Memorize - เล่มที่ 18 ตอนที่ 29
ณ ที่ที่ผมมองไปนั้น จอมมารตนหนึ่งกำลังส่งเสียงกรีดร้องทรงพลังพร้อมทั้งกวัดแกว่งง้าวในมือไปมา จากนั้นง้าวก็ฟันเข้าไปที่คอของภูติแล้วเลยผ่านไป แต่ภูติตนนั้นยังไม่ล้มลง เพียงแค่มีของเหลวไหลออกมาจากลำคอที่ถูกแยกส่วนออกก่อนจะต่อเข้ากับลำตัวส่วนบนที่ล้มลงไปอีกครั้ง
จอมมารรีบคว้าง้าวมาจับไว้แต่ในครั้งนี้การเคลื่อนไหวของภูติกลับไวกว่าหนึ่งก้าว ดูเหมือนเส้นผมสลวยนั้นจะยืดยาวออกมามากขึ้นแล้วพันสองมือของจอมมารเอาไว้โดยรอบ ก่อนจะเสียบตรีศูลสีฟ้าครามลึกลงไปในอกของจอมมารที่ไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้เลย จอมมารได้แต่กรีดร้องออกมาอย่างทุกข์ทรมาน
ทันใดนั้นเพื่อนๆ ที่อยู่บริเวณโดยรอบได้ยินเสียงร้องก็รีบกรูกันเข้ามาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกระหน่ำแทงลงมาในคราวเดียวด้วยง้าวที่พวกมันถืออยู่ ภูติน้ำแตกกระจายออกเป็นหยดน้ำเล็กๆ ในชั่วพริบตาเพราะการกระหน่ำโจมตีจากมารหลายตน
แต่เหล่าภูติก็ไม่ได้อยู่เฉย ลำแสงสิบเส้นที่ยิงเข้ามาจากด้านหน้าพุ่งตรงเข้าไปที่เหล่าจอมมารที่มีรัศมีสีฟ้าคราม เหล่าจอมมารที่สัมผัสถูกลำแสงนั้นเข้าก็ถูกฉีกร่างออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและถูกเผาไหม้ด้วยควันไฟสีดำ
การต่อสู้เพิ่งจะเริ่มขึ้นเท่านั้นแต่กลับดุเดือดกันตั้งแต่เริ่มเลย
และสถานการณ์การต่อสู้ที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้านี้ดูเหมือนทั้งสองฝ่ายจะเสมอกัน ไม่สิ แม้มันจะน่าเหลือเชื่อไปสักหน่อย แต่กองทัพของเหล่าจอมมารกำลังได้เปรียบอยู่ในตอนนี้
แต่ถ้าจะให้พูดอย่างเป็นกลาง เรื่องทักษะส่วนบุคคลนี่คงจะต้องยกให้เหล่าภูติมากกว่าเหล่าจอมมาร เพราะหากเปรียบเทียบกับเหล่าจอมมารที่ใช้เพียงพละกำลังพุ่งชนอย่างบุ่มบ่ามแล้ว เหล่าภูติไม่เกี่ยงว่าจะอยู่ในระยะใกล้หรือไกลและโจมตีด้วยทักษะที่หลากหลายกว่ามาก
ถึงอย่างนั้นสิ่งที่ทำให้เหล่าจอมมารยังนำหน้าอยู่ในการต่อสู้ก็คือการมี ‘เซเทอร์’ อยู่ในกองทัพนั่นเอง
ปัง!
