Memorize - เล่มที่ 18 ตอนที่ 10
แสงตะวันพลันดับลง และโดยที่ไม่มีใครทันได้ตั้งตัว แสงอัสดงสีเข้มก็แผ่ปกคลุมไปทั่วทุ่งกว้าง แต่จากการที่ผมได้เห็นแสงมืดครึ้มอยู่ทุกทุกแห่งเช่นนี้ก็ทำให้ผมได้รู้ว่าเวลาเย็นย่ำคงจะมาถึงในอีกไม่ช้านี้แล้ว
เมื่อหันไปมองรอบๆ ผมก็ได้เห็นว่าเต็นท์ถูกกางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยหมดแล้วเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการตั้งแคมป์ เดิมทีแล้วเราควรจะต้องเดินทัพกันให้ไกลที่สุดเท่าที่เวลาจะเป็นใจ แต่หลังจากออกจากป่าแห่งดวงดาวมาแล้ว เราก็ไม่ได้เดินทัพอย่างรวดเร็วอีกเพราะนี่ก็จวนจะถึงบาร์บาร่าอยู่แล้ว
ระยะทางที่เหลืออยู่ไม่ว่าจะเดินทางช้าอย่างไร อย่างเต็มที่ก็ประมาณสองวัน ดังนั้นเราจึงต้องเก็บแรงเอาไว้สำหรับสำรองใช้ในสงคราม
ผมมองดูเหล่าผู้เล่นที่ออกจากเต็นท์มาพูดคุยกันด้วยใบหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะเบนสายตาหันไปทางอื่น และที่ที่ผมหันไปมองก็คือลานตรงกลางแคมป์ที่มีคนเจ็ดคนถูกแขวนไว้อยู่กับเสาไม้ รอยเลือดเปรอะเปื้อนอยู่ทุกที่ ทุกอย่างนิ่งไม่ไหวติง พวกเขาตายแล้ว
ทั้งเจ็ดคนที่ถูกแขวนอยู่นั้นก็คือพวกเร่ร่อนที่ปลอมตัวเป็นผู้เล่นมาหาเราเมื่อสี่วันก่อนนั่นเอง ผมสามารถจับพวกเขาได้อย่างง่ายดายโดยการใช้ดวงตาแห่งการล่อลวงอันเป็นเอกลักษณ์ของโกยอนจู พวกเขาถูกจับเป็นเชลยในทันที และถูกบังคับให้บอกข้อมูลทั้งหมดที่รู้กลับมา
เป็นที่แน่นอนว่าพวกเขาเป็นตัวไร้ประโยชน์ที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย แต่ถึงอย่างนั้นก็คงพอจะช่วยได้อยู่สองอย่างล่ะมั้ง
อย่างแรกคือบาร์บาร่าล่มสลายไปแล้ว ส่วนอีกอย่างหนึ่งนั้น…
วี้ดดด
ทันใดนั้นเองผมก็ได้ยินเสียงของดาบ ผมจึงหันหลังไปมอง และได้เห็นราชินีแห่งดาบนัมดาอึนที่กำลังยืนอยู่อย่างเรียบร้อย
“คุณได้สร้างผลงานชั้นยอดอีกแล้วนะคะ แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่”
น้ำเสียงทั้งเย็นชาและนิ่งเรียบ จนหากฟังแค่เสียงก็อาจทำให้ผมเข้าใจผิดว่าหล่อนเกลียดผมได้ แต่เพราะตอนนี้ผมรู้แล้วว่าหล่อนไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้น จึงยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก
“ผมก็แค่ระแวงเท่านั้นเองครับ ไม่ได้มากมายถึงขนาดจะถูกเรียกว่าผลงานได้หรอกนะครับ”
“คุณนี่ถ่อมตัวจังนะคะ”
วี้ดดด
ผมเอียงศีรษะด้วยความสงสัย ผมเคยช่วยแนะนำสมาชิกเผ่าให้ แต่ตั้งแต่ตอนนั้นมาหากเราบังเอิญเจอกันก็จะทำเพียงพยักหน้าให้อีกฝ่ายและเลี่ยงกันไปเป็นประจำ ดังนั้นผมจึงคิดว่ามันก็แปลกอยู่เหมือนกันที่จู่ๆ หล่อนก็เข้ามาคุยกับผม
