Memorize - เล่มที่ 17 ตอนที่ 26
ห้องพักชั้นสามของวิเวียน แคลนเฮาส์เมอร์เซนต์นารี่
ภายในห้องที่ส่องสว่างด้วยแสงสีอำพัน มีชายคนหนึ่งและหญิงอีกหนึ่งคนอยู่และทั้งสองก็กำลังสนทนาถึงเรื่องที่ดูจะตึงเครียดเป็นอย่างมาก
“นี่ต้องทำขนาดนั้นเลยเหรอ เพียงเพราะนายอยากจะออกไม่ได้หมายความว่านายจะโดนคัดออกไปจริงๆ เสียหน่อย แต่เพราะคิมซูฮยอนรู้ถึงได้คัดนายออกไม่ใช่เหรอ”
หญิงสาวผู้นั่นก็คือวิเวียนนั่นเอง หล่อนพูดขึ้นในขณะที่นั่งไขว่ห้างและเกาศีรษะตนเองไปมา ดวงตาของหล่อนที่มักจะดูเฉื่อยชาอยู่เสมอเบิกโตขึ้นเล็กน้อยด้วยความสับสน
จากคำพูดของวิเวียนทำให้ชายหนุ่มอีกคนตอบออกมา
“นะ แน่อยู่แล้วสิครับ แต่ว่า…มันก็เป็นการตัดสินใจที่ผมก็คิดแล้วคิดอีกนะครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ลองคิดดูดีๆ อีกสักครั้งสิ เมื่อร้อยปีก่อนฉันต้องเจอสงครามมากี่ครั้งกี่หน? แน่นอนว่าไม่ได้เข้าร่วมด้วยโดยตรง แต่ก็เคยประสบมาก่อนในฐานะพลเมืองล่ะนะ ยังไงก็เถอะ สงครามน่ะไม่ใช่เรื่องหมูๆ เหมือนอย่างที่นายคิดหรอกนะ ไม่เห็นต้องมานึกละอายอะไรเลยนี่นา นายไม่ใช่คนเดียวที่เหลืออยู่ในเมืองเสียหน่อย”
“ไม่ใช่ว่าผมละอายนะครับ! ละ แล้วก็ ผมน่ะ อยู่ในสถานการณ์ที่ต่างกับพวกเขาโดยสิ้นเชิงเลยครับ! แต่ผมไม่คิดว่านั่นเป็นสาเหตุที่ต้องคัดผมออกหรอกนะครับ”
แม้ว่าวิเวียนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงเป็นจริงเป็นจังเพื่อโน้มน้าวเขาก็ตาม แต่คำตอบของชายหนุ่มที่หล่อนได้กลับมานั้นก็ไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่นิดเดียว
“เฮ้อ ฉันรู้นะว่านายคิดอะไรอยู่…ไม่สิ เดี๋ยวก่อนนะ ถ้านายจะทำตามใจตัวเองตั้งแต่แรก แล้วทำไมถึงมาพูดเรื่องนี้กับฉันอีก”
“ฮ่าๆ ก็เพราะว่าท่านอาจารย์เป็นเพียงคนเดียวที่ผมจะปรึกษาได้น่ะสิครับ…”
วิเวียนทำปากยื่นทั้งยังบ่นพึมพำด้วยความไม่เข้าใจชินซังยงที่นั่งยิ้มเก้ๆ กังๆ อยู่
“เอาล่ะๆ ทำตามที่นายสบายใจเถอะ แต่ในฐานะอาจารย์ ฉันขอเตือนอะไรหน่อยแล้วกัน อย่างน้อยก็ลองคิดดูให้ดีอีกสักครั้งจะดีกว่านะ นายก็รู้นิสัยของคิมซูฮยอนอยู่ไม่ใช่เหรอ นายก็รู้นี่ว่าลองเขาได้ตัดสินใจแล้วจะต้องน่ากลัวแน่? หืม?”
