Memorize - เล่มที่ 18 ตอนที่ 25
มีข่าวใหม่ที่เข้ามายังฝั่งตะวันออกพร้อมๆ กับการเปิดใช้งานปราการขัดขวางเวทคุ้มกัน ซึ่งข่าวนั้นก็คือการต่อต้านของฮาโลที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างเชื่องช้าเริ่มหนักข้อขึ้นอีกครั้ง และยังบอกอีกว่าจำนวนกำลังคนที่รักษากำแพงเมืองเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน และพวกเขายังรวบรวมกำลังทหารได้ก่อนที่ประตูใหญ่จะล่มอย่างหวุดหวิด
ความหมายของมันค่อนข้างชัดเจนทีเดียว บาร์บาร่าส่งกองกำลังเสริมไปให้กับฮาโล และปราการเวทที่เปล่งแสงสีฟ้าออกมาอยู่ตรงนั้นก็ยิ่งเสริมให้ข่าวนี้ดูจริงขึ้นไปอีก
นั่นคือ…
“สุดท้ายแล้วดูเหมือนเขาจะตัดสินใจหนีไปอยู่ดี”
“ป่านนี้เขาคงได้ยินข่าวเรื่องเมืองนั้นแล้วล่ะครับ พวกเขาก็คงจะคิดว่ามันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของพวกเขาแล้วน่ะครับ”
โจซองโฮตอบกลับคำพูดของแคลนลอร์ดโครยออย่างเย็นชา แคลนลอร์ดโครยอพยักหน้าให้เขาก่อนจะหันกลับมามองโจซองโฮ
“เผ่าที่รับหน้าที่ในการโจมตีฮาโลนี่ชื่อเผ่าหมาป่าสีครามหรือเปล่า ไม่มีข่าวคราวอะไรจากฝั่งของพวกเขามาบ้างเลยหรือ”
“มีครับ ที่ฝั่งตะวันออกต้องการให้โจมตีบาร์บาร่าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ”
“หึๆ ดูจะกังวลกันจังเลยนะ”
“น่าจะเป็นอย่างนั้นครับ เพราะพวกเขาเองก็บอกว่ามีการต่อสู้เกิดขึ้นเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้ แต่ผู้บาดเจ็บและล้มตายจากทั้งสองฝั่งรวมกันแล้วก็ยังไม่ถึงพันคนเลยครับ หากกำลังคนของบาร์บาร่าทั้งหมดกำลังย้ายไปยังฮาโลจริง หมาป่าสีครามคงต้องเผชิญกับความยากลำบากกันแน่ๆ ครับ”
สิ่งที่โจซองโฮพูดออกมาล้วนเป็นหลักการโดยทั่วไป แม้จะไม่รู้ว่าปราการเวทถูกใช้งานหรือเปล่า แต่ก็พอจะมองเห็นเค้าลางของการเปิดใช้งานขึ้นมาบ้างแล้ว
แต่ทำไมถึงยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจกับการโจมตีบาร์บาร่าแบบนี้อยู่ล่ะ
แปลกแฮะ ง่ายอย่างนั้นเชียวหรือ
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องตอบอะไรมาบ้างสิ”
แต่แคลนลอร์ดโครยอดูจะคิดต่างออกไป เขาลุกพรวดขึ้นอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนเขาจะคิดว่าพวกศัตรูยังคงส่งกำลังเสริมไปอยู่
หลังจากนั้นแคลนลอร์ดโครยอก็กวาดตามองทุกคนในห้องควบคุมการบัญชาการที่เข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
“เวลาจะถูกยื้อต่อไปจนกว่าปราการเวทจะถูกเปิดใช้อย่างเต็มรูปแบบครับ เพราะฉะนั้นยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไร กองทัพแนวร่วมของฝั่งเราที่เข้าโจมตีฮาโลก็จะยิ่งมีภาระเพิ่มมากขึ้นเท่านั้นนะครับ ดังนั้นจงรายงานสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ให้แต่ละทัพทราบ และให้เหล่าผู้บัญชาการทัพเข้าบริหารด้วยนะครับ เราจะโจมตีในคราวเดียวด้วยกำลังทั้งหมดที่เรามีครับ”
“เข้าใจแล้วครับ ผมจะไปรายงานให้แต่ละทัพทราบเดี๋ยวนี้ครับ”
“ดี การประชุมจบลงเพียงเท่านี้ ขอให้ทุกคนรีบเข้าประจำที่ ส่วนผมจะออกนำไปก่อน”
ในที่สุดแคลนลอร์ดโครยอก็เดินออกไปอย่างช้าๆ แต่ก่อนที่จะออกไปจากห้องควบคุมการบัญชาการเขาก็หยุดเดินที่หน้าผม และเมื่อผมเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความสงสัย ผมก็ได้รอยยิ้มนุ่มนวลตอบกลับมา
“ร่างกายของคุณไม่เป็นไรใช่ไหมครับ แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่”
“อ้า ครับ ร่างกายผมไม่ได้ผิดปกติตรงไหนเลยครับ เพราะพี่…ไม่สิ แคลนลอร์ดแฮมิลกับราชินีแห่งดาบส่งยาชั้นดีมาให้น่ะครับ”
“ครับ? ราชินีแห่งดาบเหรอครับ”
แคลนลอร์ดโครยอหันไปมองพร้อมเบิกตาโพลงเหมือนรู้สึกตกใจกับสิ่งที่ผมพูดออกไปมากเหลือเกิน เพราะความเงียบเป็นทุนเดิมของห้องประชุม ดูเหมือนจะทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่ในนี้ได้ยินเสียงของผม และเมื่อหันไปมองตามทิศที่เขามองไปนั้นผมก็เห็นพี่ที่นั่งคอตั้งตรงและราชินีแห่งดาบที่กำลังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่
พี่เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว แต่ทำไมราชินีแห่งดาบถึงได้นั่งไม่ติดแบบนั้น
“โฮะๆ ตอนนี้ได้เจอผู้ชายดีๆ สักทีนะ”
“ครับ?”
