดังนั้นคำตอบจึงมีเพียงอย่างเดียว
ตั้งแต่นี้ไปเราต้องหยุดความทรงจำเก่าๆ เอาไว้และรับมือโดยปรับให้เข้ากับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดให้ได้มากที่สุด ดังเช่นที่เคยเข้าโจมตีมิวล์ก่อน นั่นก็หมายความว่า…
เราต้องเคลื่อนไหวอย่างกระตือรือร้นมากกว่านี้
สุดท้ายแล้วก็คือกำลัง กำลังเป็นสิ่งสำคัญ ผมไม่มีความคิดจะนั่งรอเงียบๆ เลยสักนิด สำหรับผมแล้ว ผมมองว่าสงครามครั้งนี้คือโอกาสอย่างหนึ่ง
หลังจากที่ผมจับพวกเร่ร่อนมาเป็นเชลย ชื่อของผมและเมอร์เซนต์นารี่ก็ยิ่งเลื่องลือไปไกล จริงอยู่ที่โอกาสที่จะตกเป็นเป้าหมายก็มีมากขึ้นตามไปด้วย แต่การได้ถือครองตำแหน่งที่เป็นจุดสนใจตามที่วางแผนไว้ตั้งแต่ต้นก็ถือเป็นความสำเร็จที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้แล้ว ดังนั้นผมจึงต้องรวบรวมกำลังที่ยังเหลืออยู่นี้เพื่อที่จะเอาชนะเรื่องอะไรก็ตามที่จะเข้ามาหลังจากนี้ได้อย่างง่ายดาย
หลังจากจัดการความคิดตนเองเรียบร้อยแล้ว ผมก็ลืมตาที่หลับอยู่ขึ้นมาแล้วมองไปรอบห้อง เพราะเป็นตอนกลางวัน แสงอาทิตย์ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาจากด้านหลังผม
ผมลุกขึ้นอย่างมั่นคง และเดินผ่าแสงอาทิตย์ที่สาดส่องทั่วทั้งห้องไปเปิดประตูที่ถูกปิดอยู่อย่างแน่นหนา