Memorize - เล่มที่ 17 ตอนที่ 2
ภาพมากมายที่วิเวียนให้หล่อนเห็นจะได้ผลเท่านี้ไหมนะ ผมรู้สึกซาบซึ้งอยู่ในใจพร้อมๆ กับส่งสายตาเป็นสัญญาณให้พวกเร่ร่อน หนึ่งในนั้นบังคับให้หล่อนต้องเปิดตาขึ้นมา หล่อนกับผมจึงได้สบตากัน หลังจากนั้น ในดวงตาของแพคซอยอนที่ผมมองเห็นกำลังสั่นไหวอย่างไร้ความเป็นมิตร
ผมมองดวงตาคู่นั้นเงียบๆ แล้วจึงหันหลังกลับ
“ยะ อย่าไป! ช่วยฉันด้วย ฮยอน! ฮยอน! ฮยอนนน!”
เสียงร้องไห้คร่ำครวญก้องสะท้อนไปทั้งคุกใต้ดินที่เคยเงียบงัน เป็นเสียงร้องตะโกนราวกับออกมาจากจุดที่ลึกที่สุดของลำคอ แต่ยิ่งผมเดินขึ้นบันไดไป เสียงที่เคยแหบแห้งกลับยิ่งชุ่มชื้นขึ้นช้าๆ
ก่อนจะขึ้นถึงบันไดขั้นสุดท้าย ผมส่งสัญญาณไปให้โกยอนจูและแอบมองลงไปยังเบื้องล่าง
ความสิ้นหวังเข้ามาแทนที่ใบหน้าที่เคยระบายไปด้วยความหวังเล็กๆ ก่อนหน้านี้โดยไม่รู้ตัว นัยน์ตาหล่อนขุ่นมัวราวคนตาย สิ่งนั้นได้ทำลายความหวังที่ผมได้เคยสร้างไว้ลงอย่างสมบูรณ์
คงต้องเรียกอีฮโยอึลแล้วสินะ
ผมมองดูดวงตาที่ขุ่นมัวแล้วละสายตากลับมาเดินขึ้นบันไดอีกครั้ง อีฮโยอึลที่ว่า ก็คือคนที่เรียกเกณฑ์พลนั่นเอง ยังมีประเด็นที่จำเป็นจะต้องยืนยันกันก่อนที่จะถึงวันนั้นอยู่บ้าง
ผมถอนหายใจยาวขณะที่กำลังจัดการกับความคิดในหัว เป็นเพียงแค่การถอนหายใจที่ไร้เหตุผล
“สาร! มีสารมา! ทุกคนหลีกไป! ในสารแจ้งว่า ในที่สุดทวีปทางตะวันตกพร้อมด้วยพวกเร่ร่อนก็เริ่มรุกรานเฮลโลแล้วครับ!”
เพราะมีธุระ ผมจึงแวะที่แท่นบูชา มีผู้เล่นมากมายที่นี่ และดูเหมือนว่าพวกเขากำลังจะกลับกันแล้ว ระหว่างที่ผู้คนกำลังเดินผ่านกลางลาน ก็ได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนเสียงดังลั่น
เขาคนนั้นรีบร้อนเดินฝ่าเหล่าผู้เล่นด้วยความรวดเร็วและแขวนบันทึกใหญ่โตไว้บนกระดานประกาศข่าวในลาน แล้วก็ได้วางกองบันทึกลงจนมีเสียงดังตุ้บ จากนั้นก็เริ่มวิ่งไปอีกครั้งด้วยความรวดเร็ว
หลังจากพวกคนส่งข่าวที่ไวปานพายุก้าวผ่านไป ลานก็เต็มไปด้วยความอึกทึกวุ่นวาย แต่ก็ไม่ได้สับสนอลหม่านมากไปนัก แต่เพราะข่าวที่ว่าเป็นข่าวที่ทุกคนดูจะรู้กันอยู่ก่อนแล้ว ถึงอย่างนั้น สถานการณ์ในตอนนี้ก็คือเหล่าผู้เล่นยังคงมารวมตัวกันที่หน้าป้ายประกาศอย่างรวดเร็วด้วยความอยากรู้อยากเห็น
แต่เพราะผมไม่ได้มีใจจะอ่านบันทึกบนกระดาน หลังจากที่เบียดเสียดไปหยิบบันทึกที่กองสุมไว้มาได้ใบหนึ่งแล้ว ผมก็แยกตัวออกมาจากลาน
