Memorize - เล่มที่ 18 ตอนที่ 28
มันเกิดขึ้นเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น จุดที่ฟ้าผ่าลงไปเป็นจุดเดียวกันกับที่ผมได้ฝากบาดแผลเอาไว้และผลของมันก็ทำให้หน้าอกที่กำลังสมานเข้าด้วยกันกลับไปฉีกกว้างดังเดิม
ไม่ใช่เพียงแค่นั้น น้ำที่ช่วยรักษาแผลเมื่อสักครู่กลายสภาพเป็นตัวเร่งให้เกิดไฟฟ้าช็อตได้ง่ายขึ้นทันทีที่สายฟ้าผ่าลงมาโดน แม้ว่าจะมองไม่เห็นแต่ผมก็พอจะรู้ว่ามันคงจะมีบาดแผลไปทั่วทั้งตัวแล้ว ของเหลวสีน้ำตาลเข้มไหลลงมาตามรอยปริที่แยกออก และพื้นดินที่เจิ่งนองไปด้วยเลือดก็ผสมปนเปไปกับเศษตะกอนที่ไม่สามารถระบุที่มาได้
ผมคิดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียวเพราะผมรีบกระโจนตัวออกไปโดยอัตโนมัติโดยที่ไม่ทันได้คิดหาที่มาของสายฟ้านั้น นั่นทำให้โอกาสที่ทำให้ผมต้องทำเกินตัวเมื่อสักครู่นี้กลายมาเป็นโอกาสที่จะไม่มีทางเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน
แม้จะตกอยู่ในความโกลาหลแต่คูชาน ธอร์ก็สังเกตเห็นผมที่กำลังวิ่งเข้าไปหา ในที่สุดมันก็จัดการควงตะบองของมันในทันที แม้ว่าการทำแบบนั้นจะทำให้เลือดยิ่งไหลพลั่กๆ ออกมาและทำให้มันโอนเอนไปด้านหน้าก็ตาม แม้ว่าจะเป็นแบบนั้นแต่จากที่ผมเห็นว่าจนเฮือกสุดท้ายมันก็ยังไม่ปล่อยอาวุธ ผมก็คิดว่าเพชรอยู่ที่ไหนก็ยังเป็นเพชรจริงๆ
เงามืดเริ่มเข้าปกคลุมได้ทั้งพื้นดิน ถึงมันจะพยายามจะต่อสู้ดิ้นรนเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตดูจากที่มันทำร้ายร่างกายด้วยตะบองนั้น แต่ในตอนนี้มันก็เป็นเพียงแค่อสูรกายที่มีแต่แผลเหวอะหวะเต็มตัวเท่านั้นเอง
ผมตั้งใจขยับตัวเข้าไปหาวงสวิงของไม้ตะบองที่ร่วงลงมา หลังจากเข้าไปยังจุดที่มาดหมายเอาไว้แล้ว ผมก็กำดาบไว้แน่นด้วยสองมือแล้วปล่อยพลังเวทออกไปเต็มแรง คาลิโก อาบรักซัสส่งเสียงกรีดร้องออกมาดังขึ้นกว่าเก่าเพื่อตอบรับกับพลังเวทของผม และผมก็ฟาดดาบเข้าไปที่ไม้ตะบองที่กำลังตกลงมาอย่างเต็มแรงราวกับนักเบสบอลที่กำลังหวดลูกโฮมรัน
ปัง!