“แน่ แน่นอนครับ ผมเตรียมตัวสำหรับเรื่องนั้นแล้วครับ”
“ถ้าอย่างนั้น…หากนายมีอะไรไม่สบายใจก็บอกฉันได้ทุกเมื่อเลยนะ”
“ไม่หรอกครับ ไม่เป็นไรเลยครับ ผมจะไปบอกเขาด้วยตัวเองครับ”
เขาตอบหล่อนอย่างแน่วแน่อีกครั้ง หล่อนยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนักก่อนจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะ
“โธ่เอ๊ย~ โธ่เอ๊ย~ นั่นก็ฉัน นี่ก็ฉัน อะไรๆ ก็ฉัน ตอนนี้ฉันไม่รู้ด้วยแล้ว คิมซูฮยอนรู้แล้วอาจจะทำให้ก็ได้”
ชินซังยงเผยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมาเมื่อเห็นภาพนั้นของวิเวียน
แมกไม้ในสวนที่เคยได้รับแสงแดดอันแรงกล้าที่ส่องลงมา บัดนี้เริ่มเย็นลงอย่างช้าๆ เพราะยามอัสดงที่มืดสลัวเริ่มแผ่ปกคลุมไปทั่ว
ขณะที่ผมมองทิวทัศน์ของสวนผ่านหน้าต่างชั้นหนึ่ง ผมก็กวาดตามองที่นั่นอย่างช้าๆ
วันนี้คือวันก่อนที่ผมจะออกจากโมนิก้า ตอนนี้สมาชิกทุกคนล้วนอยู่ที่ล็อบบี้ชั้นหนึ่งหรือไม่ก็ออกไปที่สวนเพื่อตรวจสอบสภาพร่างกายและจัดการอุปกรณ์กันเป็นรอบสุดท้าย
“ฮันบยอล ให้ฉันอธิบายให้ฟังอีกสักรอบไหม”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว ฉันจำได้หมดทุกอย่างแล้วล่ะค่ะ”
เมื่อผมหันไปมองตามเสียงก็พบเข้ากับคิมฮันบยอลและท่านผู้เฒ่ากำลังนั่งพูดคุยกระซิบกระซาบกันอยู่ที่โต๊ะในล็อบบี้ชั้นหนึ่ง บนโต๊ะมีกระเป๋าที่ดูแล้วคงหนักไม่ใช่เล่นอยู่สี่ห้าใบ และท่านผู้เฒ่าที่กำลังลงมือจัดกระเป๋าให้เองกับมือ
“เข้าใจแล้วก็ดี ค่อยโล่งอกหน่อย เธอต้องจำที่ฉันบอกไว้ให้ดีนะ แล้วก็ฉันอยากให้เธอใช้กระเป๋าพวกนี้โดยไม่นึกลำบากใจ เข้าใจไหม”
“ค่ะ ฉันจะดูแลตัวเองให้ดีตามที่คุณปู่บอก คุณปู่ไม่ต้องห่วงนะคะ แล้วก็จะใช้ของพวกนี้ให้เกิดประโยชน์ที่สุดเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ”
“ขอบคุณอะไรกันเล่า เอาเถอะๆ ข้อแรก ระวังตัว ข้อสองก็ยังต้องระวังตัวนะ หวังว่าจะได้เจอเธออีกครั้ง ฉันจะคอยภาวนาให้เธอเสมอเลย”
เมื่อผมเห็นท่านผู้เท่าที่เอาแต่เน้นย้ำให้หล่อนระวังตัวซ้ำๆ พร้อมทั้งจับมือของคิมฮันบยอลเอาไว้แล้ว ความรู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่ต่อหน้าหลานแท้ๆ ของตัวเองก็เกิดขึ้นกับผม
ผมยืนดูภาพตรงหน้าด้วยความซาบซึ้งอยู่แบบนั้นสักพัก ก่อนที่จะได้ยินเสียงเรียกดังมาจากอีกด้านหนึ่ง
“แหม จิตใจมนุษย์นี่ยากแท้หยั่งถึงจริงๆ นะครับพี่”
เสียงนั้นเป็นของอันฮยอนนั่นเอง และเมื่อผมหันกลับไปมองก็ได้เห็นหอกของมือหอกจี้กง, ตะวันเกรียงไกร และหมวกแห่งความกล้าหาญที่ถูกวางเอาไว้อย่างเรียบร้อย อันฮยอนนั่งอยู่ที่พื้น มองไปยังภาพนั้นด้วยสายตาเลือนราง และเมื่อผมมองเลยไปด้านหลังก็เห็นอันซลที่กำลังขยับทำอะไรบางอย่างอยู่อย่างตั้งใจ ก่อนที่ผมจะพูดขึ้นมา
“จิตใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึงอย่างนั้นเหรอ”
