Memorize - เล่มที่ 17 ตอนที่ 21
เวลาอาหารเช้าของเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ยังไม่ได้ถูกกำหนดขึ้นอย่างตายตัว ที่โรงอาหารจะมีเหล่าลูกจ้างประจำอยู่ ถ้าหิวก็สามารถไปกินได้เลย
ถึงอย่างนั้นสมาชิกส่วนใหญ่กลับชอบรวมตัวกันที่โรงอาหารในตอนเช้า และเวลาก็ค่อนข้างคล้ายกัน
ความสัมพันธ์กับจองฮายอนในคืนนั้นที่เริ่มต้นด้วยความรู้สึกดีๆ ในที่สุดหลังจากที่ยูนิคอร์นน้อยปรากฏตัวออกมา ก็กลับจบลงอย่างไม่ชัดเจนเท่าใดนัก
แม้จะถูกจับได้ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก เพราะในความเป็นจริงแล้วยูนิคอร์นก็ยังเป็นสัตว์อยู่ดี ก็แค่หมดสนุกหรือเปล่านะ? แต่จองฮายอนก็ขอให้ผมช่วยเข้าใจหล่อนที่หล่อนไม่ยอมทำอย่างนั้น แล้วก็ลุกลี้ลุกลนลุกขึ้นออกไปด้านนอก บางทีหล่อนอาจจะออกไปตามหายูนิคอร์นน้อยก็ได้
แล้วนี่เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น ผมถึงได้เห็นฉากแปลกๆ พิกลหลังจากเดินเข้ามาในโรงอาหารเช้านี้กัน
ฮี้
“ยะ…อยากกินนี่เหรอ”
ฮี้ ฮี้
จองฮายอน, อิมฮันนา และแพคฮันกยอล สามคนกำลังนั่งทานอาหารกันอยู่ที่โต๊ะ ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกต้องบอกว่ามีสามคนกับอีกหนึ่งตัวกำลังนั่งทานอาหารกันอยู่ต่างหากล่ะ
ยูนิคอร์นน้อยอ้าปากกว้างทั้งที่ยืนตัวตรงครองเก้าอี้ไปเสียหนึ่งตัว ข้างๆ กันนั้นคือจองฮายอนที่กำลังป้อนอาหารเจ้ายูนิคอร์นด้วยใบหน้าบอกบุญไม่รับ
หากมองเพียงแวบเดียวอาจจะดูเป็นภาพที่น่ารัก แต่กลับรู้สึกดูขัดแย้งพิลึก ท่าทางของยูนิคอร์นน้อยดูช่างอวดดีเสียเหลือเกิน ใบหน้าที่ใสซื่อนั้นก็มีแต่ความดื้อรั้นปรากฏอยู่
“อ้าว พี่มาแล้วเหรอครับ”
“อุ๊ย เชิญค่ะแคลนลอร์ด มาทานอาหารหรือคะ”
ทันทีที่ผมค่อยๆ เดินเข้าไป แพคฮันกยอลและอิมฮันนาก็ทำเป็นรู้ตัวเสียอย่างนั้น ผมพยักหน้าเงียบๆ แล้วนั่งลงตรงที่นั่งที่ยังว่างอยู่ ผมส่งสายตาถามไปหาจองฮายอน ส่วนหล่อนก็ส่ายหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย ตอนนี้สำหรับผมแล้ว มันเหมือนเป็นการบอกกลายๆ ว่าอย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้เสียมากกว่า
“นี่ หนูน้อย พี่ว่าตอนนี้พี่ก็ต้องทานข้าวแล้วเหมือนกันนะ…”
ฮี้?
