Memorize - เล่มที่ 18 ตอนที่ 15
ที่ราบของบาร์บาร่าช่วงคาบเกี่ยวระหว่างบ่ายกับเย็นกำลังมีแสงแห่งความมืดครึ้มแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งผืน
แน่นอนว่านั่นจะไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด เพราะเหล่าผู้เล่นมีวิธีการที่เรียกว่าพลังเวทซึ่งมีประสิทธิภาพเกินกว่าความมืดจะมากีดกันการมองเห็นของพวกเขาได้
ทำไมถึงไม่เห็นใครเลยนะ
แต่ในตาเปล่าของผมที่ได้เพิ่มพลังการมองเห็นด้วยพลังเวทแล้วกลับมองไม่เห็นใครเลยสักคนเดียว ผมมองไปที่กำแพงเมืองของบาร์บาร่าอีกครั้งก่อนจะคิดด้วยความสงสัย
เมื่อตอนที่ได้ยินเสียงบอกว่าอีกห้านาทีจะถึงบาร์บาร่านั้น เป็นการคำนวณระยะทางโดยใช้ลักษณะภูมิประเทศใกล้เคียงไม่ใช่คำนวณโดยระยะทางที่ห่างจากประตูใหญ่ของเมือง จากมุมมองนี้อาจจะเป็นไปได้ว่าฝั่งตะวันออกได้ไปถึงบาร์บาร่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
พูดให้แน่ชัดเลยก็คือ ฝั่งตะวันออกได้หยุดเดินทัพแล้วโดยทิ้งระยะห่างจากเมืองประมาณสี่หรือห้าร้อยเมตรจากประตูเมืองแล้ว นั่นเป็นเพราะผมรู้สึกถึงเค้าลางที่ผิดปกติได้จากบริเวณโดยรอบบาร์บาร่านั่นเอง
เดิมทีแล้วแผนแรกของเราที่ได้วางเอาไว้คือหาพื้นที่ว่างแล้วตั้งฐานทัพแนวหน้าบริเวณใกล้กับประตูใหญ่ที่แต่ละทัพได้ถูกกำหนดไว้ทันทีที่เรามาถึง แต่เพราะความผิดปกติที่ยังไม่สามารถหาต้นตอได้ ทำให้เราต้องเปลี่ยนแผนมารอเวลาแทนอย่างช่วยไม่ได้
ผมยืนอยู่ห่างจากตรงกลางค่ายสักพักก่อนจะขยับตัวไปข้างหน้าช้าๆ
ที่ด้านหน้าทัพที่สองของเหล่านักธนูและทัพที่สามของเหล่านักเวทกำลังวิ่งวุ่นกันอยู่เลยทีเดียว และเมื่อเดินผ่านพวกเขาไปยังด้านหน้าสุด ผมก็ได้เห็นเหล่าผู้บัญชาการทัพต่างๆ เริ่มด้วยแคลนลอร์ดโครยอ มองจากสีหน้าที่ดูจริงจังเคร่งเครียดของพวกเขาแล้วก็พอจะรู้ได้ไม่ยากว่าคงจะกำลังคุยเรื่องความผิดปกตินี้กันอยู่
ความผิดปกตินั้นก็คือ…
“การตีความเวทมนตร์ไปถึงไหนแล้วครับ”
“แม้จะมีเหล่าผู้เล่นนักธนูที่มีความสามารถในการมองเห็นวิ่งไปมา…แต่คงจะตองใช้เวลาอีกสักพักเลยค่ะ”
มีกลุ่มของเวทมนตร์ขนาดมหึมาถูกวาดขึ้นรอบๆ เมือง และแม้จะยังมองไม่เห็นการสะท้อนกลับของพลังเวท แต่มันก็ต้องใช้เวลานานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในการตีความกลุ่มเวทนี้ เพราะขนาดของมันนั้นใหญ่มากจนสามารถคลุมเมืองทั้งเมืองได้
