Memorize - เล่มที่ 18 ตอนที่ 24
แม้ตอนที่เผชิญหน้ากับ ‘แจ็คกี้’ ผู้ที่เกือบจะพิชิตทวีปตะวันตกได้สำเร็จนั้น เขาจะเอาชนะวิกฤติมากมายนับไม่ถ้วนมาได้ แต่เขาก็ไม่เคยมีสีหน้าที่เคร่งเครียดเลยสักครั้ง เขามักจะข้ามผ่านวิกฤติต่างๆ ด้วยวิธีการที่ไม่มีใครคาดถึง ไซม่อนเป็นผู้ชายแบบนั้น
อย่างไรก็ตาม ตามที่ไซม่อนได้บอกว่าเขาได้คาดการณ์ไว้แล้วว่าสถานการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้น ดังนั้นเขาคงสามารถทำอะไรสักอย่างกับสถานการณ์ในตอนนี้ได้ ยูรินะตัดสินใจว่าจะฟังเรื่องราวทั้งหมดก่อนด้วยความที่หล่อนนั้นรู้ดีว่าเขาไม่เคยพูดอะไรไร้สาระ
“ดีล่ะครับ ตอนนี้ผมว่ามันเริ่มจริงขึ้นมาบ้างแล้ว ฮ่าๆ การย้ายไปฮาโลตามที่ยูรินะพูดจริง ๆ มันก็ง่ายนิดเดียวเองครับ เพราะผมได้วาดภาพการขับไล่แต่ละครั้งออกมาแล้วอย่างไรล่ะครับ เพราะหากต้องการจะอยู่จริงๆ มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการจับมือที่คุณไม่ควรทำอย่างแน่นอนเลยสักนิดนะครับ”
“…”
“ผมเคยคิดว่าไม่ว่าอย่างไรผมก็คงได้พบเจอมันบ้างนิดหน่อย แต่ที่ไหนได้ ดันกลายเป็นว่าผมได้เจอกับมันจังๆ เสียอย่างนั้น สุดท้ายแล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปเลย ดังนั้นเรามายอมรับสถานการณ์ในตอนนี้แล้วเผชิญหน้ากับมันกันเถอะครับ หากยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อและยังอยากกลับไปยังทวีปตะวันตกอีกครั้ง คุณก็ต้องหายใจให้ได้ด้วยตัวเองนะครับ”
“หมายความว่ามีวิธีแล้วเหรอคะ”
ดูเหมือนที่เขาบอกว่าคาดเอาไว้แล้วนั้นจะเป็นเรื่องจริง เพราะเมื่อยูรินะถามขึ้นไซม่อนก็พยักหน้ารับในทันที
“ครับก่อนอื่นเราต้องใช้งานปราการป้องกันพลังเวทกันก่อนนะครับ เพราะมันคงน่าเสียดายที่เราอุตส่าห์ร่างมันขึ้นมาแล้วไม่ใช้มันให้เต็มความสามารถน่ะครับ”
“…แล้วยังไงต่อคะ”
“อืมมม เพราะสถานการณ์ก็คือสถานการณ์ ดังนั้นเรื่องเงื่อนไขนี่เราต้องปล่อยไปตามดวงครับ มันก็ดีมากแล้วถ้าหากพวกทวีปทางเหนือจะถอดรหัสปราการออกมาให้เรา…และผมก็อยากให้ฮาโลอดทนให้ได้…แต่ถึงเราจะฝากทุกอย่างไว้กับดวง แต่เราก็ทำให้ความเป็นไปได้มันสูงขึ้นได้ใช่ไหมล่ะครับ ตอนนี้ผมได้ส่งอาสาสมัครไปยังฮาโลแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นพวกที่ไร้ประโยชน์ที่สุดอยู่แล้วด้วยครับ”
ใบหน้าของยูรินะยังฉายแววสงสัยกับสิ่งที่ไซม่อนพูด ทั้งที่เขาก็พูดให้หล่อนฟังว่าเขาคิดอย่างไรทีละประเด็นไป แต่หล่อนก็ยังไม่ค่อยเห็นด้วยกับเขาสักเท่าไหร่นัก แม้คำพูดของเขาจะทำให้หล่อนถึงกับคิ้วกระตุกแต่ดูเหมือนเขาจะยังพูดไม่จบ
“อ้า แล้วมีอะไรที่ยังจำเป็นอีกนะ ใช่แล้ว ยูรินะ ผมจะใช้ระเบิดเวทมนตร์ครับ ช่วยเตรียมปริมาณที่เอามาไว้ด้วยนะครับ”
“คะ? ระเบิดเวทมนตร์? ทั้งหมดเลยเหรอคะ”
“ครับ! ถึงมันจะน่าเสียดาย แต่เพราะลองมาคำนวณดู ผมว่าเราคงจะไม่รอดชีวิตกลับไปหากเราไม่ใช้มันทั้งหมดนะครับ…เอาล่ะ มาดูกัน อ้า อากาศดีซะด้วย และสุดท้ายนี้ช่วยเรียกนักแปรธาตุมาให้ผมหน่อยได้ไหมครับ หลังจากนั้นเราก็พร้อมแล้วล่ะครับ”
ไซม่อนหันหน้ามามองแวบหนึ่งก่อนจะเริ่มกระดิกนิ้วชี้ แต่หลังจากที่เขาได้เห็นสีหน้าของยูรินะก็ถึงกับหลุดหัวเราะออกมา
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะครับ”
“…ที่คุณพูดมาตั้งแต่เมื่อกี้ ฉันไม่เข้าใจเลยแม้แต่นิดเดียวค่ะ”
“ไม่เข้าใจก็แค่ทำตามที่สั่งครับ เพราะสิ่งสำคัญคือจังหวะและการโจมตีแบบสายฟ้าแลบไงครับ ฮ่าๆๆ!”
