Memorize - เล่มที่ 18 ตอนที่ 16
ในตอนนั้นผมก็ได้ยินเสียงไซม่อนดังขึ้นมาดึงความสนใจของเราอีกครั้งราวกับว่าเขายังไม่ได้ปิดเวทขยายเสียง เสียงนั้นทำให้ผมต้องเพิ่มพลังเวทที่ตาแล้วจดจ่อมากยิ่งขึ้น เพราะบางทีกลุ่มคนที่อยู่บนกำแพงเมืองอาจจะทำให้ผมพอรับรู้อะไรบางอย่างได้
[เราไม่ค่อยมีโอกาสได้คุยกันเท่าไหร่นัก ดังนั้นผมขอถามอะไรอย่างหนึ่งนะ เหล่าผู้เล่นทั้งหลาย]
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้มองดูอย่างละเอียด ก็มีเสียงที่ทั้งต่ำและหยาบกระด้างดังขึ้นมาเสียก่อน มันไม่ใช่ลักษณะการแปลที่ไม่เข้ากันแบบเมื่อสักครู่ แต่กลับเป็นภาษาที่ฟังดูคุ้นเคย
เกิดความเงียบขึ้นมาอย่างนั้นสักพักก่อนจะมีเสียงแผ่วเบาดังขึ้นตามมา
[มีผู้เล่นที่เป็นแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่อยู่ที่นี่ตอนนี้หรือเปล่า]
ผมรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะเพราะไม่คาดคิดว่าจะมีใครถามหาผม เหล่าผู้เล่นรอบตัวผมก็คงจะรู้สึกแบบเดียวกันจึงได้พร้อมใจกันหันมามองทางผมเป็นตาเดียว พร้อมด้วยความวุ่นวายเล็กๆ
“แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ลอร์ดงั้นเหรอ ทำไมจู่ๆ หมอนั่นถึงได้…”
“ผมอยู่นี่ครับ”
ผมออกมายืนอยู่ที่แถวหน้าสุดเรียบร้อยแล้วเช่นกัน ผมยกมือขึ้นตอบพร้อมๆ กับที่ได้ยินเสียงพึมพำของแคลนลอร์ดโครยอมาจากที่ใกล้ๆ
“หืม สุดท้ายก็มาอยู่ตรงนี้จนได้สินะครับ ผมคิดว่าคำว่านักพเนจรนั้นคงจะหมายถึงพวกเร่ร่อนแน่ๆ ดังนั้นถ้าคุณไม่อยากตอบก็ไม่ต้องตอบก็ได้นะครับ”
“ผมอยากตอบครับ”
“เข้าใจแล้วครับ ถึงอย่างนั้นก็อย่าพูดอะไรลึกเกินไปเลยนะครับ เจ้าพวกนี้มันตัวอันตราย”
ผมพยักหน้าให้คำแนะนำของแคลนลอร์ดโครยอ ก่อนเขาจะหันไปส่งสายตาให้กับนักเวทที่ยืนอยู่ข้างกาย และแล้วเราก็สามารถรับรู้ได้ว่าเวทขยายเสียงได้ถูกเปิดใช้งานอีกครั้งด้วยการร่ายมนตร์เพียงสั้นๆ
[นายคือแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่งั้นเหรอ]
ดูเหมือนพวกเขาจะเห็นเราได้อย่างชัดเจนจากกำแพงเมืองเพราะทันทีที่ผมก้าวออกมาด้านหน้า เสียงทุ้มต่ำก็เริ่มพูดกับผมทันที
[แต่ว่า]
[นายจากมิวล์มาโดยทิ้งความวุ่นวายมหาศาลเอาไว้ ช่างน่าประทับใจเสียจริง]
[ดูนายจะเข้าใจความหมายของคำว่าวุ่นวายนั้นผิดไปนะ นักพเนจร]
[…คิก]
หากเขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่มิวล์…เขาจะได้ยินข่าวลือนั่นไหม หรือได้ข้ามมาโดยใช้วาร์ปเกตหรือเปล่า
คำพูดของเขาทำให้ผมสงสัย แต่ผมก็ตัดสินใจปล่อยมันไปก่อน
[ดี งั้นฉันขอถามนายข้อหนึ่ง ตอนนั้นมีลูกน้องของฉันสะกดรอยตามนายไป ตอนนี้พวกเขาเป็นยังบ้างแล้ว]
[ตายแล้ว]
[มีใครเหลืออยู่บ้างไหม หมดเลยงั้นเหรอ]
แม้เสียงที่ถามกลับมาจะยังคงทุ้มต่ำและสบายๆ แต่กลับรู้สึกว่ามันแฝงไปด้วยความโกรธ
ผมไม่รู้ว่าพวกเขารู้เรื่องนี้มากขนาดไหน แต่สิ่งที่สำคัญคือพวกเขาถูกจับมาเป็นเชลยและโดนสำเร็จโทษต่อหน้าสาธารณะ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่ผมจะบอกรายละเอียดอะไรกับเขา
[ใช่ ตายหมดแล้ว]
[ยะ…]
เสียงของพวกเร่ร่อนหยุดอยู่ที่คำว่า ‘ยะ’ เขาน่าจะอยากพูดอะไรบางอย่างออกมา ดูจากการที่ท้ายคำพูดค่อนข้างคลุมเครือ แต่เพราะตอนนี้มีคนกว่าสามหมื่นคนที่ฟังอยู่ มีสายตาที่คอยจับจ้องอยู่มากเกินกว่าที่จะถามเรื่องส่วนตัว ไม่รู้ว่าทำไมแต่ผมคิดว่าเขาคงอยากจะถามถึงแพคซอยอน
[…อย่างนั้นเองสินะ เข้าใจแล้ว ขอบใจนะที่ตอบคำถามของฉัน แม้ว่าเราจะเป็นศัตรูกันก็ตาม]
[หมดธุระแล้วใช่ไหม]
[ใช่ จบแล้ว และเพื่อเป็นการตอบแทนสิ่งที่นายบอกมา ฉันจะบอกอะไรดีๆ ให้นายบ้างก็แล้วกัน]
อะไรดีๆ งั้นเหรอ
ไม่ใช่เพียงแค่การมองเห็นแล้ว แต่ตอนนี้ผมได้เพิ่มพลังให้กับประสาทสัมผัสทั้งหมดของผมด้วย และเมื่อผมกลับไปมองที่กำแพงเมืองอีกครั้ง ผมก็ได้เห็นท่อนไม้ยาววางขัดไว้ระหว่างกำแพง หากจะมีสิ่งหนึ่งที่โดดเด่นขึ้นมาก็คงจะเป็นตรงปลายไม้ที่มีวัตถุทรงกลมทื่อๆ ติดเอาไว้ด้วย
“ระวังตัวเอาไว้ด้วยนะครับแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ นักเวท! ปิดเวทขยายเสียง…”
เหมือนแคลนลอร์ดโครยอจะพูดอะไรต่อไปอีกแต่มันไม่เข้าหูผมแล้ว เพราะประสาทสัมผัสทั้งหมดของผมตอนนี้มันไปกองรวมกันอยู่ที่แท่งไม้พวกนั้นหมดแล้ว เสาไม้ที่เคยตั้งตรงในคราวแรกค่อยๆ เอียงลงช้าๆ จนเป็นแนวระนาบแล้วจึงค่อยๆ เอียงไปทางด้านขวายิ่งขึ้นอีก จนสุดท้ายในตอนนี้มันก็เล็งเป้ามาที่ผมเรียบร้อยแล้ว
เสาไม้ถูกดึงกลับไปข้างหลังให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ราวกับกำลังเตรียมพร้อมที่จะพุ่งออกมาข้างหน้าอย่างเต็มแรง
[แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ นี่คือของขวัญสำหรับความวุ่นวายในครั้งนั้น ฉันมั่นใจว่าพวกนายต้องชอบแน่ถ้าได้เห็นมัน ฮึ!]