“ครับ ความจริงแล้วผมเพิ่งจะรู้สึกคันตัวยุบยับเมื่อสักครู่นี้เองครับ ผมหมายถึง แต่เดิมเวลานี้เป็นเวลาที่เราจะได้ออกสำรวจกันแล้ว แต่เรากลับไม่สามารถออกไปได้เพราะสงครามน่ะครับ เพราะแบบนั้น ผมเลยคิดว่าไหนๆ มันก็เป็นแบบนี้แล้ว ผมก็อยากให้มันปะทุให้เร็วที่สุดไปเลยดีกว่า จนถึงเมื่อวานนี้น่ะครับ”
“…”
“พอถึงเวลาต้องเอาอุปกรณ์ออกมาเข้าจริงๆ แล้ว เพราะคิดว่าจะต้องไปรบด้วยตัวเอง…ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกแปลกแบบนี้กันน่ะครับ ไม่รู้สิครับ ก็แค่ไม่อาจหยั่งรู้ได้เหมือนที่ผมพูดไปนั่นแหละครับ”
พอมองไปที่อันฮยอนที่กำลังถอนหายใจออกมาเสียยาว ผมก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน
คำพูดของอันฮยอนเป็นเรื่องของความรู้สึกล้วนๆ
เมอร์เซนต์นารี่ยังคงวนเวียนอยู่ในวังวนของสงครามจนกระทั่งถึงตอนนี้ ไม่ใช่เพียงแค่เราแต่ยังรวมไปถึงเหล่าผู้เล่นทางตะวันออกและทางใต้ทั้งหมดด้วย
แต่ตอนนี้ผมกลับพยายามจะมุ่งหน้าและพาตัวเองไปยังตาพายุ ซึ่งหากเป็นคนปกติเขาก็คงกลัวกันแน่นอน และยิ่งสงครามในครั้งนี้เป็นสงครามแรกที่พวกเด็กๆ จะต้องเผชิญ นั่นจึงทำให้ผมยิ่งรู้สึกแย่เข้าไปกันใหญ่
ไม่มีอะไรที่ผมสามารถทำให้พวกเขาได้เลย แม้ผมจะสามารถให้ความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ ได้บ้าง แต่นี่คือปัญหาที่พวกเขาจะต้องเอาชนะมันให้ได้ด้วยตัวเอง
“เฮ้อ ทำไมใจเต้นแบบนี้นะ นี่ต้องกลับออกไปที่สวนอีกครั้งให้ใจเย็นลงหรือเปล่าเนี่ย”
“แบบนั้นก็ไม่เลวนะ ฉันเองเวลารู้สึกสับสนก็กวัดแกว่งดาบไปมาจนเหนื่อยกันไปข้างเหมือนกัน แบบนั้นจะทำให้นายจัดการความคิดได้และสมองก็จะปลอดโปร่งด้วย”
“โอ๊ะ อย่างนั้นเหรอครับ ถ้างั้นสำหรับผมแล้วคงต้องควงหอกสักหน่อยสินะครับ…พี่ เราก็ไม่ได้ดวลกันมานานแล้ว สักหน่อยไหมครับ”
ราวกับจะนึกถึงความหลังที่เคยดวลกันตอนอยู่มิวล์ขึ้นมาได้ อันฮยอนเงยหน้ามองผมและพูดขึ้น ผมพยักหน้าอย่างยินดี เพราะคิดว่าไม่มีอะไรต้องกังวล
“ได้ เอาสิ ถ้าอย่างนั้นจับหอกไว้แล้วออกมาเลย”
“ว้าว น่าตื่นเต้นจัง ไม่ได้แข่งกับพี่มานานแล้วนี่นะ”
ทันทีที่ได้รับอนุญาตจากผม อันฮยอนก็ลุกขึ้นทั้งที่ยิ้มจนแก้มปริ จากนั้นจึงหยิบหอกที่วางไว้ที่พื้นขึ้นมาถือแล้วกล่าวออกมาด้วยความมั่นใจ
“เพราะผมเองก็โตขึ้นมาก ตอนนี้ผมไม่ใช่หมูๆ แล้วนะครับ ผมคุมหอกได้ด้วยมือข้างเดียวแล้วด้วย”
“โม้หรือเปล่า”
“โอ๊ะ? นี่พี่ไม่เชื่อผมเหรอ ไม่ได้การล่ะ ดูให้ดีๆ นะครับพี่ ตอนนี้ผมจะทำให้พี่เห็นเอง หึๆ”
“เดี๋ยวฉันจะออกไปดูข้างนอก อย่าควงหอกที่นี่…เฮ้ย อันฮยอน! นี่!”
ผมเพิ่งนึกได้ว่าอันซลอยู่ข้างหลังอันฮยอน ผมจึงรีบห้ามเขาโดยเร็ว แต่ไม่ทันขาดคำอันฮยอนก็หมุนควงหอกไปมาและสิ่งที่ผมเห็นคือวัตถุสีดำนั้นพุ่งเป้าไปยังอันซลซึ่งยืนอยู่ด้านหลัง และทันใดนั้น
ฟึ่บ! แกร๊งงง!