หลังจากพูดจบ ไซม่อนก็มองขึ้นไปบนท้องห้าที่มีเมฆปกคลุมหนาแน่น ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงสดใสพร้อมทั้งกางแขนทั้งสองออกกว้าง
“ดูสิครับ ขนาดอากาศยังเป็นใจให้เราเลยนะครับ”
* * *
บนท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยเงามืดดำสนิทย้อมที่ราบมืดไปด้วยเงาดำเลือนรางนั้น และท่ามกลางหมอกหนาที่ลอยฟุ้ง ผมกำลังยืนรอผู้เล่นคนหนึ่งอยู่ ซึ่งผู้เล่นคนนั้นก็คือชินซังยงนั่นเอง
ผมบอกให้เขาเก็บสัมภาระทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้วมาเจอกันที่เต็นท์ของผมในตอนเช้า แต่จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่เห็นแม้แต่ปลายจมูกเขาเลย ก็จริงที่ช่วงเช้ายังไม่ได้ผ่านไป แต่การที่จนพระอาทิตย์เริ่มขึ้นมาแล้วแต่ผมยังไม่เห็นเขาเลยทั้งที่ปกติเขาเป็นคนรักษาสัญญามาก มันก็ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้เหมือนกัน
ทำไมยังไม่มาอีกนะ
จู่ๆ ผมก็คิดว่าเมื่อตอนเช้ามืดนี้ผมพูดแรงไปหรือเปล่า สิ่งที่ผมพูดกับเขาก็คือเรื่องที่ผมพยายามจะพูดเกี่ยวกับการคัดเลือกคนที่เหมาะสม จริงอยู่ที่ผมไม่มีเจตนาที่จะดูหมิ่นดูแคลนชินซังยงเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ที่ผมพูดเรื่องนั้นก็เพราะผมเป็นห่วงเขาต่างหาก แต่ดูเหมือนเขาจะเข้าใจผิดไปไกล
จะยังไงก็ต้องพูดอีกครั้งหลังจากเขามาถึงแล้วให้ได้
อย่างไรก็ตาม ผมนอนลงบนเตียงพับได้ที่เตรียมไว้ในเต็นท์เพราะความง่วงที่จู่โจมเข้ามา
การรู้สึกตัวอย่างกะทันหันของฮวาจอง, ข่าวจากภาคใต้และภาคเหนือ, ชินซังยง, ไพ่
ความคิดมากมายตีกันวุ่นอยู่ในหัว ผมจมอยู่กับความคิดเหล่านั้นก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้ผมถือไพ่ใบหนึ่งไว้ในมือ และเมื่อผมยกมันขึ้นมาในระดับสายตา ภาพของทูตสวรรค์ที่กำลังร้องไห้แต่กลับมีสีหน้าไร้ความรู้สึกก็เข้าสู่สายตา
เซราฟ…
ทำไมทูตสวรรค์ในไพ่นั้นถึงทำให้ผมนึกถึงแต่เซราฟกันนะ
กริ๊งงง!