และในตอนนั้นเองมันก็ถูกยิงออกมาเต็มแรง
สวบบบ!
เป็นเพราะผมเปิดประสาทสัมผัสทั้งหมดหรือเปล่านะ เสียงของแท่งไม้ที่ถูกยิงตรงมาทางผมจึงได้ฟังดูแสบแก้วหูขนาดนี้ แต่เนื่องจากผมได้เฝ้ามองการกระทำพวกนั้นมาก่อนอยู่แล้วผมจึงกำคาลิโก อาบรักซัสขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ผมไม่รู้หรอกว่ามันจะจบลงอย่างไร แต่ผมจะไม่ยอมตกอยู่ในสภาวะนี้แน่
ระยะห่างในตอนแรกนั้นประมาณสี่ถึงห้าร้อยเมตร แต่ถึงอย่างนั้นเสาไม้ก็ลดระยะห่างลงมาอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ผมกะพริบตาแค่ทีเดียวมันก็เข้ามาอยู่ในระยะประชิดเสียแล้ว
ในตอนนั้นผมก็กะประมาณระยะคร่าวๆ ก่อนจะค่อยๆ คุกเข่าลง และเมื่อเสาไม้พุ่งเข้ามาในระยะ ผมได้วางแผนว่าจะฟันมันด้วยดาบ
ทันใดนั้น
วูบ!
จู่ๆ ก็มีแสงสว่างวาบขึ้นมา
หืม?
แสงสว่างนั้นปรากฏขึ้นมาแล้วก็หายไปในพริบตาเดียว
จากนั้นจึงได้เกิดความวุ่นวายเล็กๆ ตามมา
ถ้าหากว่าใช้ตาเปล่ามองผมอาจจะเห็นมันได้อย่างเลือนราง แต่ผมสามารถจับภาพมันได้อย่างชัดเจนเพราะได้กระตุ้นพลังการมองเห็นเรียบร้อยแล้ว ดวงไฟที่ส่องแสงสว่างจ้าพุ่งเข้าไปหาปลายของเสาไม้ราวกับลูกศร
ใช่แล้ว มันเหมือนแสงแฟลช
เสาไม้ที่กำลังลอยมาบนฟ้าด้วยความเร็วถูกระเบิดไปทั้งที่อยู่กลางอากาศแบบนั้น ของเหลวสีแดงเข้มกระจายอยู่ทั่วบนนั้นพร้อมกับเศษชิ้นส่วนต่างๆ ที่ถูกระเบิดออกมา แต่สิ่งที่ติดอยู่ที่ปลายของเสาไม้กลับดูละม้ายคล้ายกับชิ้นส่วนของมนุษย์ และเป็นไปได้สูงมากว่าจะเป็นส่วนศีรษะ
ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นหัวใครก็เถอะ
ผมเลิกคิดเรื่องศีรษะนั้นก่อนจะหันมาสนใจตัวเอกที่ยิงลูกศรนั้นแทน ถึงแม้ว่าจะพอเดาได้แต่ผมก็ยังหันไปมองเพื่อยืนยันอีกครั้ง ทันใดนั้น ไม่ไกลจากที่ผมอยู่ ผมมองเห็นหญิงสาวคนหนึ่งที่ดูคุ้นเคยแต่กลับให้ความรู้สึกที่ดูแปลกไป
ใบหน้าอ่อนโยนและรอยยิ้มเป็นมิตรที่หล่อนมักจะมีมันอยู่เสมอ มาตอนนี้มันได้หายไปหมดแล้ว อิมฮันนากำลังจ้องเขม็งไปยังกำแพงเมืองอย่างดุดันด้วยดวงตาที่เบิกโตขึ้น ในมือข้างซ้ายของหล่อนยังถือลอร่า ฟีลิสเอาไว้อีกด้วย
วูบ! โฟ่ว!
