Memorize - เล่มที่ 18 ตอนที่ 20
ผมอยากใช้เวลาทำความเข้าใจสถานการณ์นี้อีกสักหน่อย แต่เจ้ามังกรไฟดูจะไม่เหลือเวลาให้ผมทำเช่นนั้น หนำซ้ำยังกระพือปีกให้เร็วขึ้นอีกราวกับจะไม่เหลือเวลาให้เราได้รับมือใดๆ เลย ก่อนจะค่อยๆ ลดระดับลงมาจนอยู่ระนาบเดียวกันกับที่ราบแล้วโฉบเข้ามาที่ด้านข้างของกระบวนทัพ
โฟ่ววว!
สะเก็ดไฟจากตัวของมันทำให้เกิดไฟลุกลามเป็นทางขนาดใหญ่ เปลวไฟที่เริ่มลามไปเรื่อยๆ กินพื้นที่ใหญ่ขึ้นเพียงแค่พริบตาเดียว ผมเองก็ซ่อมดาบที่พังคามือตั้งแต่เมื่อสักครู่แล้วกำไว้แน่นเบื้องหน้าเปลวเพลิงที่ลุกลามใกล้เข้ามา
ในการต่อสู้ที่ผลัดกันรุกและรับไปมาตลอดสามวันมานี้ ผมแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะทุกคนต่างมีหน้าที่ของตนเอง หน้าที่ของผมคือการเฝ้ามองสถานการณ์จากข้างหลังไม่ใช่การยกโล่กำบังขึ้นมา อย่างไรก็ตามจากการที่ผมถูกรวมเข้าไปอยู่ในกลุ่มสำหรับเตรียมรับมือกับตัวแปรที่อาจเกิดขึ้น ก็ดูเหมือนว่าจะได้เวลาจ่ายค่าข้าวเขาแล้วแหละ ถ้าพูดถึงการตัดเวทล่ะก็ ผมนี่แหละผู้เชี่ยวชาญ
“คะ แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่!”
ผมได้ยินเสียงของนักดาบที่เรียกผมอยู่ แต่ก็ยังคงจากมา
ผมวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่แรงทั้งหมดของผมจะเร็วได้เพื่อไปให้ถึงฝั่งตะวันตก มันกำลังใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว ทันทีที่ผมได้เห็นกองเพลิงที่ลุกไหม้ปรากฏอยู่ตรงหน้า ผมก็รู้สึกว่ามีพลังน่าสยดสยองบางอย่างกดดันไปทั่วทั้งตัว
นี่มันอาจจะอันตรายไปหน่อยนะ…
ผมไม่มีทางเลือกอื่นเลยนอกจากต้องเปลี่ยนใจจากที่คิดจะใช้พลังเวทเพียงอย่างเดียวในตอนแรก แม้ใจผมจะสั่นเพราะดูท่าไฟจะปะทุมากกว่าที่คิดไว้ แต่ก็รีบตั้งสติในทันที
ปลุกพลังที่แฝงอยู่ในใจขึ้นมาให้ผมต้านกับไฟที่กำลังลุกไหม้เข้ามาทุกที ผมเลือกที่จะติดตั้งเกียรติยศแห่งวิคตอเรียและตั้งให้มันพุ่งเป้าไปยังกลางลำตัวของเจ้ามังกร ทั้งผมและมังกรต่างฝ่ายต่างลดระยะลงเข้าหากัน นั่นทำให้ระยะห่างของพวกเราลดลงอย่างรวดเร็ว ยิ่งผมเข้าไปใกล้มันมากเท่าไรความร้อนก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นสูงมากเท่านั้น
และเมื่อเกียรติยศแห่งวิคตอเรียกำลังจะไปถึงเปลวไฟที่เจ้ามังกรได้สร้างขึ้นนั้นเอง
พรึ่บ! พรึ่บ!
