Memorize - เล่มที่ 18 ตอนที่ 14
แม้ซอนยูลจะดูขัดแย้งอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายหล่อนก็พยักหน้าลงช้าๆ ถึงอย่างนั้นรอยสีแดงระเรื่อบนใบหน้าหล่อนก็ทำให้เห็นว่าหล่อนเองก็คงจะอายไม่น้อยเลยเหมือนกัน
“ฉะ ฉันขอโทษจริงๆ นะคะ ไพ่ของฉันเป็นไพ่เวทมนตร์รูปแบบหนึ่ง เพราะฉะนั้นมันเลยออกมาแตกต่างกันไปตามสถานการณ์น่ะค่ะ แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่มันออกมาแบบนี้…มันดูไม่สมเหตุสมผลเลยค่ะ ถะ ถ้าอย่างนั้นอีกสี่ใบที่เหลือ ไม่สิ หรือเจ็ดใบ…”
“ก่อนอื่นใจเย็นๆ ก่อนนะครับ ไพ่ที่เหลือหมายความว่าอย่างไรบ้างหรือครับ”
เมื่อผมโบกมืออีกครั้งซอนยูลก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ราวกับว่าหล่อนหลุดออกมาจากความคิดวุ่นวายของตัวเองได้แล้ว
“เฮ้อ ถ้าอย่างนั้นใบที่เหลือนะคะ…สี่ใบต่อไปจากนี้คือสิ่งที่แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ต้องการค่ะ หมายถึงจะมองว่าเป็นการทายอนาคตรูปแบบหนึ่งก็ได้นะคะ แล้วก็อีกสามใบที่เหลือก็คือ…ก่อนอื่นเลยเราสามารถมองว่าเป็นจุดเปลี่ยนหรือการตีความเพิ่มเติมก็ได้ แต่ฉันว่าต้องเปิดก่อนจึงจะรู้ค่ะ”
“เข้าใจแล้วครับ ถ้าอย่างนั้นก็ช่างมันเถอะครับ”
“คะ?”
แม้จะรู้ดีว่ามันอาจจะเป็นการเสียมารยาทแต่ผมก็ตัดสินใจลุกขึ้นยืน หากมันเป็นเรื่องอื่นผมก็คิดจะฟังต่อแต่หากมันเกี่ยวกับอนาคต นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง
ถ้าให้พูดกันตามตรงผมเองก็สงสัยเหมือนกัน แต่เพราะตั้งแต่ที่ผมรู้ว่าอนาคตเปลี่ยนไปแล้วผมก็ได้สาบานเอาไว้ข้อหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหากผมดูไพ่ต่อ มันอาจจะทำให้ใจผมสั่นอีกก็ได้
“ชุดแรกคือดวงชะตาของผม ชุดที่สองคือดวงความรัก แค่นี้ก็พอแล้วล่ะครับ ผมว่ามันคงจะดีกว่าที่จะไม่รู้อนาคต”
“…”
“ผมว่ามันคงจะดีกว่าหากผมจะเดินไปข้างหน้าด้วยความคิดแรกของผมเองไม่ใช่เพราะได้รับอิทธิพลจากเรื่องในอนาคตน่ะครับ”
“ใช่ค่ะ…ใช่แล้วค่ะ เพราะอนาคตคือสิ่งที่เราเป็นผู้ริเริ่มนี่คะ แน่นอนว่าอาจจะมีบางอย่างที่แตกต่างออกไปจากที่เราต้องการไปบ้างก็ตาม ฉันเข้าใจค่ะ ถ้านี่คือสิ่งที่แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่หมายถึง ฉันจะหยุดเพียงเท่านี้ค่ะ”
แม้จะยังมีแววสับสนอยู่บ้างแต่โชคดีที่ซอนยูลเองก็เห็นด้วยกับผม
ผมพยักหน้าไปสามสี่ครั้งก่อนจะลุกขึ้นยืน
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ เป็นช่วงเวลาที่สนุกมากครับแคลนลอร์ดหอคอยแห่งเวทมนตร์”
“เฮ้อ…ฉันขอโทษจริงๆ นะคะ ทั้งที่แสดงท่าทางมั่นใจแบบนั้นให้คุณเห็นเองแท้ๆ…น่าอายจริงๆ เลย”