มันเป็นคันธนูที่ไม่มีทั้งสายธนูและลูกธนูแต่ในตอนนั้นเองก็มีลูกศรที่มีแสงสว่างสวยงามเกิดขึ้นมาใหม่อีกดอกหนึ่ง ดูเหมือนอิมฮันนาจะกำลังโกรธอย่างมาก หล่อนแสดงท่าทางราวกับจะแยกผืนธรณีออกเป็นสองที่ปลายสุดของลูกศรนั้น
“ผู้เล่นอิมฮันนา พอเถอะครั…”
ครืน ครืนนน
ผมกำลังจะสั่งให้หล่อนหยุดเพราะคิดว่าลูกเดียวก็คงจะเพียงพอแล้ว แต่ในตอนนั้นเองจู่ๆ ก็มีเสียงเหมือนฟ้าร้องดังสนั่นราวกับก้อนเมฆพุ่งชนเข้าหากันสั่นไหวสะเทือนไปทั่วทั้งสี่ทิศ
ผมรีบหันไปมองทางกำแพงเมืองทันที ครั้งนี้กลับตรงข้ามกัน เพราะที่กำแพงนั้นผมเห็นความเคลื่อนไหวที่ดูโกลาหลกันเสียเหลือเกิน
อะไรกันอีก…
และก่อนที่ผมจะทันได้ยืนยันคำสั่งเพื่อบอกให้หยุด
เปรี้ยง! เปรี้ยงงง!
ผมมองเห็นสายฟ้าเส้นใหญ่ฟาดเปรี้ยงลงมาจากท้องฟ้าอันมืดมิดเป็นรูปฟันปลา
* * *
เปรี้ยง! ตู้ม!
“แม่ง!(Shit!)”
เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นจนเกิดเป็นเสียงวิ้งๆ อยู่ในหู ไซม่อนยกมือทั้งสองขึ้นกุมหัวด้วยความตกใจ หลังจากแสงแปลบปลาบที่ตามมา เขาก็หันไปมองทางด้านข้างพร้อมทำจมูกฟุดฟิดเพราะกลิ่นควัน
“โอ้ว พระเจ้าช่วย (Oh my god)…”
แม้จะเป็นเวลาแค่ชั่วพริบตา แต่เขาก็สร้างเกราะป้องกันเอาไว้ได้ทันก่อนที่ฟ้าจะผ่าลงมา แต่เกราะนั้นก็ถูกผ่าออกในชั่วพริบตาเช่นกัน และสายฟ้าก็ได้ฟาดเข้าไปที่กำแพงเมืองอย่างแรง
ผลก็คือคนมากมายส่งเสียงครวญครางออกมาพร้อมกับควันโขมงสีดำที่กระจายไปทั่วทั้งบริเวณนั้น
ด้วยความที่เป็นเมืองใหญ่ จึงทำให้ขนาดและความหนาของกำแพงเมืองนั้นทั้งหนาและแข็งแกร่งเกินกว่าจะสามารถอธิบายได้ แต่ฟ้าที่ผ่าลงมาก็ทำให้เกิดเป็นรูลึกอยู่บนกำแพงเมืองและในตอนนี้ก็ยังคงมีควันสีดำลอยโขมงออกมาอยู่
ไซม่อนกลืนน้ำลายลงคอด้วยความงุนงงและเมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีการโจมตีอะไรเข้ามาเพิ่มอีก เขาก็ถอนหายใจออกมาทางปากด้วยความโล่งอก
“เฮ้อ”
“ขอโทษทีนะ ขอโทษที่ฉันทำอะไรไปตามอำเภอใจ ไซม่อน ไครมส์”
ในตอนนั้นเอง ฮยอนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พูดกับไซม่อน ใบหน้าของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเขม่าซึ่งเป็นผลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จากการเกิดฟ้าผ่า
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ท่านนักพเนจร ผมเองก็ไม่คิดว่าพวกที่อยู่ด้านนอกกำแพงนั่นจะยอมรับข้อเสนอของผมเหมือนกันครับ”
“ขอบใจมากนะที่คิดแบบนั้น”
“ผมเคยได้ยินมาว่าหากจะได้รับการยอมรับในฐานะคลาสนักเวท การกักขังฉับพลันและเวทมนตร์ย้อนกลับถือว่าเป็นสิ่งจำเป็น…เฮ้อ สงสัยจะจริงสินะ”
“…”
“อย่างไรก็แล้วแต่ ท่านนักพเนจร ไม่ใช่ว่าท่านมีอะไรจะพูดกับผมหรอกหรือครับ”
“จะพูด?”