“เฮ้ย!”
แต่ว่าช่างโชคดีจริงๆ ที่วัตถุทรงกลมส่องแสงสีขาวเข้ามาขวางหอกไว้ได้ทันเวลาพอดิบพอดี วัตถุนั้นก็คือโล่กำบังรุ่นปรับปรุงใหม่ของอันซลที่หล่อนเพิ่งขยับมันไปมาเมื่อสักครู่นี้นั่นเอง ผมถอนหายใจออกมาและลูบหน้าอกด้วยความโล่งใจ
“ฮะ เฮือก! ซล!”
“พะ พี่”
และในตอนนั้นอันฮยอนที่เพิ่งจะเดาสถานการณ์ได้ก็รีบหันไปมองด้านหลังพร้อมร้องดังลั่น อันซลที่อ้าปากพะงาบๆ อยู่อึดใจหนึ่งเพราะความตกใจเหลือบตาขึ้นมองด้วยความกลัว หลังจากที่รู้ว่าตนเองปลอดภัยแน่แล้ว
“พี่?”
“ขอ ขอโทษนะ พี่พลาดเอง!”
“ทำ~ พลาดเหรอ ครั้งที่แล้วพี่ก็ทำแบบนี้ ครั้งนี้ยังจะพลาดอีกเหรอ”
อันซลตั้งใจจะทำบางอย่างกับอันฮยอน แล้วจากนั้นหล่อนก็เริ่มบ่นเขาเหมือนลูกนกช่างจ้อ ผมมองไปที่เขาที่เอาแต่ขอโทษทั้งที่เหงื่อไหลไม่หยุดแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า
ออกตัวดีตลอดแต่ก็สุดท้ายก็วืด ผมตัดสินใจจะออกไปที่สวนเพียงคนเดียว เพราะคิดว่าการดวลกับอันฮยอนนั้นคงจบลงแล้ว ผมจำเป็นต้องไปตรวจดูความเรียบร้อยของเหล่าสมาชิกที่สวน และอิมฮันนาที่ใส่อุปกรณ์เรียบร้อยแล้วก็อยู่ที่นั่นด้วยเหมือนกัน จริงอยู่ที่ผมสงสัยว่าอุปกรณ์จะพอดีกับหล่อนหรือเปล่า แต่ก็ข้องใจเกี่ยวกับความสามารถในการเป็นนักธนูของหล่อนด้วย ผมจึงตัดสินใจไปที่นั่น ดังนั้นผมจึงเดินไปที่ทางเข้าอย่างรวดเร็ว
“คะ แคลนลอร์ด! อยู่ที่นี่เองสินะครับ”
มีเสียงเรียกผมดังขึ้นอีกครั้งทำให้ผมต้องหยุดเดินอย่างช่วยไม่ได้
ใครอีกล่ะ
ผมหันไปเงียบๆ ขณะกำลังคิดว่ามีคนต้องการตัวผมเยอะจริงๆ ในวันนี้ ผมจึงได้เห็นบุคคลที่คาดไม่ถึงว่าจะเรียกผม ชินซังยงยืนอยู่ข้างๆ ผมนี่เอง
“ผู้เล่นชินซังยง? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้…”
“แคลนลอร์ด ผมมีเรื่องต้องบอกคุณจริงๆ ครับ”
เสียงของชินซังยงที่ตอบคำถามของผมช่างเป็นเสียงที่มีความน่าเกรงขามดีจริงๆ
“ผมทราบดีว่ามันกะทันหัน ก่อนอื่นผมต้องขอโทษด้วยนะครับ“
“อืม แล้วจะเล่าให้ผมฟังได้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ครับ ถึงแม้ว่าจะสายไปมากแต่ผมอยากจะเข้าร่วมในสงครามครั้งนี้ด้วยครับ”
“…?”