“ผมเข้าใจความมั่นใจของคุณดีครับ แต่ผมไม่เป็นไรจริงๆ ดังนั้นคุณไม่ต้องเป็นกังวลนะครับ ผมขอตัวล่ะครับ”
ขณะที่ผมก้มหัวลงให้หล่อนนั้น ผมก็มองไปที่ไพ่อีกเจ็ดใบที่เหลือที่ยังไม่ถูกเปิดอยู่สักพักหนึ่ง
…
“ค่ะ”
แต่ในที่สุดผมก็สะบัดความอาลัยอาวรณ์ออกไปก่อนจะหันหลังเดินจากมา
วันต่อมา แม้ว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาจะมีเรื่องเกิดขึ้นกับผมมากมาย แต่เช้านี้ก็ยังคงเป็นเหมือนเคย หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจตามกิจวัตรปกติแล้ว ผมก็ไปเข้าร่วมการเดินทัพครั้งสุดท้ายไปยังบาร์บาร่าของทางตะวันออก
เราเดินทัพผ่านพื้นที่ส่วนใหญ่กันมาหมดแล้ว ไม่มีอีกแล้วทุ่งหญ้ารกร้าง ไม่มีอีกแล้วป่ารกชัฏ ถนนหนทางที่ถูกปูลาดอย่างดีและทุ่งหญ้าที่ถูกจัดการอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย บัดนี้กำลังทอดตัวกว้างใหญ่อยู่รอบตัวของเหล่าผู้เล่น
ผมเข้าประจำที่ในขบวนเดินทัพ ยกเว้นแค่ครั้งหนึ่งที่ผมเดินไปยังทัพที่สามระหว่างทาง
ตอนผมไปที่ทัพที่สามใตอนเช้า ผมก็ได้รู้แล้วว่าชินซังยงกลับมาแล้วแต่สีหน้าของเขากลับดูแย่เกินกว่าที่ผมจะเข้าไปพูดคุยด้วยได้ และแม้แต่ตัวขบวนทัพเองก็เดินห่างกันไกลมากเช่นกัน
ถึงอย่างนั้นผมก็หันหลังกลับ เพราะดูเหมือนว่าชินซังยงจะรู้ว่าผมมาหาเขา ความจริงแล้วผมได้สบตากับเขาครั้งหนึ่งด้วยซ้ำไป แต่เหมือนเขาจะคิดอะไรวุ่นๆ ในหัวอยู่ ดูจากการที่เขาก้มตัวลงอย่างสุภาพและพยายามหลบสายตาผมไป
ดังนั้นผมจึงตัดสินใจจะรออีกสักหน่อยให้เขาจัดการกับความคิดของตัวเองเสียก่อน ดีกว่าบังคับให้เขาพูดมันออกมา ผมอยากจะลองเชื่อความตั้งใจจริงของชินซังยงก่อนจะเข้าร่วมทัพดูสักครั้ง
หลังจากที่ผมกลับมาประจำที่แล้ว การเดินทัพก็ได้ดำเนินต่อไป
เมื่อผมมองขึ้นไปบนฟ้า พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน แสงอาทิตย์ยามอัสดงที่ส่องลงมาก็เปลี่ยนทุ่งหญ้าให้กลายเป็นสีแดงเข้ม เราเดินข้ามผ่าแสงอาทิตย์ตัดทุ่งหญ้าออกไป
หลังจากนั้นไม่นานเราก็ได้เห็นถนนส่วนที่จะเชื่อมไปยังบริเวณใกล้ๆ บาร์บาร่าได้
ตามเวลาปกติแล้ว เวลานี้จะเป็นเวลาที่เหล่าผู้เล่นที่ออกไปล่าสัตว์หรือออกสำรวจจะต้องกลับเข้าเมืองขณะที่ยิ้มเล่นหรือร้องไห้ไปด้วยกัน
แต่ยามสนธยาที่ความมืดมิดกำลังค่อยๆ คืบคลานเข้ามาทีละนิดๆ และทำให้ถนนแห่งนี้มีเพียงความเย็นยะเยือกไม่มีที่สิ้นสุด เมฆแห่งสงครามเท่านั้นที่แผ่ปกคลุมอยู่โดยรอบ
เวลายังคงหมุนไปเช่นนั้น จนในตอนที่แสงยามอัสดงกำลังย้อมสีโลกทั้งใบให้กลายเป็นสีแดงอยู่นั้นเอง
“อีกห้านาทีเราจะถึงบาร์บาร่าแล้ว! ทุกคนเตรียมตัวนะครับ!”