ทำไมจู่ๆ เธอจึงเป็นแบบนี้ล่ะ น่าอึดอัดจริงๆ
ขณะที่กำลังพยายามจะตอบกลับไปนั้นเอง นัมดาอึนก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“เย็นนี้มีประชุมนะคะ แน่นอนว่าแค่ระหว่างสมาชิกในกลุ่มค่ะ”
“เข้าใจแล้วครับ”
ธุระที่ชัดเจนและคำตอบง่ายๆ แล้วก็ตามมาด้วยความเงียบที่น่าอึดอัดอีกตามเคย ยิ่งมีบรรยากาศแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ผมก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองทำอะไรผิดอย่างไรก็ไม่รู้ ทำไมกันนะ
ผมตัดสินใจว่าจะตอบออกไปอย่างจริงใจอีกเล็กน้อยเพื่อสลัดตัวเองให้หลุดจากความรู้สึกผิดที่ไม่รู้ที่มานี้
วี้ดดด
“ผมจะไปเข้าร่วมประชุมด้วยแน่นอนครับ”
“…”
นัมดาอึนพยักหน้าให้กับคำตอบที่ชัดเจนของผม จากนั้นทั้งผมและหล่อนต่างก็มองและแลกเปลี่ยนสายตากัน
ผ่านไปประมาณสิบวินาทีที่เราต่างก็จ้องตากันอย่างไร้ความหมาย ผมเห็นปากหล่อนขยับถามผมอุบอิบว่าผมมีธุระอะไรต้องไปทำต่อหรือไม่ ก่อนจะหลุบตาลงต่ำแล้วยื่นสองมือของหล่อนออกมาอย่างเขินอายพร้อมกับพูดออกมาด้วยเสียงเล็กๆ
“คะ แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ ช่วย…”
“…ครับ?”
“ขอร้อง…ล่ะค่ะ ได้โปรด…”
“…เป็นแบบนั้นอีกแล้วหรือครับ”
นัมดาอึนเอาแต่มองพื้นและพยักหน้ากลับมาราวกับว่าการพูดแบบนั้นกับผมมันน่าอายมาก ในมือบางทั้งสองข้างของหล่อนกำลังกำดาบที่ส่งเสียงก้องบาดหูมาตั้งแต่เมื่อสักครู่นี้ไว้
ยังแก้ไม่หายอีกอย่างนั้นเหรอ
ผมถอนหายใจออกมาเงียบๆ ก่อนจะรับดาบมาอย่างระมัดระวัง
วี้ด วี้ด
จู่ๆ ดาบก็ส่งเสียงประหลาดออกมา
ผมตกใจจนปล่อยมันหลุดจากมือ
ฮือออ
คราวนี้กลับได้ยินเสียงร้องอย่างโศกเศร้าแทน
ฮือออ ฮือออ
ให้ตายเถอะ ดาบร้องไห้
ในตอนนั้นมีความคิดเป็นห้าหมื่นอย่างวิ่งวุ่นกันอยู่ในหัวผม แต่ก่อนอื่นผมก็ก้มลงหยิบดาบที่ผมทำหล่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว การทำดาบของผู้อื่นตกถือว่าเป็นการกระทำที่เสียมารยาท แต่ในบางที(?)ก็เป็นการกระทำที่แสดงความเสียใจออกมาได้เช่นกัน
ผมถือเจ้าดาบซอลอาของนัมดาอึนไว้ในมือซ้าย ก่อนจะปลอบเบาๆ ด้วยมือขวา ค่อยๆ ลูบอย่างแผ่วเบาและอ่อนโยนแบบเดียวกับที่เคยลูบผมอันซลเมื่อก่อนนี้
ฮึก…ฮึก
ผมลูบอยู่อย่างนั้นเป็นสิบครั้งน่าจะได้ เจ้าดาบที่ร้องคร่ำครวญมาตั้งแต่เมื่อสักครู่ตอนนี้ก็ค่อยๆ สงบลงมาบ้างแล้ว ผมจึงทำเต็มที่ในการลูบปลอบมันให้นุ่มนวลยิ่งกว่าเดิม
“…”
“…”
อื้อออ!