“โอ้! ไม่มีอะไรหรอกครับ เอาเป็นว่าผมได้ยินแล้วว่าคุณดีขึ้น ถ้าอย่างนั้นครั้งนี้ก็ฝากด้วยนะครับ โฮะๆ”
“…?”
หลังจากนั้นแคลนลอร์ดโครยอก็ปิดการประชุมและเดินออกจากห้องควบคุมการบัญชาการไป ทิ้งไว้เพียงเสียงหัวเราะที่ผมไม่รู้ความหมาย ความมืดเริ่มเข้าปกคลุมทั้งห้องแต่ก็เพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น พวกเขาเริ่มลุกขึ้นทีละคนสองคนและที่นั่งก็ทยอยว่างลงไป…เดี๋ยวสิ แล้วทำไมจู่ๆ ผมถึงรู้สึกแบบนี้กัน
อย่างไรก็ตาม ทุกๆ คนเริ่มออกจากห้องควบคุมการบัญชาการไปโดยที่มีรอยยิ้มแปลกๆ อยู่บนหน้าเหมือนกันหมดเลยด้วย
ทำไมจู่ๆ ถึงเป็นแบบนี้กันเนี่ย
ทั้งที่เมื่อกี้ทั้งห้องประชุมมีบรรยากาศเย็นยะเยือกอยู่แท้ๆ แต่จู่ๆ ก็มาเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบนี้ ความรู้สึกมันดูอุ่นๆ แล้วก็เป็นสีชมพูด้วยหรือเปล่านะ
และในตอนนั้นเอง ผมก็เห็นซอนยูลทำมือส่งสัญลักษณ์ตัววีมาให้ผม ใบหน้าของหล่อนดูราวกับว่าหล่อนได้รับรู้อะไรบางอย่างเสียอย่างนั้น ซอนยูลหัวเราะคิกคักออกมาก่อนจะเดินผ่านผมไป
…
ตามมาด้วยราชินีแห่งดาบที่เดินออกมาเป็นคนสุดท้าย หล่อนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม ซึ่งแม้ผมจะกำลังสงสัยอย่างไร แต่ก็ตัดสินใจจะพูดกับหล่อนก่อนเป็นมารยาท
“ผมได้รับยาที่คุณส่งมาให้อย่างดีเลยนะครับ”
“ค่ะ แล้วร่างกายของคุณ…”
“ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะครับ”
“อย่างนั้นสินะคะ…”
ราชินีแห่งดาบ นัมดาอึนทำท่าลังเลเหมือนหล่อนยังอยากจะพูดอะไรเพิ่มอีก แต่สุดท้ายจู่ๆ หล่อนก็ก้มหัวลงก่อนจะรีบวิ่งหนีไปโดยที่กอดตัวเองเอาไว้แบบนั้น
ฉันแค่อยากจะขอบคุณเท่านั้นเองนะ
ผมมองตามไปที่ทางออกที่นัมดาอึนเพิ่งจะวิ่งหนีออกไปพร้อมกับบ่นงึมงำก่อนจะลุกขึ้นยืนบ้าง แต่แล้วผมก็รู้สึกถึงสัมผัสอุ่นๆ ที่แตะลงมาที่ไหล่
“ซูฮยอน นายนี่มันไม่มีเซ้นส์เลยจริงๆ”
เสียงพี่ผมเอง ผมหันกลับไปหาเขาโดยไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ตอนนี้น่ะใครกันแน่ที่ไม่มีเซ้นส์
ผมได้แต่ยิ้มเยาะอยู่ในใจ
แม้ว่าจะมีเหตุเล็กๆ เกิดขึ้นในห้องประชุม แต่ผมก็สามารถดึงสติกลับมาได้ทันทีที่ผมเข้าสู่กระบวนการบริหารปรับปรุงอย่างจริงจัง