แต่ละครั้งที่ง้าวซึ่งมีรูปร่างคล้ายเรือฟาดลงกับพื้น เหล่าภูติมากมายหลายตนก็จะเปลี่ยนเป็นละอองน้ำแล้วกระจายเปียกพื้น เซเทอร์กำลังวิ่งพล่านอย่างบ้าคลั่งดังที่หล่อนพูด นั่นทำให้เหล่าจอมมารมีแรงฮึกเหิมและเผชิญหน้ากับเหล่าภูติโดยไม่คิดท้อถอยเลยแม้แต่นิดเดียว
จริงอยู่ที่หาก ‘ราชาภูติ’ ปรากฏตัวขึ้นมาที่นั่น สถานการณ์ของสงครามจะพลิกกลับไปอีกด้านทันที แต่จากจำนวนที่ผมเห็นก่อนหน้านี้น่าจะเป็นพลังทั้งหมดที่พวกเขามีแล้ว ผมจึงมองไม่เห็นสัญญาณที่ราชาภูติจะปรากฏตัวออกมาให้เห็น
“คุณวิเวียน ตอนนี้เราสามารถทิ้งกองทัพนี้ไว้แล้วก้าวถอยหลังไปได้หรือยังครับ”
“หืม? อ้อ แน่นอน…เอ่อ ไม่สิ ค่ะ! ได้ค่ะ เดิมทีแล้วยิ่งเราออกจากระยะโจมตีไกลเท่าไรก็จะยิ่งควบคุมได้ยากขึ้น แต่เพราะตอนนี้เราได้มันมาแล้วระยะการโจมตีก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเยอะตามไปด้วยค่ะ”
และทันทีที่ผมหันกลับไปเพราะได้ยินบทสนทนาเหล่านั้น ผมก็เห็นว่าวิเวียนกำลังถือออร์โดแห่งข้อบังคับเอาไว้ และพี่ที่กำลังทำหน้าราวกับเจอความโชคดีในความโชคร้ายอย่างไรอย่างนั้น
การควบคุม? ระยะโจมตี?
“อ้า”
เป็นแบบนั้นแค่เพียงครู่เดียวเท่านั้น เมื่อได้ยินสิ่งที่วิเวียนพูด ความคิดมากมายที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่สู้กับเจ้ายักษ์ก็ผ่านออกจากหัวผมไปเหมือนแสงลำหนึ่ง ชิ้นส่วนความคิดมากมายที่วิ่งวนอยู่ในหัวเริ่มปะติดปะต่อเข้าหากันและในที่สุดผมก็คิดแผนออกแล้ว
“กองทัพน่ะไม่เป็นไรหรอกค่ะ เพราะแม้พลังจะเหลืออยู่เพียงนิด แต่หากใช้งานออร์โดก็จะสามารถเพิ่มพลังขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่งนี่…คะ?”
“โชคดีจังเลยนะครับ เสียงของพวกศัตรูเริ่มดังขึ้นแล้วครับ ก่อนอื่นเราทิ้งกองทัพนี้ไว้นี่แล้วถอยหลังกลับกันดีกว่าครับ ซูฮยอน?”
“…”
“ซูฮยอน? ซูฮยอน!”
“เฮฮฮ!”
หัวสมองผมว่างเปล่าไปพักหนึ่ง ตอนนี้ผมยังคงวิ่งไปข้างหลังเพื่อทิ้งระยะห่างให้มากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม เสียงของเหล่าศัตรูก็ดังขึ้นเรื่อยๆ เหมือนอย่างที่พี่พูด เพราะเรามัวแต่ชักช้ากันอยู่ที่นี่นิดหน่อยทำให้พวกศัตรูเกือบจะตามเราทันอีกครั้ง
“พี่”
ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ทำให้ผมเรียกพี่ออกมาโดยอัตโนมัติ
เมื่อผมหันกลับไปมองช้าๆ ผมก็เห็นพี่กำลังหอบหายใจอย่างหนักหน่วงแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และวิเวียนที่กำลังมองผมสลับกับสนามรบพร้อมสีหน้าที่ดูเร่งรีบ
เมื่อเห็นพวกเขาเป็นแบบนั้น ผมจึงพูดขึ้นนิ่งๆ
“พี่กับวิเวียนน่ะกลับไปก่อนไป”
“…อะไรนะ”
“ผมมีเรื่องที่ต้องทำ”
“นายมาพูดอะไรตอนนี้…”
“ทั้งสองคนน่ะ บอกว่าให้กลับไปก่อนไง!”
พลั่ก!