แม้จะไม่รู้ว่าใครเป็นคนเขียน แต่สถานการณ์ของสงครามในตอนนี้ก็ดูจะดุเดือดกว่าที่คิด ประการแรกเลย ที่บอกไว้ว่าจะบุกเฮลโลนั้น เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ทั้งหมดนั้นก็คือ ตอนนี้การรุกรานของพวกมันใกล้เข้ามาแล้ว ถึงจะล่าช้า แต่ภายในสองวันมันก็ไม่ต่างกับคำว่าอยู่ในระยะกระสุนเลย
หากจะดูรายละเอียดมากกว่านี้ ก็ยังมีอีกหลายจุด
ทั้งจำนวนของพวกมันที่มากกว่าหนึ่งหมื่นเล็กน้อย ซึ่งเมื่อครั้งที่บุกเข้าเบธและโดโรธีนั้น กำลังทหารที่ได้ถูกแบ่งไว้ กลับมารวมตัวกันแล้วบุกตะลุยเข้ามา ส่วนเมืองทางตอนเหนือทำท่าที่เฉยเมยให้กับการจัดกองหนุนเพื่อเป็นข้ออ้างในการยึดเมืองมิลล์ เผ่าสิงโตทองที่โน้มน้าวให้ทิ้งเฮลโลให้กับ SSUN เสีย แล้วเปิดรับทหารอาสา แม้ว่าจ้องจะยึดเมืองคืนหลังจากฟื้นฟูแล้วแต่ก็ดูไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นต้น
ไม่ว่าจะมองอย่างไร แม้จะซ้ำซาก แต่ก็สามารถสังเกตด้านที่พยายามจะเขียนให้ตรงความเป็นจริงที่สุดได้
[ปล่อยเฮลโลไปซะ แล้วค่อยยึดคืนหลังฟื้นฟูแล้ว]
เมื่อดูที่ล่างสุดของบันทึก จะเห็นว่าจำนวนเหล่าผู้เล่นที่เคยอาศัยอยู่ที่เฮลโลแล้วโยกย้ายไปเมืองอื่น กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แม้จะบอกว่าซองฮยอนมินประสบปัญหาในการจัดทหารกองหนุน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ดูจะเป็นจริง ที่จริง เราสูญเสียเหล่าผู้เล่นเพราะการเดินทางในเทือกเขาเหล็กกล้าไปเสียจนหมดสิ้น แม้ว่าจะโดนบังคับให้จัด แต่มาตรฐานก็เป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดเจนแม้จะไม่ต้องมองก็ตาม
ผมทิ้งบันทึกที่ถืออยู่ลงบนพื้น แล้วเร่งฝีเท้าไปที่แคลนเฮาส์ เรื่องผู้ช่วยของแพคซอยอนก็จบลงไปได้สองวันแล้ว คำสั่งเรียกรวมตัวกำลังใกล้เข้ามา อีฮโยอึลเองก็ตั้งใจจะมาที่เมอร์เซนต์นารี่อยู่แล้ว ดังนั้นบางทีตอนนี้หล่อนอาจจะมาถึงแล้วก็เป็นได้
ทันทีที่มาถึงแคลนเฮาส์ ผมก็ได้รู้จากลูกจ้างที่เฝ้าหน้าเคาน์เตอร์ว่า อีฮโยอึลได้มาเยือนเรียบร้อยแล้ว ว่าไปแล้วก็ดูจะเป็นการมาที่ตรงตามเวลาที่ได้วางไว้
ผมไม่รีรอและเดินขึ้นไปยังห้องทำงานชั้นสี่ของโกยอนจูตามคำแนะนำของลูกจ้าง ทันทีที่ผมค่อยๆ เปิดประตูห้องทำงานเข้าไป ผมก็มองเห็นหล่อนกำลังนั่งอยู่ที่โซฟาและมองไปยังอะไรบางอย่างอย่างตั้งใจ ผมรีบเดินไปที่โต๊ะนั้นอย่างรวดเร็ว มีเสียงที่คุ้นเคยแว่วออกมาจากลูกแก้วให้ได้ยิน