ยูนิคอร์นน้อยหันหน้ามาเพราะน้ำเสียงเศร้าสร้อยของจองฮายอน ผมเห็นมันปล่อยลมหายใจฟืดฟาดออกมาก่อนจะหันไปสะกิดอิมฮันนาที่นั่งอยู่ด้านขวาแทน
“หืม? เรียกฉันเหรอ”
ฮี้
“ทำไมล่ะ”
ทันทีที่อิมฮันนาถามด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร ยูนิคอร์นน้อยจู่ๆ ก็บุ้ยใบ้มาทางผม
ฮี้
“เอ๋? ท่านแคลนลอร์ดเหรอ”
ฮี้
“รอบนี้…พี่ฮายอน?”
ฮี้ ฮี้
ยูนิคอร์นน้อยพยักพเยิดไปทางจองฮายอนต่อแล้วพยักหน้าทันที และก่อนที่จะได้ทันทำอะไรแปลกๆ ออกมาต่อ จองฮายอนก็รีบยื่นช้อนมาทางยูนิคอร์นน้อยทันที
…
โดยพื้นฐานแล้วยูนิคอร์นน้อยเป็นพวกที่รับรู้ความรู้สึกได้เร็วและฉลาดหลักแหลม ผมไม่รู้ว่าระหว่างทั้งสองมีเรื่องอะไรกัน แต่จองฮายอนจะต้องทำอะไรผิดอย่างแน่นอน
ก็นั่นล่ะนะ คงต้องจัดการเหมือนอย่างเคยนั่นแหละ
ผมลอบถอนหายใจอยู่ข้างในขณะที่มองจองฮายอนที่กำลังเหงื่อตก พิจารณาจากท่าทางสับสนของหล่อนแล้ว เป็นไปได้สูงทีเดียวว่าหล่อนจะถูกจับได้แน่ๆ ตามความเห็นส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่ายูนิคอร์นน้อยคงจับท่าทีของหล่อนได้และคิดจะใช้โอกาสนี้ทำให้ลำดับของตนสูงขึ้น หรือไม่ก็ด้วยเหตุผลอื่นที่ผมเองก็ไม่อาจรู้ได้
ก่อนอื่นผมตัดสินใจจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของจองฮายอนจนเมื่อมันดูจะเกินมือของหล่อนผมจึงจะก้าวเข้าไปช่วย ความจริงแล้วเจ้ายูนิคอร์นน้อยเหลือบมองผมเป็นครั้งคราว เพราะจนถึงตอนนี้ผมก็ยังคิดว่ามันยังอยู่ในขอบเขตที่ผมยังทนได้อยู่
“แคลนลอร์ด อาหารเช้าวันนี้มีขนมปังง่ายๆ กับซุปนะคะ ตอนนี้ทุกคนต่างเข้าไปในครัวกันหมด เดี๋ยวฉันจะไปเอาออกมาให้นะคะ”
“เอ่อ ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวผมไปเอาเองจะดีกว่า”
โชคไม่ดีที่เคาน์เตอร์ของโรงอาหารนั้นว่างเปล่า ผมยืนขึ้นจากเก้าอี้หลังจากทำมือให้อิมฮันนาที่กำลังรีบลุกขึ้นให้นั่งลง
“ท่านแคลนลอร์ดไม่ต้องทำแบบนั้นก็ได้นะ…”
“ผมเป็นคนจะกิน ผมก็ต้องเป็นคนไปเอาสิครับ จะให้ผมเป็นฝ่ายรับมันก็ได้นะ แต่ไม่รู้สิ”
ผมกำลังจะเดินไปแต่ก็หยุดไปครู่หนึ่ง พอมาคิดดูแล้ว ผมก็มีเรื่องที่ต้องคุยกับอิมฮันนาเกี่ยวกับอุปกรณ์สักหน่อย
หญิงร่างทรงยามอัสดงดูจะจับเชือกจากฝั่งหล่อนไว้แล้วเป็นแน่ ผมคิดว่าคงจะดีกว่าถ้าผมเริ่มพูดเรื่องนี้ก่อน และหากหล่อนไม่ได้มีนัดสำคัญอะไรก็จะได้คุยหาทางแก้ปัญหากันทันทีหลังจากมื้ออาหารจบลงแล้ว
“อ้อ อิมฮันนา วันนี้คุณมีกำหนดการอะไรหลังจากเสร็จจากมื้อเช้านี้หรือไม่ครับ”
“คะ? ไม่นะคะ”
“ดีเลยครับ ถ้าอย่างนั้น…”
หลังทานอาหารเสร็จเราไปคุยกันที่ห้องทำงานหน่อยนะครับ และเมื่อผมกำลังจะพูดประโยคนี้ต่อนั่นเอง
“แคลนลอร์ด! แคลนลอร์ด!”