ผมรู้สึกถึงแรงหนักหน่วงที่มีพร้อมๆ กับเสียงกระเทือนดังสนั่นที่ดังขึ้นมาในเวลาเดียวกัน แต่ผมก็ปล่อยตัวเองให้เป็นไปตามที่แรงของผมเหนี่ยวนำไปก่อนจะหมุนตัวหันกลับมาแล้วฟาดดาบลงไปอีกครั้ง
ฉับ
ทันใดนั้นผมก็รู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งถูกตัดออกไป บางส่วนกระจัดกระจายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งนั้นก็คือไม้ตะบองยักษ์ที่ถูกตัดออกไปอย่างสมบูรณ์แบบและกำลังลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ในตอนนี้คูชาน ธอร์ตกอยู่ในสภาพปวกเปียกไม่สามารถต่อสู้ได้อีกต่อไปแล้ว
ผมมองปราดขึ้นไปบนฟ้า คงเพราะตะบองที่หลุดมือไปทำให้ร่างของเจ้ายักษ์ที่กำลังล้มลงมาจากด้านหน้าช้าๆ ตอนนี้กลับค่อยๆ เอียงไปทางด้านขวาแทน เผยให้เห็นท้องฟ้าสีครามระหว่างช่องว่างนั้น
ผมรีบคำนวณระยะห่างอย่างรวดเร็ว ระยะทางที่ผมจะสามารถย้ายที่ด้วยการใช้การเคลื่อนย้ายร่างในพริบตานั้นไม่ได้ไกลไปกว่าที่คิดเลย ดังนั้นผมคิดว่าน่าจะเหลือระยะห่างอยู่สักสองเมตร และในระหว่างที่กำลังรอให้มันเข้ามาใกล้กว่านี้ ผมก็เริ่มใช้ทักษะไปพร้อมๆ กับการกระแทกพลังลงไปบนพื้น
ทันใดนั้นทิวทัศน์รอบๆ ก็เปลี่ยนไปในพริบตาและเมื่อผมมองลงไปยังเสียงที่กำลังสั่นสะเทือนพื้นพิภพอยู่นั้น ผมก็ได้เห็นว่าเจ้ายักษ์กำลังจมลงไปในพื้นดิน ตอนนี้มันจะกำลังคิดอะไรอยู่นะ
มันจบแล้ว
หลังจากที่ผมลงมาสู่พื้นดินแล้วผมก็ปักดาบเสียบลึกเข้าไปที่ด้านหลังหัวของมัน ด้วยแรงที่กดตามแนวที่ผมลงสู่พื้นดินทำให้ดาบปักลึกเข้าไปอย่างง่ายดาย หลังจากนั้นผมไม่รอช้าที่จะระเบิดพลังเวท เสียงระเบิดดังสนั่นอุบัติขึ้นมาพร้อมกับที่ผมรู้สึกถึงอาการชักกระตุกจากร่างของเจ้ายักษ์ที่ผมเพิ่งจะพิชิตได้
และเมื่อแสงสีทองเรืองรองที่เคยโอบล้อมร่างกายของยักษ์จางหายไป ผมก็รีบถอยไปด้านหลังสุดแรงเกิดทันที แม้จะเป็นเพียงไม่กี่นาทีของการต่อสู้ซึ่งสั้นกว่าที่ผมคาดเอาไว้ แต่ตอนนี้ก็ได้เวลาเหล่าศัตรูจะค่อยๆ กรูกันเข้ามาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยักษ์ล้มลงไปแล้วดังนั้นผมจะตกเป็นเป้าสายตาของพวกศัตรูได้อย่างชัดเจนมากขึ้นไปด้วย
ผมยังคงถอยไปด้านหลังเรื่อยๆ คิดถึงทิศทางที่จะไปอยู่สักพักก่อนจะตกลงสู่พื้นท่ามกลางกลุ่มคนหลังจากการหมุนกลับลำเพียงเบาๆ เท่านั้น
“ซูฮยอน”
ทันใดนั้น
“ซูฮยอน!”