แม้จะยังมีบางอย่างคล้ายเสี้ยนหนามที่ติดใจผมอยู่ แต่สิ่งนั้นในตอนนี้ ไม่รู้สิ…ถ้าให้พูดตามตรง สาเหตุคงจะมาจาก ‘ฝั่งตะวันออกแพ้ราบคาบในการต่อสู้ครั้งแรก’ ซึ่งต่างจากอนาคตที่ผมเคยรู้มา
และข้อสรุปที่ได้ตัดสินใจหลังจากกังวลกันนับครั้งไม่ถ้วนก็คือการไหลตามน้ำไปก่อน อนาคตที่ผมรู้กับในตอนนี้ค่อนข้างจะแตกต่างกัน ในจำนวนนั้นไม่ใช่ส่วนน้อยเลยที่ส่งผลโดยตรงกับสงครามในครั้งนี้ ดังนั้นผมจึงคิดว่าอนาคตมันอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้
และแม้จะตัดเรื่องนั้นออกไปแต่มันก็เป็นความจริงที่เราไม่ได้เห็นว่าพวกศัตรูกำลังเคลื่อนกำลังไปยังฮาโล
ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่เคยคิดว่าทิศทางโดยรวมจะเปลี่ยนไปเลยนะ…ก่อนอื่น ลองเชื่อตัวเองดูก่อนก็แล้วกัน
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของเหล่าผู้บัญชาการในแต่ละทัพที่ปรับปรุงกันเรียบร้อยแล้ว ผมก็รีบจัดการความคิดของตัวเองโดยเร็ว
[ออกเดินทาง]
น้ำเสียงสั้นๆ แต่สุขุมดังขึ้นแหวกผ่านกลางอากาศ และตามมาด้วยฝั่งตะวันออกที่เริ่มเดินทัพออกมาอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
ทุกอย่างเงียบสงบ ทุกคนเดินฝ่าหมอกหนากันอย่างเงียบเชียบราวกับนัดกันไว้ เงียบเกินกว่าจะเป็นการต่อสู้ แม้ว่าเมืองจะถูกปกคลุมด้วยหมอกที่หนาเสียจนมองด้วยตาเปล่าแทบไม่เห็น แต่หากมีพลังเวทแล้วล่ะก็ มันก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด
[ทัพที่สอง, สาม, สี่ เตรียมตัว]
ไม่นาน กองทัพก็สามารถเข้าไปภายในระยะที่จะดำเนินการทำสงครามปิดล้อมได้ ผมรู้สึกได้ถึงความรอบคอบระแวดระวังที่เพิ่มขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งจากบรรยากาศรอบตัว เพราะตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปหากจะมีคนตายสักคนก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติอะไร
ทัพฝั่งประตูตะวันตกเคลื่อนที่บุกไปข้างหน้าโดยคอยระวังการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวไปด้วยเพราะถือครั้งก่อนเป็นบทเรียน และเมื่อมองเห็นปราการเวทที่ส่องสว่างมากกว่าเมื่อสักครู่ กองทัพก็หยุดลงทันที ทันใดนั้นเอง
ฉึก! ฉึก!