ทำไมจู่ๆ ผมถึงได้รู้สึกไปเองว่าซอลอากำลังยิ้มอยู่นะ
อย่าบอกนะว่ารู้สึกถึงมือผมได้น่ะ
ผมเองก็รู้ดีว่ามันเป็นไปได้น้อยมากแต่ก็อดจะตกใจกับการแสดงออกตรงๆ ของซอลอาไม่ได้ เพราะถ้าหากเมื่อกี้มันร้องไห้ด้วยความโศกเศร้า แต่ในตอนนี้มันก็กลับสั่นด้ามหงึกๆ อย่างกับไม่เคยทำแบบก่อนหน้านี้มาก่อน
แล้วฉันควรจะทำยังไงดีล่ะนี่…
ไม่นับเรื่องจุกจิกอื่นๆ ซอลอาเป็นดาบที่มีเจ้าของเพียงคนเดียว แต่ถึงอย่างนั้นนี่มันก็เป็นสถานการณ์ที่ผมก็ไม่ได้คาดคิดว่ามันจะมีปฏิกิริยาแบบนี้ออกมา ผมจึงตัดสินใจลำบาก
แต่ไม่ว่าอย่างไรผมก็ยังลูบมันต่อไป และเงยหน้าขึ้นมาอย่างเหม่อลอยก่อนจะมองไปที่นัมดาอึน แต่หล่อนก็ยังเอาแต่ก้มมองพื้น ดูเหมือนเจ้าตัวเองก็ไม่เข้าใจสถานการณ์แบบนี้เหมือนกันสินะ
ไม่สิ มองฉันเหมือนจะสั่งให้ฉันทำอะไรก็ได้…
ผมถอนหายใจอยู่ข้างใน
และราวกับว่ามันจะรู้ใจผม
อื้อออ~
ซอลอาเอาแต่ส่งเสียงออกมาอย่างชัดเจน
ตามที่นัมดาอึนได้พูดไว้ การประชุมระหว่างสมาชิกกลุ่มถูกจัดขึ้นในตอนเย็น ผมเข้าประชุมพร้อมกับหล่อนทั้งที่ยังกอดเจ้าตัวปัญหาที่ยังหาทางแก้ไม่ได้ไว้แนบอก
การประชุมของเหล่าผู้เล่นกลุ่มพิเศษเริ่มต้นขึ้น แต่เนื้อหากลับไม่ได้มีอะไรที่เป็นพิเศษ นัมดาอึนผู้ที่ถูกเลือกให้เป็นตัวแทนของกลุ่ม ทำเพียงแค่ทักทายสั้นๆ และเป็นเพียงแค่การให้สมาชิกกลุ่มได้มาเจอหน้ากันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเท่านั้นเอง
ถึงแม้จะเป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ แต่ก็เป็นกลุ่มเล็กที่รวมเหล่าผู้เล่นที่มีความเป็นเอกลักษณ์สูงเอาไว้ ไม่สิ ผมควรจะเรียกว่าความหยิ่งในศักดิ์ศรีมากกว่าหรือเปล่านะ
นัมดาอึนก็ดูจะรู้ดีถึงเรื่องนี้ หล่อนจึงไม่มีท่าทางวางอำนาจเลยตลอดทั้งการประชุม และสิ่งเดียวที่หล่อนพูดก็มีเพียงแค่ ‘ระหว่างสงครามนี้ ฉันขอฝากตัวด้วยนะคะ’ เท่านั้น
และหลังจากที่หล่อนแสดงท่าทีเช่นนั้นออกมา ยิ่งเวลาผ่านไปการประชุมก็ยิ่งเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น
การสนทนานั้นแน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับสงคราม ในตอนแรกเราพูดถึงบาร์บาร่ากันเยอะมาก แต่ตอนนี้หัวข้อเปลี่ยนเป็นเรื่องของพวกเร่ร่อนแทนแล้ว