[อย่าไปแตะต้องมัน]
ทันใดนั้น บางสิ่งบางอย่างที่หลับใหลอยู่ในใจผมก็…
[นั่นเป็นเพลิงมังกรชั้นต่ำ]
เปลวไฟนั้นเริ่มปะทุขึ้นมาราวกับกำลังร้องคำราม
* * *
ห้องอัญเชิญ ฮอลล์เพลน
แท่นพิธีรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าถูกวางตั้งไว้อย่างโดดเด่นที่ตรงกลางห้องภายใต้หลังคาทรงโค้งสีเทา
บนแท่นพิธีสีขี้เถ้าตรงกลางนั้นมีทูตสวรรค์ผู้เลอโฉมคนหนึ่งนั่งอยู่โดยไม่ไหวติง หล่อนผู้นั้นคือเซราฟนั่นเอง การเคลื่อนไหวเพียงอย่างเดียวที่มีคือปีกสีขาวที่สะบัดไปมาบ้างเป็นครั้งคราวเท่านั้น หล่อนหลับตาอย่างแผ่วเบาและมีสีหน้าหน้าที่ตกอยู่ในความวิตกกังวลราวกับถูกฝังอยู่ในความเงียบงัน
“โอ้ เหตุใดจึง…”
ในตอนนั้นเองดวงตาที่เคยหลับอยู่นิ่งๆ ก็เปิดโพลงขึ้นในทันใด เผยให้เห็นนัยน์ตาสีหยกที่เคยหลบซ่อนอยู่ภายใต้เปลือกตาบาง ดวงตาคู่นั้นของเซราฟที่เบิกโพลงเพราะตระหนกกับความเป็นจริงบางอย่างที่หล่อนได้รับรู้ทำให้มีประกายสั่นไหวเล็กน้อย
“ทำไมต้องตอนนี้ เหตุใดฮวาจองจึงรู้สึกตัว…”
หล่อนดูสับสนเป็นอย่างมาก เซราฟไม่สามารถพูดได้จนจบประโยคจนตรงกลางประโยคออกจะคลุมเครือไปพอสมควร ปีกบางกระพือแรงขึ้นโดยที่หล่อนเองก็ไม่รู้ตัว น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเต็มไปด้วยความกังวลที่กักเก็บเอาไว้ไม่มิด
“ไม่ได้นะ นี่มันยังไม่ใช่เวลาที่จะ…”
แต่แล้วหล่อนก็รู้ตัวว่าหล่อนไม่สามารถทำอะไรได้ทั้งนั้น บนใบหน้าของทูตสวรรค์มีเพียงความเศร้าสลดปรากฏอยู่
“ซูฮยอน…”
ชื่อของใครบางคนดังออกมาจากปากสวยได้รูป แม้หล่อนจะรู้ดีว่าเขาคงไม่ได้ยิน เขาไม่มีทางที่จะได้ยิน แต่น้ำเสียงของหล่อนก็แฝงไว้ด้วยความเศร้าเสียใจอย่างสุดซึ้ง
เซราฟหลับตาลงอีกครั้ง ยกมือทั้งสองขึ้นจับกันไว้แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ
“ช่วยเลือกทางที่ดีด้วยเถอะนะ…”
* * *
เมื่อผมกำลังตกอยู่ในอันตราย
ในตอนนั้นเอง เพียงแค่ก่อนที่เกียรติยศแห่งวิคตอเรียจะไปถึงตัวมังกรเท่านั้น ทุกๆ อย่างก็พลันหยุดนิ่งลง
ตึกตัก ตึกตัก
วันนี้หัวใจผมกลับเต้นดังกว่าที่เคย
ผมมั่นใจ เสียงที่ได้ยินเมื่อครู่นั่นมัน…
ก่อนจะเกิดการปะทะ ผมรู้สึกได้ว่าพลังที่แฝงอยู่ในใจมันปะทุขึ้นมาอย่างท่วมท้น แต่หลังจากนั้นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกลับอยู่นอกเหนือจากความคาดหมายของผมโดยสิ้นเชิง
โลกที่เวลาหยุดหมุน เสียงที่ไม่คุ้นเคยแต่กลับรู้สึกเคยคุ้น และหัวใจที่เต้นอย่างรุนแรงมาตั้งแต่เมื่อสักครู่นี้
ผมหลับตาลงโดยไม่รู้ตัวเพราะสถานการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นมากะทันหัน ค่อยๆ หายใจเข้าไปช้าๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง หายใจเข้าอีกครั้งเพื่อข่มให้ใจที่กำลังตื่นเต้นได้สงบลงบ้าง หลังจากปรับอารมณ์ให้เข้าที่อยู่สักพักผมถึงลืมตาขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง และในทันทีนั้นผมก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว
“อ้า…”
ไม่ใช่ว่าโลกหยุดหมุน มันเป็นเพียงความเข้าใจผิดของผมเท่านั้น เวลายังคงดำเนินต่อไปจนถึงตอนนี้ตั้งแต่ที่ผมได้ยินเสียงนั้นในหัว แต่มีอยู่เพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่หยุดลง นั่นก็คือเจ้ามังกรไฟที่บินเข้ามาและทำให้เกิดไฟลุกไหม้ตัวนั้นนั่นเอง
[อย่าบื้อนักสิ เฮอะ เจ้าโง่]
ติ๊ง!
มีเสียงดังขึ้นในหัวของผมอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไรกลับไปก็มีหน้าต่างข้อความอันหนึ่งเด้งขึ้นมากลางอากาศเสียก่อน
[การรู้สึกตัวของฮวาจองขั้นที่ 1, ประกาศอาณาเขต (Area Declared) – ‘การแต่งตั้งยศโบราณ’ เริ่มแล้ว]
ฮวาจอง? รู้สึกตัว?
พอผมอ่านข้อความนั้นจบก็ได้แต่สงสัย ถึงจะเรียกว่าการรู้สึกตัวของฮวาจองก็เถอะ แต่ก็เป็นการรู้สึกตัวอย่างกะทันหันที่ไม่มีเค้ามีลางอะไรให้เห็นมาก่อนเลยด้วยซ้ำ ผมทำเพียงเลียริมฝีปากเงียบๆ ให้กับสถานการณ์ที่ไม่รู้ที่มาที่ไปนี้
[ทำไมถึงเอาแต่ยืนบื้ออยู่แบบนี้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้าคุยกับเจ้าเสียหน่อย อืม ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งที่สามได้แล้วล่ะมั้ง?]