ในตอนนั้นเอง ใครบางคนก็วิ่งเข้ามาในโรงอาหารแล้วตะโกนส่งเสียงดังอย่างร้อนรน
และเมื่อผมหันไปมองด้วยความสงสัย ก็ได้เจอเข้ากับร่างกายที่ชุ่มโชกไปด้วยหยาดเหงื่อของชินซังยง
“แฮ่ก แฮ่ก! คะ แคลนลอร์ด! ขะ ข้างนอกมีอะไรแปลกๆ ครับ!”
“เอ๋?”
ผมขมวดคิ้วให้กับคำพูดที่คาดไม่ถึงก่อนจะถามซ้ำใหม่อีกครั้ง ชินซังยงรีบตอบกลับทันทีโดยไม่คิดจะพักหายใจแม้สักนิด
“วะ วันนี้ผมไปที่ย่านคนพลุกพล่านมาเพราะมีธุระที่นั่น…”
“รู้แล้ว รู้แล้ว ใจเย็นๆ แล้วค่อยๆ พูดเถอะครับ”
“ตะ ตอนนี้…ฟู่ววว สมาชิกเผ่าของอีสตันเทลลอว์นับร้อยคนกำลังรวมตัวกันยาวตั้งแต่จัตุรัสจนถึงวาร์ปเกตเลยครับ และพวกเขาทุกคนติดอาวุธกันทั้งหมดด้วยล่ะครับ!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใจผมก็สงบลงในชั่วพริบตา
มันเริ่มขึ้นแล้ว
* * *
ซองฮยอนมินมีสีหน้ากังวลใจอย่างสุดซึ้ง การเอาแต่เขย่าขาและไม่สามารถวางสายตาไว้ในที่ใดที่หนึ่งได้นั้นดูต่างจากนิสัยปกติของเขาอย่างสิ้นเชิงเลยทีเดียว
“เฮ้อ…”
“อยู่นิ่งๆ ทีเถอะ หืม? แล้วทำไมถึงทำท่าเหมือนหมาปวดอึแบบนั้น ไม่สมเป็นนายเลยนะ”
ทันทีที่อีฮโยอึล ซึ่งดูแย่ยิ่งกว่าก่นด่าเขาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ซองฮยองมินก็เผยยิ้มกระดากอายออกมา
“ฮะ…ฮ่าๆ ขอโทษด้วยครับ พอคิดว่าเดี๋ยวก็จะต้องออกไปแล้วมันก็เกิดตื่นเต้นขึ้นมาน่ะครับ”
“ให้ตายเถอะ นายก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยนะ”
“ก็ตอนนั้นกับตอนนี้มันไม่เหมือนกันนี่ครับ ในตอนนั้นผมทำตามความเชื่อของตัวเอง แต่ตอนนี้…”
ซองฮยอนมินค่อยๆ เบาเสียงลงที่ท้ายประโยคขณะที่เขากำลังพูดอยู่ เพื่อสังเกตอาการของอีฮโยอึล
“ถ้าอย่างนั้น ความเห็นที่ไม่ตรงกันของเราตอนนี้ก็ขัดกับความเชื่อนายด้วยอย่างนั้นเหรอ”
“…เป็นอย่างนั้นครับ”
ซองฮยอนมินตอบออกไปตรงๆ อีฮโยอึลมองเขานิ่งๆ สักพักก่อนจะหัวเราะคิกคักออกมา
“เฮ้อ ฮยอนมิน นายยังจำตอนที่ฉันอยู่กับนายเมื่อสามปีที่แล้วได้ไหม”
“….ครับ จำได้ครับ”