เมื่อฮยอนถามกลับไปด้วยความสงสัย ไซม่อนก็พยักหน้ารับ
“ผมเพียงรู้สึกว่าสถานการณ์ตอนนี้มันชักจะแปลกๆ แล้วนะครับ”
“อะไรแปลกล่ะ ฉันอยากให้นายพูดให้มันชัดๆ กว่านี้หน่อยนะ”
“หลายอย่างเลยครับ จำนวนคนที่มาที่นี่ดูจะน้อยกว่าที่ผมคิดเอาไว้..แล้วไหนจะตอนที่ผมพูดว่าไร้, การ, นอง, เลือดพวกเขาก็ดูไม่ค่อยตระหนกตกใจกันเท่าไรด้วยนะครับ ผมเองก็พูดถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปมากมาย แต่พวกเขาก็ดูเหมือนจะรู้สถานการณ์ของฝั่งเราอย่างดีเลยทีเดียวครับ”
“…”
“เดิมทีแล้วสถานการณ์ไม่ใช่อีกแบบหนึ่งหรือครับ ผมคิดว่าคุณส่งสายลับเข้าไปอยู่กับคนพวกนั้นเสียอีก อ้อ คุณภาพของสนามรบก็ไม่ใช่เหตุผลด้วยนะครับ เพราะตอนนี้มันถูกปลดปล่อยหมดแล้วน่ะครับ”
แม้ในบางบริบทจะแปลกไปบ้างเพราะเวทแปลภาษายังไม่ค่อยสมบูรณ์นักแต่ก็พอจะเข้าใจได้
แต่ฮยอนก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับออกไป เขาเพียงปิดปากเงียบไม่พูดไม่ตอบอะไรก็เท่านั้น
“คุณเพิ่งข้ามมาจากมิวล์ได้ไม่นานจึงอาจจะยังไม่ทราบ อย่างไรก็ตาม ผมเข้าใจแล้วล่ะครับ และต่อจากนี้ไปช่วยกรุณาแก้ไขการทำอะไรตามใจตนเองหน่อยนะครับ”
“…เข้าใจแล้ว”
ฮยอนตอบรับก่อนจะก้าวหนักๆ หันหลังกลับไปอีกทาง
แต่เมื่อเขาหันหลังกลับและมองออกไปภายนอกกำแพงเมือง ก็ได้เห็นว่าฝั่งตะวันออกเริ่มมีการเคลื่อนไหวช้าๆ แม้บางส่วนจะยังคงอยู่ที่เดิมแต่กลับมีบางคนที่เคลื่อนย้ายไปยังทิศทางอื่นๆ
ขณะที่เขาค่อยๆ ก้าวเท้าไปยังภาพที่เห็นนั้นเอง ก็พลันมีเสียงเย็นชาดังมาจากด้านหลังของฮยอน
“ไม่ใช่แค่คุณ แต่ผมหมายถึงพวกเร่ร่อนทั้งหมดนะครับ หากยังมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกครั้ง…เราจะกลับไปผ่านทางวาร์ปเกต แม้แผนทั้งหมดจะถูกล้มเลิกแล้วก็ตามนะครับ”
ในตอนนั้นเอง เท้าของฮยอนก็หยุดลงในทันที