ผมได้ยินเสียงของพี่พร้อมกับรับรู้ถึงสัมผัสที่จับอยู่ที่ไหล่ทั้งสองข้าง
พูดตามตรงว่ามันก็ไม่ได้น่าแปลกใจอะไรขนาดนั้น เพราะผมรู้ว่าพี่กำลังมาที่นี่ตั้งแต่ที่เห็นสายฟ้าฟาดมาที่อกของเจ้ายักษ์เมื่อสักครู่นี้แล้ว
และเมื่อผมค่อยๆ หันไปมอง ผมก็เห็นพี่ในสภาพเปียกโชกอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ แม้ผมเปียกโชกจะลงมาปรกใบหน้า แต่ผมก็ยังมองเห็นดวงตาอันเหนื่อยล้าของพี่ผ่านที่ว่างเล็กๆ นั้น
พี่ค่อยๆ ขยับปากขึ้นเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่างกับผม
“ซูฮยอน นี่นาย…?”
แต่ในตอนนั้นเองผมก็เริ่มรู้สึกถึงความรู้สึกหนักอึ้งรอบๆ ตัว พี่ปิดปากฉับในทันทีก่อนจะหันมองไปรอบบริเวณด้วยสายตาเฉียบคม
ความรู้สึกหนักอึ้งที่ผมรู้สึกได้ก็คือ ‘น้ำ’ นั่นเอง ความรู้สึกเย็นยะเยือกส่งผ่านเข้ามาตามผิวหนังและทันทีที่ผมก้มลงไปมองก็พบกับภาพที่คาดไม่ถึง น้ำที่เกาะอยู่ตามตัวผมหลั่งไหลออกไปอย่างรวดเร็วราวกับว่ามันถูกดูดซับด้วยความเร็วที่ยากจะคาดเดาและไม่ใช่เพียงแค่ผมคนเดียวเท่านั้น แต่น้ำบนตัวพี่หรือที่เจิ่งนองไปทั้งทั้งทุ่งหญ้าเองก็เช่นเดียวกัน
น้ำพวกนั้นไม่ได้ไหลไปไหนไกลเลย ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือมันไหลไปกองรวมกัน ‘ณ ที่ตรงนี้’ และน้ำที่ไหลมารวมกันนั้นก็กำลังมีขนาดใหญ่ขึ้นๆ จากน้ำที่ยังไหลมาเพิ่มอีกจากทุกสารทิศ
ครืนนน!
ไม่นานหลังจากนั้น ของเหลวสีฟ้านับสิบ…ไม่สิ บางทีอาจจะนับร้อยก็เกิดขึ้นมาก่อนจะซัดกระหน่ำเข้ามายังทุ่งหญ้าที่ว่างเปล่า ภาพของคลื่นยักษ์ที่เคลื่อนไหวคดเคี้ยวไปมาดูช่างหรูหราและงดงามจนสามารถเรียกได้ว่าเป็นภาพที่ยอดเยี่ยมที่สุดภาพหนึ่งเลยก็ว่าได้
ลา ลา ลา
ลา ลา ลา
ลา ลา ลา
“นี่มัน…ไม่ได้การล่ะ ไว้ค่อยคุยกันทีหลัง ตอนนี้เรารีบออกไปจากที่นี่กันก่อนดีกว่า”
หลังจากได้ยินเสียงท่วงทำนองที่เรียกกันว่า ‘กองทหารแห่งความบริสุทธิ์(The Legion Of Purification)’ พี่ก็รีบจับแขนผมแล้วลากไปทันที
ซึ่งแน่นอนว่าผมเห็นด้วยกับพี่อย่างเต็มที่เลย แต่พวกภูติที่ปรากฏตัวขึ้นก็ล้อมหน้าล้อมหลังพวกเราเอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้นเสียงโห่ร้องของพวกศัตรูที่วิ่งกรูกันเข้ามาจากด้านหน้าก็ค่อยๆ เข้าใกล้เข้ามาทุกทีๆ แล้ว
ผมกัดริมฝีปากตัวเองอย่างกล้ำกลืน
อย่าเพิ่งเลย…
ในตอนนั้นเอง
เมื่อผมกำลังคิดว่าผมต้องทำอะไรกับมันสักอย่าง
ซ่าาา…