“เฮ้อ พี่คะ ฉันไม่ชอบพวกเร่ร่อนที่ถูกแขวนอยู่ข้างนอกตอนนี้เลย าไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไงน่ะค่ะ”
เมื่อผมหันไปมอง ก็พบเข้ากับคังเยบิน ‘พยาบาล’ ที่กำลังขมวดคิ้วมุ่น หล่อนกำลังเผยความไม่พอใจออกมาอยู่ด้านข้างของโกยอนจู
“หากเราได้ข้อมูลที่เราต้องการจะรู้มาแล้ว ก็ควรจะจัดการเสียให้เรียบร้อยสิคะ ไม่ใช่ไปแขวนไว้ตรงกลางแบบนั้น เห็นมันทีไรก็รู้สึกแย่ค่ะ”
“แต่ผมไม่คิดแบบนั้นนะครับ”
ในตอนนั้นเองน้ำเสียงเศร้าสร้อยก็ดังแทรกคำคังเยบินขึ้นมา และเสียงนั้นก็ไม่ได้มาจากโกยอนจูที่อยู่ด้านข้าง ตัวเอกในคำตอบนี้ก็คือ ‘หมอศาสตร์มืด’ คังแทอุคนั่นเอง
คังเยบินเบิกตาโตสักพัก ก่อนจะทำสีหน้าน่าหมั่นไส้ราวกับกำลังตรวจสอบอีกฝ่าย
“หา? อ้อ ใช่ค่ะ ตามรสนิยมของคุณแล้ว ก็คงต้องเป็นแบบนั้น~ สินะคะ”
“พูดแรงเกินไปนะ ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่รสนิยมหรอก มันอยู่ที่บรรยากาศต่างหากล่ะ”
“บรรยากาศหรือคะ นี่มันเรื่องไร้สาระอะไรกันคะเนี่ย”
“…เหอะ ไม่แน่ใจหรอกนะว่าจะทำให้เธอเข้าใจได้ ดังนั้นพอแค่นี้ดีกว่า เพราะต่อให้พูดจนปากเปียกปากแฉะยังไง เธอก็ไม่น่าจะเข้าใจหรอก…”
“อะไรนะคะ”
ผมว่าในสายตาของคังแทอุคมีความสังเวชใจแฝงอยู่ และในที่สุดเขาก็ถอนหายใจออกมาและหันหน้าไปทางอื่น
บรรยากาศเหรอ
แต่ผมเหมือนจะพอเดาได้ว่าคำพูดของคังแทอุคนั้นแฝงความหมายอะไรเอาไว้
กล่าวคือ เป็นความต่างของบรรยากาศตามที่เขาพูด เมฆของสงครามแผ่ปกคลุมมาตั้งแต่ที่เมืองแล้ว อย่างไรก็ตามความคาดหวังเรื่องชัยชนะของเหล่าผู้เล่นดูจะสูงเกินจำเป็นไปมากเหลือเกิน นั่นอาจเป็นเพราะ ‘โฆษณา’ ขายฝันของอีฮโยอึลมีผลกระทบมากเกินไปก็เป็นได้
หากมองจากมุมนี้ก็จะเห็นได้ว่า การสกัดกั้นการลักลอบเข้ามาของพวกเร่ร่อนเสียแต่เนิ่นๆ ส่งผลดีต่อเหล่าผู้เล่นในฝั่งตะวันออก เพราะไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด แต่มันก็เป็นการเตือนให้เรารู้ตัวเรื่องฝ่ายตรงข้ามไปในตัว
ความตึงเครียดที่มีมากเกินไปย่อมไม่ใช่สิ่งที่ดี แต่ในสงครามที่ความเป็นตายมีเท่ากันนั้น การรู้ข้อมูลของศัตรูอย่างละเอียดก็เป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย
ผมจมอยู่กับความคิดตัวเองเงียบๆ แล้วชำเลืองมองไปทางคังแทอุคที่เพียงนั่งอยู่เฉยๆ