ทันใดนั้นเอง ขณะที่ผมกำลังตกลงไปในห้วงความคิดเกี่ยวกับเซราฟ ผมก็ได้ยินเสียงสัญญาณในค่ายดังขึ้นอย่างกะทันหัน ผมหยุดคิดทุกอย่างทันทีแล้วรีบวิ่งออกไปด้านนอกเต็นท์อย่างรวดเร็ว
ดูเหมือนจะไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวที่ตื่นตัวกับเสียงสัญญาณนี้ ผมเห็นผู้เล่นคนหรือสองคนออกมาจากเต็นท์ที่อยู่ใกล้ๆ กัน ทุกคนดูงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นและไม่มีใครเข้าใจสถานการณ์นี้เลยสักคน ผมรีบวิ่งไปยังจุดหน้าสุดของค่ายทันที
ถึงผมจะวิ่งด้วยแรงทั้งหมดที่มีแต่ก็ไม่สามารถไปถึงแถวหน้าได้ในทันทีเพราะหมอกหนาที่โรยตัวลงมาบดบังการมองเห็นอยู่ในขณะนี้ ผมมองเห็นเมืองได้ไม่ชัดเท่าไหร่นัก ผมจึงใช้พลังเวทเพิ่มความสามารถในการมองเห็น หลังจากนั้นภาพทิวทัศน์ที่เคยพร่ามัวก็ค่อยๆ ชัดขึ้นทีละนิด
กำแพงเมืองถูกปกคลุมไปด้วยเขม่าควันสีดำ ซึ่งเป็นผลงานจากการที่ผมส่งเจ้ามังกรไฟกลับคืนไปแต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่สำคัญในตอนนี้ แต่เป็นพื้นรอบๆ บาร์บาร่าต่างหากที่กำลังส่งสัญญาณว่ามีบางสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ปราการขัดขวางพลังเวทคุ้มกันที่ถูกวาดเอาไว้รอบเมืองตอนนี้กำลังปล่อยแสงสีฟ้าสดใสออกมา
นี่เป็นสัญญาณเตือนอย่างหนึ่งว่ามีการใช้งานปราการเวท
* * *
แม้ว่าเมื่อวานทัพที่สามจะมีบรรยากาศอึมครึมแต่เมื่อผ่านมาวันหนึ่งความมีชีวิตชีวาก็ค่อยๆ คืนกลับมาทีละนิด สาเหตุก็มาจากข่าวดีสดๆ ร้อนๆ จากทางเหนือและใต้ที่เพิ่งจะมีการประกาศออกมาเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมานี้เอง
ทางเหนือและทางใต้เข้าโจมตีเมืองทั้งหมดสี่เมืองในเวลาเดียวกัน และตอนนี้ก็ประสบความสำเร็จในการยึดเมืองเล็กทั้งสามเมืองคืนมาได้แล้ว แม้ว่าฮาโล(เมืองทั่วไปทางตะวันตก)จะกำลังอยู่ระหว่างการต่อสู้กับการต่อต้านที่แข็งแกร่งของพวกศัตรู แต่ก็ยังคงเป็นผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่าในการต่อสู้อยู่ การล่มสลายเองก็เป็นเรื่องของเวลาเช่นกัน
ดังนั้นความสนใจหลักของเหล่าผู้เล่นที่อยู่โดยรอบในตอนนี้ก็คือ ฝั่งตะวันออกจะทำอย่างไรต่อไป ผู้เล่นบางคนก็บอกให้รอกำลังเสริมจากทางใต้และทางเหนือก่อน แต่ก็มีอีกหลายคนเช่นกันที่อยากจะให้เราเข้ายึดบาร์บาร่ากลับคืนมาโดยเร็ว
“…”
แต่มีชายคนหนึ่งที่ไม่สนใจเรื่องดังกล่าวเลยสักนิด รวมทั้งไม่ปริปากพูดอะไรออกมาเลยเช่นกัน ไม่สิ แทนที่จะบอกว่าเขาไม่สนใจ น่าจะบอกว่าเขาสนใจอย่างอื่นมากกว่า ใบหน้าว่างเปล่า มือที่เคลื่อนไหวจัดสัมภาระอย่างเชื่องช้า เหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องบอกว่าเขาอาจกำลังคิดถึงเรื่องอื่นอยู่
ชายหนุ่มคนนั้นคือชินซังยงนั่นเอง และความจริงแล้วตอนนี้เขากำลังคิดทบทวนถึงบทสนทนาที่เขาได้คุยกับคิมซูฮยอนเมื่อไม่นานมานี้อยู่