“อย่างที่ฉันเคยบอก ว่าความเชื่อน่าขันของนายน่ะ มันจะขัดขวางการเติบโตในฐานะผู้เล่นของนายเอง หากนายเปลี่ยนนิสัยเสียหน่อย นายจะยิ่ง…”
ในตอนนั้นเอง ก็มีประกายแวบขึ้นมาในตาของซองฮยอนมิน
“อีฮโยอึล โดยส่วนตัวแล้วผมเคารพคุณ คำพูดของคุณมีเหตุผลเสมอ และไม่เสียหายที่จะนำไปปฏิบัติตาม ในฐานะที่ผมเป็นผู้เล่นที่ได้เจอคนอย่างคุณโดยตรงนั้น ผมย่อมรู้ดีแต่…ก็อาจจะมีผู้เล่นบางคนที่ไม่พอใจการจัดการในวันนี้ได้เช่นกันนะครับ”
ก่อนที่อีฮโยอึลจะได้พูดจนจบประโยค ซองฮยอนมินก็พูดตัดบทหล่อนขึ้นมาเสียก่อน แต่ผิดคาด หล่อนไม่ได้มีสีหน้าที่แสดงความไม่พอใจออกมาแต่อย่างใด ไม่สิ ตรงกันข้าม หล่อนกลับอมยิ้มอย่างอ่อนโยนเต็มดวงหน้าเสียอย่างนั้น
“ฮยอนมิน ฉันว่านายกำลังเข้าใจผิดไปใหญ่แล้วล่ะ เรื่องนี้ไม่ใช่ความคิดของฉันเพียงคนเดียวหรอกนะ นายเองก็น่าจะรู้ไม่ใช่เหรอ”
“…”
“ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่พวกนายต้องการกันมาตั้งแต่แรกนี่ แน่นอนว่าที่ฉันทำเพราะคิดว่ามันสมเหตุสมผลตามที่นายได้พูดไป”
“…ความจริงแล้วผมกังวลว่าเหตุการณ์นี้อาจจะเป็นสาเหตุที่นำพาทวีปทางเหนือเข้าสู่ความวุ่นวายน่ะครับ”
ท้ายที่สุด เมื่อซองฮยอนมินเปลี่ยนไปพูดเรื่องความกังวลของเขาแทนราวกับจะบอกว่าไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้วนั้น อีฮโยอึลก็หัวเราะคิกคักออกมา
“ฉันเข้าใจนะว่านายกังวลเรื่องอะไรอยู่ แต่อย่าสนใจจนมากเกินไปเลย”
“ผู้เล่นอีฮโยอึล”
“แล้วนายไม่คิดว่าฉันจะคิดเรื่องเดียวกับนายบ้างเหรอ”
เพียงคำนี้คำเดียวก็ทำให้ซองฮยอนมินปิดปากเงียบได้อีกครั้ง
“ฉันน่ะคิดเอาไว้ทุก~ อย่างแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงนะ แล้วเรามาคอยดูกันว่ามันจะเป็นไปตามที่นายหรือฉันคิดเอาไว้กันแน่ เข้าใจไหม”
หล่อนประสานมือสองข้างยืดขึ้นเหนือหัวแล้วลุกขึ้นยืนหลังจากที่ปัดขี้บุหรี่ทิ้งหมดแล้ว และหันไปพูดกับซองฮยอนมินที่ยังนั่งปั้นหน้าบึ้งตึงอยู่ด้วยน้ำเสียงแข็งขัน
“เอาล่ะ ลบความคิดผิดหวังเสียใจออกไปแล้วออกไปจากที่นี่กันเถอะ ได้เวลาเริ่มแล้วนะ ก้าวแรกของยุทธการโลกใบใหม่น่ะ”