นี่คือ…เสียงของฮวาจองอย่างนั้นเหรอ
[ครั้งที่แล้วก็แบบนี้ ครั้งนี้ก็ยังจะช้าอีก เจ้าโง่เอ๊ย]
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไม่สิ ทำไมจู่ๆ ก็ออกมาแบบนี้
มันน่ามหัศจรรย์อยู่ที่ฮวาจองกำลังพูด แต่ผมเลือกที่จะผลักความสงสัยนั้นออกไปก่อน ตอนนี้เรารู้เพียงแค่ว่ามันเกิดอะไรขึ้นเท่านั้นแต่สิ่งที่เราจะต้องรู้ให้ได้ก็คือ ‘ทำไม’ มันถึงเกิดขึ้น
แต่เหมือนว่าฮวาจองจะไม่คิดเช่นนั้น เพราะคำตอบที่ตอบกลับผมมานั้นไกลห่างจากความคาดหวังของผมไปมาก
[ไว้ข้าค่อยอธิบายทีหลังแล้วกัน ตอนนี้แทบจะไม่มีเวลาแล้ว]
แทบจะไม่มีเวลาอย่างนั้นเหรอ
[ถึงมันจะเป็นการประกาศตามใจข้าเองแต่ว่า…จะอย่างไรก็เถอะ ตอนนี้พื้นที่บริเวณนี้ทั้งหมดอยู่ในระหว่าง ‘ประกาศอาณาเขต’ ซึ่งด้วยระดับของเจ้าในตอนนี้ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าจะรักษามันไว้ได้เป็นเวลานาน]
…แล้วผมต้องทำอย่างไร?
คำพูดของฮวาจองทำให้ผมเปลี่ยนความคิดทันที ผมไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่สามารถพูดอะไรไปเรื่อยเปื่อยได้และผมก็ไม่ต้องการเอาแต่พูดบ่นว่าไม่มีเวลาด้วย จู่ๆ ผมก็รับรู้ถึงกำลังของฮวาจองไหลเวียนอยู่ในตัวผมราวกับว่าเขากำลังชอบใจปฏิกิริยาที่รวดเร็วของผม
[อืม! ทำตามที่เจ้าต้องการเลยก็ได้]
ตามที่ผมต้องการ?
[ใช่ ข้าบอกเจ้าไปก่อนหน้านี้แล้วนี่ว่าพื้นที่ถูกประกาศไปแล้ว! เจ้าบื้อ!]
แม้คำว่าโง่หรือบื้อที่เขาพูดมาตั้งแต่เมื่อครู่มันจะกวนอารมณ์ผมอยู่ไม่น้อย แต่ผมก็ยังเงยหน้าขึ้นมาก่อนจะจ้องมองไปเบื้องหน้าอย่างใจเย็น และแล้วผมก็ได้เห็นดวงไฟที่ก่อกันเป็นรูปร่างของมังกรยังคงปล่อยสะเก็ดไฟให้ร่วงหล่นลงมา
ตามที่ต้องการ
เมื่อไม่กี่อึดใจที่แล้ว ในมือขวาของผมยังกำเกียรติยศแห่งวิคตอเรียและส่งพลังเวทที่น่าหวาดกลัวออกมา พลางคิดที่จะเข้าไปตัดเวทของมันในคราวเดียว แต่ในตอนนี้ผมกลับปล่อยมันลงข้างลำตัวช้าๆ แล้วแบมือซ้ายที่ว่างเปล่าออกมา จากนั้นยื่นมือนั้นออกไปตรงหน้าของเจ้ามังกรไฟแทน ผมไม่รู้สึกถึงความร้อนใดๆ อีกต่อไปแล้ว
หากบอกให้มันหายไปทั้งแบบนี้ มันจะหายไปหรือเปล่า
[หาย]
แล้วถ้าบอกให้มันสลายตัวล่ะ?
[สลาย]
ถามคำก็ตอบคำ แต่ผมก็พอจะเข้าใจ แม้จะยังเป็นเพียงการคาดเดาแต่กองพระเพลิงที่อยู่บนผืนดินบริเวณนี้ทั้งหมดล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของผม
แบบนี้นี่เอง ถึงได้เรียกว่า ‘ประกาศอาณาเขต’ สินะ
[ใช่ ถึงแม้มันจะไม่สามารถมองว่าเป็นพื้นที่ที่กว้างพอจะเรียกว่า ‘อาณาเขต’ ก็เถอะนะ แต่ว่าจะโทษใครได้ล่ะ เอาล่ะ ไม่มีเวลาแล้ว รีบจบมันเถอะ เพราะร่างกายเจ้ามันจะรู้สึกกดดันจนรับไม่ไหวเอาได้]