เงาของเมืองใหญ่ตระการตาเริ่มปรากฏให้เห็นบนที่ราบกว้างใหญ่สุดสายตาตรงหน้าผมนี้
* * *
กลางคืนผ่านไปโดยไม่รู้ตัว หมอกสีขาวปกคลุมอยู่รอบเต็นท์แล้วในตอนนี้
ภายในเต็นท์ที่หมอกสีขาวปกคลุมอยู่นั้น มีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ ใบหน้างามภายในหมอกหนานั้นดูอิดโรย แต่ดวงตาที่ลืมอยู่และฉายแววกังวลใจนั้นทำให้เห็นว่าหล่อนยังหลับไม่ลงและยังคงตื่นอยู่
“เฮ้อ”
จู่ๆ หล่อนก็ถอนหายใจยาวๆ ออกมา
หญิงสาวคนนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน หล่อนคือนักมายากลไพ่ทาโร่ต์ ซอนยูลนั่นเอง หล่อนยังคงนั่งอยู่ที่เดิมที่คิมซูฮยอนเดินจากไปเมื่อคืนก่อนนี้
ซอนยูลค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงเพราะดวงตาของหล่อนเริ่มอ่อนล้าจากการไม่ได้นอนมาทั้งคืน แต่แล้วหล่อนก็กดสายตาลงไปมองบนโต๊ะอีกครั้ง
ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยตลอดทั้งเช้า บนโต๊ะยังคงมีไพ่วางอยู่ทั้งหมดสิบห้าใบ บ้างถูกเปิดแล้ว บ้างก็ยังคงปิดไว้ดังเดิม
“…”
นี่หล่อนทำเพียงแค่นั่งมองไพ่เงียบๆ มานานเท่าไรแล้วนะ
“ก็ได้ มาดูกัน”
เป็นเพราะคำพูดที่ออกมาจากใจที่เฝ้าคิดถึงเรื่องนี้มาตลอดทั้งคืนหรือเปล่านะ แต่เมื่อแววแห่งความสิ้นหวังวิ่งผ่านเข้ามาในดวงตาของซอนยูล หล่อนก็พูดคำนั้นออกมาในที่สุดราวกับเป็นการระบายสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจออกมาด้วย หล่อนมองไปยังไพ่ที่ไร้ความผิดเหล่านั้นก่อนจะส่งมือออกไปเปิดมันขึ้นช้าๆ
หลังจากนั้นมือสวยที่ไปถึงยังที่หมายก็เปิดไพ่ขึ้นมาอย่างไม่ลังเล หนึ่งใบ, สองใบ, สามใบ, สี่ใบ…
ด้วยเหตุนี้ไพ่ทั้งหมดสิบสองใบจึงถูกเปิดขึ้นมา
แต่แล้วมือที่กำลังจะพลิกเปิดไพ่ใบที่สิบสามก็เกิดหยุดขึ้นมาสักพัก มือที่จับอยู่ที่ปลายไพ่สั่นไหว ทำให้รู้ว่าหล่อนกังวลใจอย่างเห็นได้ชัด และในที่สุดก็ดูเหมือนว่าการตัดสินใจเฮือกสุดท้ายของหล่อนจะยังไม่สมบูรณ์นัก เพราะสุดท้ายหล่อนก็เอามือออกมาจากไพ่
เมื่อเห็นไพ่ใบใหม่ที่เปิดขึ้นมา ซอนยูลก็ถึงกับต้องกลืนน้ำลายลงคอ ไม่นานหลังจากนั้นสายตาของหล่อนก็วิ่งวุ่นกลับไปยังไพ่สี่ใบแรกสุดที่ถูกเปิดทิ้งไว้แล้ว
“…”
แต่ในคราวนี้คำทำนายกลับไม่ได้เป็นไปในทางที่ดีแล้ว ซอนยูลขมวดคิ้วมุ่น
ในไพ่ใบแรก มีรูปของราชากำลังถือดาบที่ส่องประกายแวววาว
ไพ่ใบที่สอง เป็นรูปปีศาจหน้าตาอัปลักษณ์
ไพ่ใบที่สาม คือราชินีผมทองผู้ประพฤติตัวเสื่อมเสีย
ไพ่ใบที่สี่ เป็นทางแยกของถนน
ซึ่งปัญหานั้นอยู่ที่ไพ่ใบที่สองและสาม
สำหรับปีศาจหน้าตาอัปลักษณ์ในไพ่ใบที่สองนั้นมักจะหมายถึงอันตรายหรือวิกฤติที่จะเกิดขึ้นกับผู้เป็นเป้าหมายเดิม แต่ปีศาจในไพ่ที่วางอยู่บนโต๊ะนั้นกลับมีสภาพที่น่าเวทนาเหลือเกิน ทั่วทั้งตัวมีแต่รอยแผลเต็มไปหมด เลือดไหลอาบอยู่ทั่วร่างและยังดูเหมือนว่าเขากำลังร้องขอชีวิตทั้งที่ยังนอนคว่ำหน้าราบอยู่กับพื้นอีกต่างหาก
ราชินีในไพ่ใบที่สามยิ่งดูไม่ได้ไปกันใหญ่ มันเป็นรูปวาดที่น่าอายเกินกว่าที่หล่อนจะพูดออกมาได้ และท่าทางของหล่อนดูแตกต่างจากเหล่าราชินีที่มีความสง่างามที่หล่อนเคยเห็นมาราวฟ้ากับเหว
และราชาที่ถูกวาดอยู่ในไพ่ใบที่หนึ่งก็กำลังจ้องมองไปที่พวกเขาพร้อมส่งรอยยิ้มเย็นยะเยือกไปให้ แล้วที่ดาบแวววาวที่เขาถืออยู่ในมือกำลังเล็งไปทางขวานี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่านะ?