‘ที่ฉันกลายเป็นพวกเร่ร่อน…อาจจะเป็นตอนที่เลยปีแรกมาหน่อย…’
‘จำนวนของพวกเร่ร่อนกับทวีปทางตะวันตกที่เข้ารุกรานทวีปทางเหนือครั้งนี้มีประมาณ…’
‘ผู้บัญชาการสูงสุดของทวีปทางตะวันตกคือผู้เล่นที่ชื่อไซม่อน ถึงจะไม่เคยเจอหน้ากับเขาโดยตรง…’
‘ถ้าลองฟังคำของคนนี้ที่เราเคยเจอ ก็จะรู้สึกว่าเขาต้องไม่ใช่มนุษย์แน่…’
เพราะรู้สึกถึงการมาของผม อีฮโยอึลที่มองดูภาพในลูกแก้วอย่างตั้งใ จึงได้หันหน้ามาแล้วพูดขึ้น
“หืม? มาแล้วเหรอ อ้า ฉันจะบอกอะไรให้นะ นี่น่ะ ไม่ใช่สิ่งที่ฉันจะทำได้ตามใจหรอกนะ”
“รู้แล้ว ฉันไปทำธุระมา โกยอนจูบอกฉันมาก่อนแล้ว”
“หืม อย่างนั้นสินะ ว่าแต่ นายไปไหนมาล่ะ”
“แท่นบูชา พอดีฉันมีธุระกับเหล่าทูตสวรรค์”
หลังจากที่ผมร่ายเวทไปยังหินเรียกตัวที่มีชื่อของโกยอนจูติดอยู่ ผมก็ได้สบสายตากับอีฮโยอึลและนั่งลงบนโซฟา เมื่อหล่อนได้ยินว่าผมแวะไปที่แท่นบูชามา ก็ส่งสายตาชอบกลมาให้
“งั้นเหรอ แล้วทูตสวรรค์ที่ดูแลนายว่ายังไงบ้างล่ะ”
“ไม่ได้เจอหรอก เพราะคนเยอะน่ะ”
“อย่างนั้นสินะ ถ้าอย่างนั้น…คราวก่อนโน้น นายได้รับคำสั่งมาแล้วใช่ไหม นายคิดว่ายังไงล่ะ สำหรับฉันน่ะ มีประโยชน์มากนะ”
“เรื่องนั้น ไว้ค่อยคุยกับพี่ที่หลังเถอะ เพราะตอนนี้ยังมีสิ่งที่สำคัญอยู่ เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่านะ เธอเห็นลูกแก้วแล้วใช่ไหม”
ผมหลีกเลี่ยงที่จะตอบอย่างอ้อมๆ เพราะเป็นสถานการณ์ที่ยังไม่สามารถจะตัดสินใจได้ในตอนนี้ อีฮโยอึลทำปากขมุบขมิบบอกว่า “ถ้างั้นก็น่าจะเรียกให้มาตั้งแต่แรก” แล้วจึงตอบคำถามผม
“เห็นแล้วนิดหน่อย แต่ฉันไม่คิดว่าเราจะได้ข้อมูลจากวิธีการแบบนี้หรอกนะ”
“เพราะวิธีนี้เป็นวิธีที่แน่นอนที่สุดแล้วยังไงล่ะ ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องโกหก แล้วยังสามารถทำให้ทุกคนเข้าใจได้ด้วยนี่”
“ก็เป็นแบบนั้นจริงๆ นั่นแหละ”
อีฮโยอึลพยักหน้าขึ้นลงราวกับจะบอกว่าเห็นด้วย
ตอนนี้ลูกแก้วที่วางไว้บนโต๊ะกำลังฉายภาพการสนทนาของผมกับแพคซอยอนเมื่อวานนี้
เมื่อสองวันก่อน ในที่สุดเราก็ทำให้หล่อนยอมแพ้จนได้ แม้วิเวียนจะยืนกรานว่านี่คือการล้มเหลว แต่จากความคิดของผมนั้น มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับความสำเร็จ แม้จะไม่ได้ทำให้แพคซอยอนเสียสติ แต่การที่ดวงตาแห่งการล่อลวงทำให้พลังจิตเสื่อมถอยลงได้ก็เท่ากับว่าสำเร็จแล้วนั่นแหละ