ราวกับว่ามันกำลังรอคอยทัพฝั่งประตูตะวันตกอยู่ ทันทีที่ทัพเข้าไปอยู่ภายในระยะการยิง ลูกศรมากมายก็ผ่ากลางอากาศมาอย่างรวดเร็ว แต่เหล่านักบวชจากทัพที่สี่ที่เตรียมตัวรับมืออยู่แล้วก็รีบร่ายมนตร์อย่างรวดเร็วทำให้เหล่าลูกธนูที่ถูกยิงมาเต็มแรงกระเด็นกระดอนออกไป
แม้จะถูกโจมตีก่อนแต่เหล่านักธนูจากทัพที่สองไม่มีทางที่จะอยู่เฉยแน่ ทันทีที่ป้องกันการโจมตีได้อย่างสมบูรณ์แล้ว พวกเขาก็รีบยิงตอบโต้กลับไปในทันที
แต่ลูกธนูที่ถูกยิงออกไปจากทัพฝั่งประตูตะวันตกก็ไม่ได้สร้างความเสียหายมากนัก เพราะพวกศัตรูเองก็รับมือการยิงด้วยวิธีการเดียวกัน แต่ไม่เป็นไร เพราะการแลกลูกธนูกันในครั้งนี้เป็นเพียงการหยั่งเชิงก่อนจะเกิดการต่อสู้อย่างเต็มรูปแบบขึ้นเท่านั้น
เหมือนว่าผมจะคิดถูก เพราะไม่นานเกินรอเสียงท่องมนตร์คาถาของคนนับร้อยก็ดังฝ่าความเงียบขึ้นมาจากทุกทิศทุกทาง
สถานการณ์ต่อมาก็กลายเป็นความโกลาหลวุ่นวายในชั่วพริบตา
ทัพที่สองกำลังจดจ่ออยู่กับการสกัดและป้องกันพลังของเหล่าศัตรู ขณะเดียวกันทัพที่สี่เองก็รักษาเวทป้องกันเอาไว้อย่างสุดชีวิตเพื่อป้องกันการโจมตีที่ถาโถมเข้ามา ในระหว่างนั้นเหล่านักเวทในทัพที่สามก็กำลังให้ความสำคัญกับพลังเวทเพื่อการโจมตีในคราวเดียวอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด
…มีบางอย่างแปลกๆ อยู่นะ
เพราะเมื่อเทียบกันแล้ว ถึงแม้ผมจะเฝ้าดูสถานการณ์อยู่ที่แนวหลังอย่างปลอดภัย แต่ผมก็สามารถรับรู้ถึงสิ่งผิดปกติที่กำลังเกิดขึ้นได้อย่างฉับไว ซึ่งก็คือเสียงของหินที่กำลังร่วงลงมาจากกำแพงเมืองนั่นเอง
กำแพงเมืองดูหลวมๆ ไม่ว่าจะด้วยการยิงพลังเวทอย่างต่อเนื่องในการต่อสู้เมื่อไม่นานมานี้หรือด้วยเจ้ามังกรไฟเมื่อครั้งที่แล้ว แต่ปกติก็ต้องมีการซ่อมแซมหรืออย่างน้อยก็ต้องสร้างแนวป้องกันเอาไว้บ้าง
แต่จู่ๆ ผมก็รู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมาที่ใบหน้ากะทันหันโดยที่ไม่สงสัยอะไรอีก เหล่านักเวทเริ่มรายมนตร์เสร็จกันทีละคนสองคน และลูกไฟเองก็ถูกสร้างขึ้นมากลางอากาศที่มีทัพที่สามอยู่ด้วย ลูกไฟเหล่านั้นล้วนปล่อยเปลวเพลิงสีแดงฉานออกมาพร้อมๆ กันในคราวเดียว
ลูกไฟปล่อยความร้อนออกมาเต็มที่ราวกับลาวาที่กำลังเดือดพล่าน สะเก็ดไฟที่ปลิวว่อนไปตามสายลมตกลงสู่พื้นก่อนจะเกิดเป็นเปลวไฟลุกขึ้นมาช้าๆ ในเวลาเดียวกัน ตอนนี้หากซอนยูลร่ายเวทขยายเสียงขึ้นมาเท่านั้น คลื่นแห่งเปลวไฟใหญ่ยักษ์พวกนี้ก็จะถาโถมเข้าใส่กำแพงเมืองอย่างหนักในทันที
ในตอนนั้นเอง
วิ้งงง!
เกิดเสียงดังสนั่นพร้อมทั้งมีลำแสงสีน้ำเงินสว่างจ้าออกมาจากปราการเวทสีเข้ม
“ปราการป้องการเผยออกมาให้เห็นแล้วครับ!”
[พลังเวทภายในถูกแช่แข็งแล้ว! เราต้องโจมตีกันเดี๋ยวนี้ก่อนที่ปราการจะเปิดอย่างเต็มรูปแบบ!]
และทันใดนั้น
แสงไฟระยิบระยับแสบตาก็เข้ามาในครรลองสายตา ผมเองก็หลับตาลงโดยไม่รู้ตัว และลืมตาขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับความรู้สึกที่ทำให้ผมต้องเบิกตาโพลง เมื่อเห็นภาพที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นปรากฏอยู่ตรงหน้า
ปราการขัดขวางพลังเวทคุ้มกันหยุดการทำงาน ปราการป้องกันสีเข้มที่กำลังขยายตัวออกราวกับจะโอบล้อมทั้งเมืองเอาไว้จนถึงตอนนี้หยุดการขยายตัวลงในระหว่างการทำงานเหมือนรั้วที่ล้อมรอบ
และแทนที่กันนั้นก็มีดวงไฟนับสิบ…ไม่สิ ต้องบอกว่านับร้อย พุ่งออกมาจากระหว่างช่องว่างรูโหว่ของกำแพงเมืองจนเต็มไปทั้งฟ้า จากนั้นดวงไฟที่ส่องสว่างไปทั่วทุกหนทุกแห่งเหล่านั้นก็เพิ่มระดับความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