[มนตร์คาถาโบราณ : ปราการเวทป้องกันขนาดใหญ่]
แน่นอนว่าผมได้ใช้ดวงตาที่สามตรวจสอบมันเรียบร้อยแล้ว ผมเองก็ลังเลว่าควรจะบอกให้พวกเขารู้ด้วยดีหรือไม่ แต่ผมก็สะบัดความคิดนั้นทิ้งไป เพราะดวงตาที่สามก็เป็นหนึ่งในปราการสุดท้ายของผมแล้วเหมือนกัน มันเป็นความสามารถที่หากมีใครรู้เข้าคงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่นอน
“อะ เอ๊ะ? อะไรน่ะ”
“ทำไม นายเห็นอะไร”
“โอ๊ะ ฉันว่ามันกำลังขึ้นมาแล้วนะ”
ในตอนนั้นเอง เมื่อผมมองไปยังสนามรบโดยใช้ผู้ช่วยพิเศษของผมเองนั้น ผมก็กลับรู้สึกว่าเหล่าผู้เล่นรอบตัวผมดูยุ่งวุ่นวายขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง และเมื่อผมหันไปมองว่าเหตุใดพวกเขาจึงเป็นเช่นนั้น ผมก็ได้เห็นเหล่าผู้เล่นแหงนมองขึ้นไปบนกำแพงเมืองกันทีละคนสองคน
มีความคิดบางอย่างแล่นผ่านผมไป ผมหันไปมองที่กำแพงเมืองอย่างรวดเร็วโดยไม่ลืมที่จะเพิ่มพลังเวทด้วย พอผมหันไปมองบนกำแพงโดยเริ่มจากทางซ้ายไล่มา ผมก็มองเห็นกลุ่มคนอยู่ด้านบนกำแพง ในที่สุด นี่คือครั้งแรกที่พวกตะวันตกและพวกเร่ร่อนปรากฏตัวให้เราได้เห็นกัน
แม้จำนวนของเหล่าผู้เล่นที่ตามมาสมทบจะมีไม่มากเท่ากับฝั่งตะวันออก แต่มันก็ยังมากพอที่จะเติมกำแพงเมืองของบาร์บาร่าให้เต็มได้
“ไปบอกแต่ละทัพ ให้หยุดงานทุกอย่างแล้วเตรียมตัวให้พร้อม!”
การตอบสนองของแคลนลอร์ดโครยอต่อการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของฝั่งตะวันตกและพวกเร่ร่อนเองก็รวดเร็วทันใจเช่นเดียวกัน เราต่างอยู่ในระยะที่สามารถสร้างความเสียหายต่อกันได้เพียงแค่ตัดสินใจ และมีความเป็นไปได้สูงว่าเหล่าผู้เล่นที่เข้าไปเพียงลำพังอาจตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีด้วยการยิงลูกศรหรือพลังเวทมาได้
เวลาผ่านไปน่าจะประมาณสิบนาทีได้
วิ้งงง!
จู่ๆ ผมก็รู้สึกถึงการไหลเวียนของพลังเวทมวลมหาศาลจากตรงหน้า
“จับกระแสพลังเวทได้ครับ!”
“ป้องกัน! เตรียมเวทป้องกัน! เพื่อให้ทัพที่สองสามารถยิงได้เลยหลังจากทัพที่สามกับสี่คุ้มกันแล้ว!”
ทันใดนั้น เสียงท่องมนตร์คาถาของเหล่าผู้เล่นในทัพที่สามกับสี่ก็ดังออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน เสียงท่องมนตร์ของเหล่าผู้เล่นนับพันที่ดังขึ้นมาพร้อมกันนั้น ฟังแล้วช่างสง่างามดังเช่นภาพที่แสนงดงามเสียจริงๆ
และในตอนนั้นเอง
หวืดดด ฟุ้บ!