“…”
“…”
ผมและอีฮโยอึลต่างเงียบกันอยู่สักพัก เมื่อผมแอบลอบมองหล่อนก็ได้เห็นว่าแก้มของหล่อนกำลังกลายเป็นสีแดง ถึงภายนอกจะดูสงบนิ่ง แต่ในใจตอนนี้คงกำลังสั่นไหวไม่ใช่น้อย
ไม่จำเป็นต้องพูดยาว เพราะเราต่างได้ยืนยันความคิดของกันและกันผ่านการพูดคุยเมื่อคราวก่อนไปแล้ว แน่นอน การเห็นผ่านลูกแก้วนั้นแม้จะเพียงพอแล้ว แต่สิบปากว่าก็ไม่เท่าตาเห็น การได้ฟังจากปากของแพคซอยอนย่อมดีกว่าอยู่แล้ว
ผ่านไปประมาณห้านาทีเห็นจะได้ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ห้องถูกเปิดออกพร้อมกับที่โกยอนจูพาแพคซอยอนเข้ามา ตาของแพคซอยอนที่เดินเข้ามาในห้องซึ่งต้องมนตร์ดวงตาแห่งการล่อลวงอยู่นั้นวาววับไปด้วยสีเทาอ่อน
ฮวบ!
พลังของหล่อนอ่อนลงอย่างมากเพราะดวงตาแห่งการล่อลวง แพคซอยอนล้มลงกับพื้นทันทีที่เข้ามาในห้องเรียบร้อยแล้ว
“เฮ้อ อย่างน้อยก็ยังโชคดีล่ะนะ”
เวลาของคำถามดั่งพายุนี้ได้จบลงแล้ว คำพูดแรกที่อีฮโยอึลพูดออกมาก็คือคำว่าโชคดี แต่เพราะไม่รู้ว่าหล่อนหมายความอย่างไร ผมจึงได้ถามออกไป
“อะไรที่ว่าโชคดีล่ะ”
“อ้า ก็แค่ลองคิดดูน่ะ ว่าทำไมพวกเร่ร่อนถึงได้สังหารแม่ทูนหัวกัน ถ้าหากว่าในบรรดาคนที่รู้จักฉันมีคนทรยศอยู่ล่ะก็ ตอนนี้ฉันจะเป็นยังไง เฮ้อ แล้วถ้าไม่ได้นายช่วยไว้…”
อีฮโยอึลไม่สามารถตอบได้จนจบประโยคและพูดค้างไว้เช่นนั้น ริมฝีปากของหล่อนเผยอออก แล้วหัวเราะอย่างขมขื่น ผมพยักหน้าให้กับเหตุผลนั้นเงียบๆ อย่างเห็นด้วย อีฮโยอึลจึงจิ๊ปากแล้วลุกพรวดขึ้นด้วยความโกรธ
“ไซม่อนน่ะ ไม่ว่าจะเป็นพวกเร่ร่อนหรือไซม่อนก็ล้วนสำคัญทั้งนั้น การแก้แค้นแบบธรรมดาๆ มันไม่ใช่จุดประสงค์หรอกนะ จิ๊ แต่ไม่ว่ายังไง ฉันคงจะอยู่เงียบๆ ไม่ได้ คงต้องเลื่อนคำสั่งรวมพลเข้ามาเสียแล้ว”
คำพูดนี่ก็เป็นสิ่งที่ผมคาดไม่ถึงอีกแล้ว ผมคิดไว้ว่าหลังจากการเจอกันในวันนี้ หล่อนจะไม่เลื่อนคำสั่งเรียกรวมพลออกไป แต่กลับร่นเข้ามาเสียนี่ ถ้าจะพูดถึงข้อดี นั่นก็ทำให้เรามองเห็นความสามารถในการดำเนินการของหล่อน แต่หากพูดถึงข้อเสียล่ะก็ มันอาจจะเกิดช่องโหว่ในการเตรียมพร้อมขึ้นได้เช่นกัน
อีฮโยอึลอ่านสีหน้าแบบนั้นของผม แล้วจึงได้พูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มบางเบาบนใบหน้า