‘ยังมีอีกหลายวิธีที่จะเอาชนะข้อจำกัดของตนเองได้ ผมคิดว่าคุณไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนนิสัยหรอกนะครับ’
‘ผมคิดมานานแล้วครับ ผมคิดว่าผู้เล่นชินซังยง…เหมาะกับหน้าที่ผู้เล่นที่ไม่ใช่หน่วยสู้รบมากกว่าผู้เล่นหน่วยสู้รบนะครับ’
‘คลาสหายาก? ผมไม่เสียดายเลยสักนิดนะครับ เพราะความจริงแล้วคุณก็ได้แสดงพรสวรรค์ของคุณออกมาอย่างเพียงพอแล้วในด้านนั้นนะครับ’
‘ผู้เล่นอีมันซองเอง ผมก็พามาด้วยวัตถุประสงค์นั้นเช่นกัน คุณไม่จำเป็นต้องอายหรอกครับ’
“นิสัย”
ชินซังยงที่พูดคำคำเดียวออกมานั้นได้แต่ยิ้มกับตัวเอง เขาจะมารู้นิสัยของตนได้อย่างไรกัน หรือว่าเขาจะเห็นจากข้อมูลกันล่ะ มีความคิดมากมายวิ่งผ่านเข้ามาในหัวของเขา แต่ชายหนุ่มก็ส่ายหัวไปมาราวกับคิดว่ามันไม่มีทางที่จะเป็นแบบนั้นไปได้แน่
“หึๆ เฮ้อ พูดไม่ออกเลย”
“หืม? พูดอะไรไม่ออกเหรอ”
ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงใหญ่ๆ ดังมาจากด้านหลัง ชินซังยงหันกลับไปมองด้วยความตกใจ และพบเข้ากับชายหนุ่มคนหนึ่งที่คุ้นหน้ากันดี เขาคนนั้นคือผู้เล่นที่อยู่ในเต็นท์เดียวกันนั่นเอง
“มะ เมื่อไหร่…”
“ก็ตั้งแต่ที่พึมพำแปลกๆ กับตัวเองเมื่อกี้…ว่าแต่คุณชินซังยง นั่นทำอะไรอยู่เหรอ”
“นะ นี่…”
“นี่?”
ท้ายเสียงของชินซังยงขาดหายไปราวกับว่าเขานึกคำพูดไม่ออกไปชั่วขณะ แต่เมื่อชายหนุ่มสังเกตเห็นบรรดาสัมภาระชองชินซังยงเข้า เขาก็ทำสีหน้าคลื่นไส้ออกมา
“จะถอนตัวเหรอ”
“…คะ ครับ”
“แล้วจะไปไหนล่ะ”
“ขะ เขาบอกให้ไปอยู่ในกลุ่มเตรียมรับมือตัวแปรก็เลย…”
ความจริงแล้วเพราะว่าการตอนสู้ที่ดำเนินมาจนถึงตอนนี้มีแต่เพียงการสู้กันด้วยกำลังอาวุธจากระยะไกลเท่านั้น นั่นทำให้กลุ่มเตรียมรับมือตัวแปรที่ว่ายังไม่ได้แสดงผลงานใดๆ ออกมาเลย ไม่สิ ไม่ได้แสดงผลงานเลยสักคนเว้นเสียแต่แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่เพียงคนเดียวเท่านั้น
ตั้งแต่การเปิดโปงสายลับของพวกเร่ร่อนเมื่อคราวก่อน จนถึงการหยุดมังกรไฟ จนถึงตอนนี้คิมซูฮยอนคือผู้เล่นเพียงคนเดียวในกลุ่มที่มีผลงานโดดเด่นปรากฏให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ นั่นจึงทำให้ชายหนุ่มเข้าใจเหตุผลที่ชินซังยงต้องเก็บสัมภาระขึ้นมาทันที
“โอ้โฮ คุณชินซังยงนี่ดีจัง มีแคลนลอร์ดที่มีความสามารถคอยใส่ใจแบบนี้ด้วย”
“…ครับ”
“น่าอิจฉา ผมล่ะอิจฉาเสียจริง เอาเถอะ ยินดีด้วยนะเดี๋ยวผมออกไปก่อนแล้วกันคุณจะได้จัดของต่อ ถ้าอย่างนั้นขอให้ไปได้ดีที่นั่นนะ”
“…”
“เพราะผมจะรอฟังข่าวดีอยู่ทางนี้ เฮ้อ ให้ตายสิ”
ชายหนุ่มพูดออกมาอีกครั้งก่อนเดินออกจากเต็นท์ไปด้วยฝีเท้าหนักๆ ของเขา ชินซังยงเหม่อมองไปยังทางที่เขาออกไปก่อนจะเริ่มจัดของอีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นมือของเขาก็ยังคงเคลื่อนไหวช้าอยู่เและยิ่งช้าลงไปอีกเรื่อยๆ
และเมื่อมือของเขาหยุดลง ชินซังยงก็ก้มหน้าลง
“เฮ้อ…”
ก่อนลมหายใจยาวจะออกมาจากริมฝีปากบางของชินซังยง