ในตอนนั้นเอง ผมก็รู้สึกว่าร่างกายช่วงบนของผมสั่นไหวอย่างแรง ทันทีที่ผมบอกว่าให้กลับกันไปก่อน พี่ก็ยื่นมือขวามาจับที่ไหล่ของผมอย่างแรง
“นาย…เมื่อกี้นายว่าอะไรนะ”
เมื่อเห็นสีหน้าของพี่ ไม่ว่าอย่างไรผมว่าผมก็ต้องอธิบายให้เขาเข้าใจให้ได้
ผมรีบพูดต่ออย่างรวดเร็ว
ผมอธิบายสถานการณ์ให้สั้นกระชับที่สุดเท่าที่จะทำได้และความจริงแล้วมันก็ไม่ใช่แผนที่ซับซ้อนอะไรนัก เพราะอย่างนั้นผมจึงสามารถพูดจบได้ในเวลาอันรวดเร็ว
“ซูฮยอน เมื่อกี้…ว่าไงนะ นายพูดว่าอะไรนะ นี่นายจะลอบสังหารคนเรียกภูติอย่างนั้นเหรอ”
“ก็อย่างที่บอกนั่นล่ะ”
“นี่นาย…บ้าไปแล้วเหรอ”
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่พี่สบถคำว่า ‘บ้าไปแล้วเหรอ’ ใส่ผม
ผมกัดรีบฝีปากสักพักก่อนจะส่ายหน้ากลับไปช้าๆ
“เปล่า ผมไม่ได้บ้า”
“นี่…นาย…ตอนนี้…”
เสียงสั่นๆ ของพี่มีแววแหบแห้งปนอยู่ด้วยเหมือนพูดอะไรไม่ออก หรืออาจจะเป็นความโกรธที่ยังหลงเหลืออยู่จากเรื่องเมื่อสักครู่นี้ก็ได้
ผมพูดกระชับเกินไปในตอนแรกและเพราะผมรีบพูดให้เร็วที่สุดทำให้ลำดับนั้นขาดหายไป แต่จากที่พี่มีปฏิกิริยาตอบรับแบบนี้ออกมาก็แสดงว่าพี่เข้าใจแผนการของผมแล้วอย่างแน่นอน
คราวนี้ผมจ้องไปทางวิเวียนบาง
“วิเวียน เธอเองก็ต้องจำไว้นะ จำคำที่ฉันพูดไปเมื่อกี้…”
“อย่าตลกไปหน่อยเลย!”
ขณะที่ผมกำลังจะกำชับวิเวียนอีกครั้งนั้น เขาก็ตะคอกใส่ผมแบบที่ไม่ค่อยได้เห็นนักในฐานะพี่ ขณะเดียวกันความเจ็บก็ส่งผ่านมาจากไหล่ด้านซ้ายที่ถูกจับเอาไว้
“นี่นายล้อเล่นอยู่หรือเปล่า พวกฉันอุตส่าห์มารับนาย แล้วนี่อะไร ยังบอกว่าจะกลับไปอีกอย่างนั้นน่ะนะ”
“ผมบอกไปแล้วนี่พี่…”
“ฉันเข้าใจที่นายพูด! แต่ถึงอย่างนั้น! สมมติว่าถ้ามันเป็นแบบนั้นล่ะ!”
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของพี่ผมก็กลับรู้สึกจุกในอกเหมือนโดนเข็มแทงเข้ามาอย่างจัง แต่ผมก็ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรกลับไป ทำเพียงแค่จ้องมองพี่อย่างนิ่งเฉยเท่านั้น
“นี่นายเห็นที่นี่เป็นสนามเด็กเล่นของนายงั้นเหรอ เป็นฮีโร่แบบไหนล่ะ นายทำไปทำไม จะเข้าไปทำไม ไม่สิ ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย ตอนนี้นายเป็นกลุ่มเตรียมรับมือไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ใช่แบบนั้นนะพี่ แค่คิดว่าจำเป็นต้องทำในสถานการณ์แบบนี้ต่างหาก”
“เฮอะ อ้อ งั้นเหรอ อย่างนี้นี่เอง ได้ เพราะมันเป็นสิ่งที่นายต้องทำนี่นะ เพราะฉะนั้นตอนนี้นายต้องการให้พี่ปล่อยน้องชายที่อยากจะเดินเข้าไปในอันตรายเอาไว้เพียงคนเดียวอย่างนั้นสินะ นายบอกให้พี่คอยดูอยู่เฉยๆ อย่างนั้นสินะ”
หมับ!