[อ้าๆ ทดสอบการขยายเสียง ทดสอบการแปลภาษา เหล่าผู้เล่นทวีปทางเหนือ พวกท่านได้ยินข้าชัดเจนดีหรือไม่ครับ]
กระแสพลังเวทขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นมาเริ่มแผ่ลามออกไปเป็นวงกว้าง และในเวลาเดียวกันนั้น น้ำเสียงชัดเจนก็ดังก้องกังวานไปทั่วทั้งที่ราบ
[อ้า ฉนได้ยินมาจากข้างๆ ว่าพวกคุณได้ยินผมอย่างชัดเจนเลยนะครับ ฮ่าๆ ผมคือผู้เล่นแห่งทวีปตะวันตก ไซม่อน ไครมส์นะครับ ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบกับพวกคุณ ชาวทวีปทางเหนือครับ]
เสียงพูดจากกำแพงเมืองดังตัดเสียงท่องมนตร์ที่ดังขึ้นในเวลาเดียวกันลงไป
“โจซองโฮ แหล่งกำเนิดของเวทขยายเสียงอยู่ที่ไหน”
“ตรงกลางครับ แต่ท่านสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนผ่านรอยแยก…”
“เรื่องมองเห็นน่ะช่างมันก่อน นายรีบไปบอกผู้บัญชาการของแต่ละทัพให้ใจเย็นลงก่อนแล้วอย่าลดระดับการระวังภัยลงเด็ดขาด และทางเราเองก็ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับเวทขยายเสียงและเวทแปลภาษานี้ไว้ด้วยเช่นกัน”
“เข้าใจแล้วครับ”
ถึงแม้บทสนทนาอย่างเร่งด่วนนั้นจะมีแววตื่นตระหนกแฝงอยู่เล็กน้อย แต่มันก็ชัดเจนแล้วว่าแคลนลอร์ดโครยอเองก็ไม่ใช่ย่อยเลยจริงๆ ซึ่งตามมาตรฐานของผมแล้วผมว่ามันไม่ค่อยน่าพอใจเท่าใดนัก เพราะหากผมเป็นผู้บัญชาการสูงสุดล่ะก็ผมคงจะเลื่อนการพูดคุยอะไรนั่นออกไปก่อนแล้วระดมยิงลูกศรกับพลังเวทปลิวว่อนไปแล้ว ผมคงเอาชนะได้สมชื่อแคลนลอร์ดที่ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งทวีปทางเหนือที่ติดตัวผมอยู่
[อืม พวกคุณไม่ยักตอบอะไรผมเลยแฮะ…ถึงอย่างนั้นก็เถอะ นี่ไม่มีใครจะสามารถตอบผมได้สักคนเลยหรือครับ ผมมีคำแนะนำมาให้พวกคุณอย่างเป็นทางการข้อหนึ่งด้วยนะครับ]
[พูดมาสิ]
หลังจากนั้น น้ำเสียงจริงจังของแคลนลอร์ดโครยอลอร์ดก็กล่าวตอบไซม่อนไป
[โอ้ ได้ยินแล้วครับ แต่เดี๋ยวก่อนนะครับ ผมขออนุญาตทราบชื่อท่านที่ผมกำลังพูดด้วยอยู่ตอนนี้ก่อนที่ผมจะบอกท่านได้หรือไม่ครับ]
[นายไม่ต้องรู้หรอก ฉันเพียงต้องการให้นายบอกข้อเสนอของนายมาก็เท่านั้น]
[คนเกาหลีนี่ใจร้อนกันจริงๆ เลยนะเนี่ย ไม่ยืดหยุ่นเอาเสียเลยนะ ยืดหยุ่นน่ะ หึๆ]
แล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะเล็กๆ ก็ดังตามมา
แต่มันก็ไม่ได้รบกวนอารมณ์ผมมากนัก ผมว่ามันฟังดูชัดเจนและนุ่มนวลเกินกว่าที่จะบอกว่าเขากำลังอารมณ์ไม่ดี
[ถ้าเช่นนั้นผมก็จะบอกข้อเสนอของผมให้ท่านทราบโดยเร็วตามที่ท่านต้องแล้วกันนะครับ อ้า จริงๆ แล้วมันไม่มีอะไรเลยครับ ก็แค่เหล่าคุณๆ จากทวีปทางเหนือเพิ่งจะมาถึงกันเมื่อสักครู่นี้เอง เหตุใดจึงไม่พักผ่อนเอาแรงกันเสียสักวันหนึ่งล่ะครับ]
[นี่นายกำลังพูดอะไร]
[เพราะผมคิดว่าพวกท่านช่างทำงานกันหนักมากจริงๆ อุตส่าห์เดินทางกันมาตั้งไกลเชียวนะครับ อย่างไรเสียวันนี้ก็มืดค่ำแล้ว…คุณว่าอย่างไรล่ะครับ]