ผมรู้สึกถึงสภาพอากาศเลวร้ายที่ดูราวจะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปช้าๆ คืบคลานมาจากที่ไกลแสนไกลและตามมาด้วยเสียงคร่ำครวญที่แสนคุ้นเคยดังเบาๆ มาให้ได้ยิน
เป็นความชั่วร้ายมืดมัวที่ผมรู้สึกว่ามันช่างต่างจากท่วงทำนองอันไพเราะของเหล่าภูติโดยสิ้นเชิง
ใช่แล้ว เสียงนี้จะต้องเป็น…
เสียงจากหลุมลึกลงไปใต้ดิน
ผมได้ยินเสียงกรีดร้องคร่ำครวญของเหล่ามารจากขุมนรกไม่ต่างจากเสียงหวนไห้ที่แสนมืดมิด
แดดแรงกล้าเจ้าของอุณหภูมิโหดร้ายค่อยๆ ย่างกรายเข้ามายังบริเวณโดยรอบเหมือนน้ำที่กำลังขึ้น แม้ว่าผมจะมองเห็นมันได้ไม่ชัดนัก แต่ก็รู้สึกถึงสัมผัสนุ่มลื่นแต่ในขณะเดียวกันก็พาให้อึดอัดใจ
“คิมซูฮยอนนน!”
ในตอนนั้นผมก็ได้ยินเสียงคุ้นเคยเรียกชื่อผมและเห็นส่วนหนึ่งของกองทัพที่ห้อมล้อมผมกับพี่เอาไว้ถูกทำลายลง ราวกับปาฏิหาริย์แห่งโมเสสได้เกิดขึ้นมาอีกครั้ง คลื่นลูกนั้นแหวกออกไปด้านข้างเป็นสองฝั่ง
“ซูฮยอน!”
จากนั้นทั้งผมและพี่ก็เริ่มออกวิ่งไปตรงช่องว่างที่เกิดขึ้นทันทีโดยไม่รีรอ ขณะที่กำลังวิ่งไปอย่างรวดเร็วผมก็ยังคงมองไปรอบๆ
เหล่าภูติน้ำอยู่ในสภาพเตรียมพร้อมหลังจากการเรียกสิ้นสุดลง เหล่าภูติที่ไหลผ่านน้ำเริ่มก่อตัวกันเป็นรูปร่างของหญิงสาวถือตรีศูลความสูงประมาณเมตรครึ่งเห็นจะได้
ปลายหูของหล่อนชี้ออกมาจากผมสีฟ้าครามยาวสลวย ลำตัวช่วงบนมีลักษณะเป็นเทพธิดาแต่ช่วงล่างมีหางเหมือนปลา และจากแสงลึกลับที่ส่องผ่านทั่วทั้งสรรพางค์กายของหล่อนทำให้รูปร่างทีปรากฏออกมานั้นดูคล้ายกับนางเงือก
อยู่แบบนั้นสักพักหนึ่ง เหล่าภูติที่มีสีหน้าเคร่งขรึมเป็นหนึ่งเดียวก็หันกลับมาและมองไปยังทิศทางหนึ่ง ดูเหมือนพวกเขากำลังโกรธเพราะในแววตาของพวกเขานั้นมีประกายความขุ่นเคืองอยู่น้อยๆ
ทันใดนั้นเอง
ในขณะที่กำลังวิ่งอย่างไร้สติ สิ่งที่ทำให้เหล่าภูติต้องขุ่นเคืองใจก็ค่อยๆ ปรากฏให้เห็นชัดเจนขึ้นทีละนิด สิ่งเหล่านั้นที่มีจำนวนนับร้อยค่อยๆ เข้ามาใกล้ขึ้นทุกที ในมือถือง้าวสีสันน่ากลัวเป็นมันวาวเอาไว้ด้วย
ผมจะ…เรียกพวกมันว่าอย่างไรดี
ทั้งร่างกายและแขนเป็นมนุษย์แต่ใบหน้าและลำตัวครึ่งล่างเป็นแพะ ลักษณะเป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์ เขาสีเข้มทั้งสองงอกยาวอยู่บนหัวและใส่เสื้อเกราะสีแดงเข้มทั่วทั้งตัว ภาพที่มันเดินเข้ามาพร้อมแววตาสีแดงฉานทำให้ผมนึกถึง ‘จอมมาร’ ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“ฉันช่วยเอง!”