“ไม่ต้องกังวลนะ เพราะฉันเองก็มีอำนาจอยู่พอประมาณ และการรุกรานเฮลโลเองก็เร็วกว่าที่ฉันคิด ฉันเลยคิดไว้อยู่แล้วว่าจะเลื่อนเข้ามาสักนิด แต่ยังไงฉันก็จะทำเท่านี้ล่ะ เพราะดูเหมือนว่าเราต้องรีบเคลื่อนไหวกันเสียตั้งแต่ตอนนี้แล้ว วันนี้ขอบคุณที่เชิญฉันมา แล้วก็…”
อีฮโยอึลตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่าง แต่จู่ๆ หล่อนก็โน้มหน้าไปทางโกยอนจูที่นั่งอยู่อย่างเรียบร้อย
“วันนี้ขอบคุณที่ช่วยนะคะ น้องสะใภ้”
“พูดอะไรกันคะ ถ้าคราวหน้าได้เจอกันอีกก็คงจะดีนะคะ คุณพี่”
โกยอนจูตอบด้วยน้ำเสียงอันสง่างาม
ผมมองภาพตรงหน้าอย่างประหลาดใจ พร้อมคิดว่าหล่อนช่างเล่นได้ดีเสียเหลือเกิน อีฮโยอึลหันมามองผมด้วยใบหน้าที่แสดงความประหลาดใจเช่นกัน
“โอ๊ะ ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ นายจะไม่ไปส่งฉันหน่อยเหรอ”
“ทำไมต้องฉัน…”
“เพราะฉันมีเรื่องอยากคุยด้วยเกี่ยวกับพี่ชายของนาย ไม่ยาวหรอกน่า”
“อืม ถ้างั้นฉันจะไปส่งถึงแค่วาร์ปเกตเท่านั้นนะ”
ผมอยากปฏิเสธไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่เพราะเป็นเรื่องของพี่ชาย การจะไม่ใส่ใจนั้นก็ยากเช่นกัน เดิมทีผมได้รับคำเตือนมาแล้วมากมายว่าไม่ให้มาที่นี่พร้อมกับอีฮโยอึล ผมหันไปทางระเบียงแล้วเดินลงบันไดจนกระทั่งมาถึงยังชั้นหนึ่ง
“ท่านพี่!”
ฮี้!
อันซลที่กำลังเล่นอยู่ที่ล็อบบี้ เมื่อเห็นว่าผมลงมาก็ตะโกนเรียกด้วยความยินดีทั้งที่ยังกอดยูนิคอร์นเอาไว้แน่น
อันซลและยูนิคอร์นต่างยกมือขึ้นข้างหนึ่งและกำลังทักทายผม
“นั่นยูนิคอร์นงั้นเหรอ ให้ตายสิ ยังเด็กอยู่เลยนี่ เอาเถอะ ดูเหมือนสองคนนั้นจะมีธุระกับนาย ฉันจะออกไปก่อนแล้วกัน แต่อย่าให้ฉันรอนานนักล่ะ”
อีฮโยอึลบ่นงึมงำด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ด้วยว่าหล่อนเคยเจอยูนิคอร์นมาก่อนแล้ว หล่อนเหลือบมองไปยังยูนิคอร์นและอันซลก่อนที่จะเริ่มเดินออกไป
อันซลวิ่งมาทางผม ส่วนอีฮโยอึลก็เดินผ่านไป นั่นทำให้ทั้งสองห่างกันประมาณสามหรือสี่ก้าวเห็นจะได้
ตอนนั้นเอง
ก้าวเดินที่ดูราวกับสายน้ำไหลของอีฮโยอึลก็หยุดลง หล่อนหันมามองอันซลที่อยู่ในอ้อมกอดผมอย่างตกใจ
อีฮโยอึลที่ไม่เปลี่ยนสีหน้าเลยแต่นิดเดียวเมื่อตอนที่ฟังเรื่องราวของแพคซอยอน ในตอนนี้ใบหน้าของหล่อนกลับดูตกใจเป็นอย่างมาก
* * *