[ไร้สาระสิ้นดี]
แคลนลอร์ดโครยอปฏิเสธข้อเสนอของไซม่อนอย่างง่ายดาย แต่เขาก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสบายๆ ราวกับคาดเดาการตอบสนองเช่นนี้เอาไว้อยู่แล้ว
[ฮ่าๆ ทำกันเกินไปแล้วนะครับ แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ได้แสดงไมตรีให้ผมได้เห็นล่ะนะ บอกตามตรงว่ามันไม่ได้สำคัญอะไรกับพวกผมเท่าไหร่นักหรอกครับ เพราะพวกเราเตรียมพร้อมทุกอย่างหมดแล้ว และผมก็ยึดเมืองได้แล้วโดย ไร้ การ,นอง เลือด …เฮ้อ ด้วยล่ะครับ]
การเข้ายึดโดยปราศจากการนองเลือด ความหมายของคำนี้ช่างยิ่งใหญ่นัก และจู่ๆ มันก็กลับทำให้ผมคิดขึ้นมาว่าหรือไซม่อนจะเฝ้าคอยเวลานี้มาตลอดกัน เพราะผมคิดว่าการที่เขาเลือกที่จะพูดคำศัพท์เฉพาะที่ไม่คุ้นหูขึ้นมา น่าจะมีจุดประสงค์ให้มันมากระทบขวัญกำลังใจของพวกเราเป็นแน่
แต่มีอยู่ข้อหนึ่งที่ไซม่อนได้มองข้ามไป นั่นก็คือฝั่งตะวันออกรู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้วเมื่อไม่นานมานี้จากพวกเร่ร่อนที่พยายามจะปลอมตัวเป็นเหล่าผู้เล่นนั่นเอง
นี่ผู้เล่นฝั่งตะวันตกกับพวกเร่ร่อนไม่มีการคุยกันเลยอย่างนั้นเหรอ
จริงอยู่ที่จุดนี้ก็ไม่ได้มีอะไรที่น่าสงสัย เพราะมันยังพอเข้าใจได้หากว่าพวกเร่ร่อนกระทำการนั้นโดยพลการ
และแล้วเสียงของแคลนลอร์ดโครยอก็ดังขึ้นมาให้ผมได้ยิน
[เกิดอะไรขึ้นกับพวกที่ยอมแพ้]
[เอ๋? ครับ ครับ มีแน่ครับ ไม่ว่าจะเป็นท่านสุภาพบุรุษหรือสุภาพสตรีก็ตามแต่ พวกเขาทำให้เราไม่ต้องนั่งเบื่อระหว่างที่กำลังรอพวกท่านน่ะครับ]
[หืม อย่างนั้นหรือ]
[หืม…?]
หางเสียงที่สูงขึ้นของเขาทำให้ผมคิดว่าไซม่อนอาจจะเกิดความสงสัยกับท่าทีที่ดูนิ่งเฉยของทางฝั่งตะวันออก
แคลนลอร์ดโครยอพยักน้าขึ้นลงครั้งสองครั้งอย่างจงใจ ก่อนจะพูดออกมาเรียบๆ
[เอาล่ะ เข้าใจแล้ว เอาเป็นว่าฉันได้ฟังข้อเสนอของนายเป็นอย่างดีแล้วนะ]
[โอ้ ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าคุณยอมรับฟังหรือครับ]
[มันก็ดีนะ ฉันก็ต้องรับฟังด้วยความขอบใจอยู่แล้วล่ะ ถ้าอย่างนั้นคืนนี้เราก็พักผ่อนกันก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยมาเจอกันก็แล้วกันนะ]
ท้ายประโยคแคลนโครยอก็หันกลับมาก่อนจะพูดกับเหล่าผู้เล่นที่กำลังร่ายมนตร์กันอยู่
“ปิดเวทขยายเสียงกันเสียเดี๋ยวนี้”
“อ้า เข้าใจแล้วครับ แต่ท่านลอร์ดครับ ท่านคิดจะรับข้อเสนอของเจ้าคนที่ชื่อไซม่อนนั่นจริงๆ หรือครับ”
“ไม่มีทางเสียล่ะ ฉันได้ยินมาว่าพวกตะวันตกค่อนข้างจะบ้าบอกัน ก็เป็นบ้าจริงๆ นั่นล่ะ เริ่มตีความเวทกันใหม่ได้เลย แล้วก็ไปบอกทัพที่สอง,สาม และสี่ให้เตรียมตัวสำหรับการซุ่มโจมตีในคืนนี้ด้วย”
ดี นี่แหละถึงจะสมกับเป็นแคลนลอร์ดโครยอ
[อ้า สักครู่นะครับ มีนักพเนจรท่านหนึ่งต้องการจะบอกอะไรบางอย่างกับท่านน่ะครับ ก่อนอื่นผมจะขอหลีกทางให้เขาก่อนแล้วกันนะครับ]