เสียงกังวานอันเป็นเอกลักษณ์ดังก้องขึ้นมาระหว่างพวกมันที่กำลังเดินแถวใกล้เข้ามา วิเวียนมาช่วยผมและพี่ได้ทันเวลาพอดี
“ออกมาได้แล้ว! เซเทอร์!”
ตอนนั้นเอง จู่ๆ หมอกหนาสีดำสนิทก็ปรากฏขึ้นมาโดยรอบ เผยให้เห็นร่างของครึ่งเทพครึ่งสัตว์ที่สูงใหญ่ถึงหกเมตรอย่างไม่คาดคิด ขนาดของมันใหญ่กว่าจอมมารอื่นๆ กว่าสามเท่าตัว ผมจึงคิดว่ามันน่าจะเป็นจอมทัพของกองทัพที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้านี้
“กวาดมันให้หมด!”
วิเวียนออกคำสั่งอย่างโหดเหี้ยม เหล่ามารครึ่งแพะต่างส่งเสียงร้องระงมอย่างเดือดพล่าน และทันทีหลังจากนั้นแสงสีแดงฉานก็พวยพุ่งออกมาจากดวงตาของพวกมันราวน้ำเชี่ยวกราก ก่อนจะพุ่งเข้าใส่อีกฝั่งอย่างพร้อมเพรียงเหมือนสัตว์ร้ายที่หมายเอาชีวิต
ลา ลา ลา ลา ลา ลา
แต่ถึงอย่างนั้นเหล่าภูติน้ำก็ยังไม่ยอมแพ้ พวกเขาร้องเพลงประสานเสียงขึ้นมาพร้อมกันขณะเดียวกันนั้นก็ยกตรีศูลมันเป็นวาวชูขึ้นมาด้วย
จากนั้นการต่อสู้ระหว่างเหล่าภูติน้ำและจอมมารก็อุบัติขึ้น เริ่มด้วยการผสมปนเปกันของน้ำและความมืดมิด
และในระหว่างที่เหล่าภูติน้ำกำลังเผชิญหน้ากับเหล่าจอมมารนั้นเอง ผมและพี่ก็สามารถหนีออกจากวงล้อมได้ในที่สุด ทันทีที่เราไปถึงที่ที่วิเวียนอยู่ เราก็ได้เห็นภาพที่เปียกซกไปหมดของหล่อน
“โชคดีนะที่ไม่สายไป ว่าไหม”
วิเวียนส่งยิ้มสดใสมาทางผมพร้อมกับโบกไม้โบกมือให้ราวกับจะตรวจสอบว่าผมปลอดภัยดี แม้มันจะเป็นท่าทางที่ไม่เหมาะกับสนามรบ แต่ในสายตาผมท่าทางแบบนี้กลับดูงดงามอย่างไม่มีสาเหตุ
“จอมมารพวกนี้…นี่เธอเรียกกองทัพมาเหรอ”
“อื้ม กองพลที่เก้าน่ะ เซเทอร์แห่งการสำเร็จโทษ พวกมันจะกลายเป็นคู่ต่อสู้ที่คู่ควรแน่นนอน เพราะพวกมันจะคุ้มคลั่งขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นหญิงสาว”
คำพูดของหล่อนทำให้ผมต้องหันกลับไปมองยังที่ที่ผมและพี่อยู่เมื่อสักครู่นี้ ซึ่งในตอนนี้มันได้ตกอยู่ในความโกลาหลไปเสียแล้ว