“กำลังมีอันตรายที่ไม่รู้ว่าคืออะไร…เข้ามาหามนุษย์และปีศาจอย่างนั้นหรือ และผู้ประทุษร้ายก็คือพระราชา? อะไรกัน…”
หากพระราชาและปีศาจสลับตำแหน่งกัน หล่อนคงพอจะเข้าใจและข้ามไปได้ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นความหมายโดยทั่วไปของไพ่ต่างๆ ก็จะไม่เปลี่ยนไปมากนัก ภายในหัวของหล่อนก็ยังต้องตกอยู่ในความวุ่นวายเพราะไพ่เหล่านี้กลับออกมาไกลจากสามัญสำนึกและความสมเหตุสมผลเข้าไปทุกทีแล้ว
ซอนยูลมองดูไพ่ทั้งสองต่อไปอีกสักพักก่อนจะถอนหายใจยาวออกมาอีกครั้ง และดูหล่อนจะยอมแพ้ให้กับสิ่งที่หล่อนไม่อาจเข้าใจได้เสียที จากการส่ายศีรษะไปมาของหล่อนนั่นเอง
สุดท้ายแล้วดูจะมีเพียงไพ่ใบที่สี่เท่านั้นที่หล่อนพอจะเข้าใจความหมายของมัน ซอนยูลเลียริมฝีปากอย่างขมขื่น
“ทางแยก…”
ทางแยกในไพ่ใบที่สี่นั้นมีความหมายในเชิงอุปมาอุปไมยถึงสถานการณ์ที่ต้องเลือกระหว่างทางใดทางหนึ่ง
แต่มันก็เพียงเท่านี้ สุดท้ายแล้วมันก็ไม่ได้ต่างกับการที่หล่อนไม่สามารถตีความไพ่ใบนี้ได้เลย หล่อนจะต้องตีความไพ่ทั้งสี่ใบแล้วเชื่อมโยงมันเข้าด้วยกัน จึงจะได้เป็นหนึ่งความหมาย แต่หล่อนกลับไม่สามารถทำความเข้าใจไพ่ได้เลยสักใบ เว้นก็แต่ใบนี้ใบเดียวเท่านั้น
เวลาผ่านไปสักพัก สายตาของซอนยูลยังคงจับจ้องไปที่ไพ่อีกสามใบที่ยังปิดอยู่ แม้หล่อนจะมีความกังวลให้เห็นขึ้นมาอีกครั้งแต่สุดท้ายแล้วหล่อนก็เริ่มเปิดไพ่ขึ้นมาทีละใบๆ อย่างช้าๆ
หล่อนข้ามไปยังไพ่ใบที่สิบสาม ในไพ่นั้นเป็นรูปชายคนหนึ่งกำลังนั่งคุกเข่าทั้งที่ถูกมัดอยู่
และต่อมาในใบที่สิบสี่ ก็เป็นไพ่ที่มีรูปทางแยกออกมาอีกครั้ง
“…”
ตอนนี้เป็นไพ่ใบสุดท้ายแล้วจริงๆ ซอนยูลวางมือที่สั่นเล็กน้อยลงบนริมสุดของไพ่ และแล้วหล่อนก็ค่อยๆ พลิกมันขึ้นอย่างช้าๆ ช้ามากจริงๆ
“…!”
เมื่อหล่อนได้เห็นภาพบางส่วนที่วาดอยู่บนไพ่ ดวงตาของซอนยูลที่เคยเรียวเล็กมาตลอด ก็กลายเป็นเบิกโตขึ้นมา