ผมพูดว่าอยากฟังก็จริง แต่ผมก็ต้องงงงวยเพราะการเข้าประเด็นอย่างรวบรัดตรงประเด็นของชินซังยง แต่นั่นก็เพียงไม่นาน ผมรีบตั้งสติก่อนเอ่ยปากถามเขาด้วยความสงสัย
“ครับ? วันพรุ่งนี้ก็จะออกเดินทางอยู่แล้ว ทำไมจู่ๆ จึงมาพูดแบบนี้ล่ะครับ”
“ขอโทษจริงๆ ครับ แต่ผมเอาแต่คิดเรื่องนี้มาตั้งแต่การประชุมครั้งก่อนแล้วครับ แล้วก็ในช่วงที่ยุ่งๆ กัน ผมก็ได้เตรียมตัวไว้แล้วครับ ผมจะไม่เป็นตัวถ่วง หวังว่าแคลนลอร์ดจะอนุญาตให้เข้าร่วมด้วยนะครับ”
เพราะน้ำเสียงที่หนักแน่นซึ่งได้ยินไม่บ่อยนักของชินซังยง ทำให้ผมได้แต่ปิดปากเงียบและจมอยู่กับความคิดของตน
ชินซังยงไม่ใช่พวกชอบความปลอดภัยหรอกเหรอ แล้วทำไมจู่ๆ ถึงได้…
ด้วยที่ผมรู้จักการกระทำและแนวโน้มนิสัยของชินซังยงดี ทำให้สิ่งแรกที่ปรากฏขึ้นมาในใจผมคือความสงสัย แต่คนอย่างเขาไม่มีทางที่จะพูดออกมาลอยๆ แน่ ผมจึงตั้งใจจะฟังชินซังยงเสียก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ
“ผู้เล่นชินซังยง รายชื่อผู้ที่เหมาะสมได้ถูกประกาศออกไปแล้ว มันคงจะดูไม่ดีนักหากจะเปลี่ยนก่อนวันออกเดินทางเพียงหนึ่งวัน ที่ผ่านมามีอะไรทำให้คุณเปลี่ยนใจอย่างนั้นเหรอครับ”
“ครับ ความจริงผมคิดมากเรื่องนี้ตั้งแต่ที่ถูกคัดออกในที่ประชุมพร้อมกับคุณอีมันซองและฮันกยอลแล้วน่ะครับ แคลนลอร์ด ไม่ว่าจะมองยังไง ผมก็เหมาะสมพอที่จะเข้าร่วมสงครามครั้งนี้นะครับ”
“ฮ่าๆ ผู้เล่นชินซังยง ดูเหมือนคุณจะเข้าใจอะไรผิดไปนะครับ เหตุผลที่ผมตัดคุณออกก็คือ…”
“ไม่ครับ ไม่ ไม่ใช่ความผิดของแคลนลอร์ดหรอกนะครับ ปัญหาจริงๆ มันคือผมเองครับ และการตัดสินใจคุณก็ทำเพื่อผมเช่นกัน”
ผมว่าผมรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ และเมื่อผมกำลังจะบอกเขาไป ชินซังยงก็กลับโบกมือไปมาแล้วพูดแทรกขึ้น เขาพูดลื่นราวน้ำไหลไม่เหมือนการพูดติดอ่างตามปกติของเขา
“ทำไมแคลนลอร์ดถึงตัดผมออก ผมเอาแต่คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนเลยครับ และสุดท้ายก็คิดได้ว่า การกระทำของผมในช่วงนั้นไม่เหมาะกับเมอร์เซนต์นารี่เอาเสียเลย หมายถึงผมไม่มีประสิทธิภาพมากพอนั่นเองครับ”
“ประสิทธิภาพเหรอ?”
“ครับ จู่ๆ ก็คิดขึ้นมาเองน่ะครับ ผมคิดว่าผมเป็นสมาชิกที่ไร้ประสิทธิภาพที่สุดในเมอร์เซนต์นารี่เลยครับ”
“ครับ? ผมไม่เคยคิดแบบนั้นเลยนะครับ”
“แคลนลอร์ดต้องบอกแบบนั้นอยู่แล้วครับ แต่ผมคิดแบบนั้นเอง หากยังเป็นแบบนี้ต่อไปก็คงคว้าน้ำเหลว”
ตอนนั้นเอง ผมก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาทุบที่หัวอย่างแรง รู้สึกคล้ายเดจาวูแปลกๆ สิ่งที่ชินซังยงพูดออกมาช่างคล้ายกับสิ่งที่ผมเคยพูดกับอันฮยอนเกี่ยวกับอันซลเมื่อก่อนหน้านี้เสียเหลือเกิน ผมเริ่มเข้าใจสิ่งที่เขากำลังจะพูดขึ้นมาทีละนิดๆ แล้ว
“พอมาคิดดูแล้ว ผมเป็นผู้เล่นที่ไร้ประโยชน์ตั้งแต่วันที่เข้ามาในฮอลล์เพลนจนถึงก่อนที่จะได้พบกับแคลนลอร์ดแล้วครับ ไม่สามารถใช้เวทได้อย่างเชี่ยวชาญและไม่มีที่ไหนรับนักเล่นแร่แปรธาตุที่ต่ำกว่าเกณฑ์ด้วยครับ”