เสียงของพี่ตอนนี้ไม่ใช่เสียงทุ้มต่ำเหมือนในยามปกติ แต่กลับเป็นดังเสียงร้องคำรามของอสูรกายอย่างไรอย่างนั้น พี่กำไหล่ของผมเอาไว้แน่นอย่างกับหมายมั่นจะบีบให้มันแหลกคามือ การกระทำเหมือนเป็นการบอกกลายๆ ว่าเขาจะไม่ปล่อยให้ผมได้ไปไหนแน่ ๆ
ตึก ตึก ตึก!
ตอนนี้ผมไม่ได้ยินเสียงตะโกนของพี่อีกแล้ว แต่กลับได้ยินเป็นเสียงฝีเท้าอย่างชัดเจนและผมก็รับรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณ ตอนนี้ไม่ใช่แค่กำลังใกล้เข้ามา แต่ใกล้จนถึงขนาดที่สามารถมองเห็นได้แล้วด้วยซ้ำ
ผมรีบพูดต่ออย่างรวดเร็ว ผมว่าผมจำเป็นต้องรีบเกลี้ยกล่อมพี่อีกครั้งแล้วเพราะถ้าพวกนั้นตามมาข้างหลังล่ะก็เรื่องใหญ่แน่
“พี่ ฟังดีๆ นะ สนามรบในตอนนี้น่ะ ความพ่ายแพ้มันคือสัจธรรม พวกศัตรูกรูกันเข้ามาอย่างรวดเร็วแล้วพวกเราเองก็ยังตั้งสติกันไม่ได้ ทัพเสริมงั้นเหรอ การติดต่อสื่อสารมันก็โดนตัดไปแล้วด้วยน่ะสิ ต่อให้เตรียมการซ่อมแซมหรือวิเคราะห์สถานการณ์…เร็วที่สุดก็ยังต้องใช้เวลาตั้งยี่สิบนาที ไม่สิ ความจริงมันจะต้องนานกว่านั้นอีก ตอนนี้น่ะอย่าว่าแต่เอาชนะเลย เอาชีวิตให้รอดต้องมาก่อน ไม่ใช่หรือไง”
“ใช่ ต้องเอาชีวิตให้รอดก่อน แล้วตอนนี้ไอ้คนที่รู้เรื่องนี้ดีกลับเป็นแบบนี้น่ะเหรอ”
“พี่ก็รู้ว่าผมไม่ได้หมายความแบบนั้น”
“พี่หมายถึงนายกำลังเอาตัวเองเข้าไปตายไง เจ้าโง่!”
ผมไม่สามารถเผชิญหน้ากับเสียงตะคอกของพี่ได้อีกต่อไป จนสุดท้ายผมก็ต้องหลับตาลง แต่พี่ก็ยังไม่หยุดพูด
ผมพูดออกไปอีกครั้งอย่างชัดเจนด้วยเสียงที่ดังกว่าเก่า
“เพราะอย่างนั้นผมถึงได้ขอพี่ไง ขอให้พี่สร้างเส้นทางถอยหลังให้ เพราะหากสถานการณ์แบบเมื่อสักครู่ถูกสร้างขึ้นมาอีกครั้งและถ้าพี่รวมทักษะของพี่เข้าด้วยกัน มันจะมีทางขึ้นมาและเมื่อมีทาง ผมก็จะสามารถหลบออกมาได้ด้วยตัวเองไง”
“นายคิดว่าพวกศัตรูมันตาบอดกันหรือไง หา? เรามาลองคิดกันโดยใช้สามัญสำนึกทั่วๆ ไปดูนะ ทำไมพี่จะต้องออกไปจากที่นี่และสร้างทางให้นายหลบออกมาด้วย”
“…”
“พี่ไม่รู้จริงๆ ว่านายกำลังพยายามจะทำอะไรและเพื่ออะไร ซูฮยอน มันยังไม่สายเกินไปหรอกนะ ปล่อยความคิดนี้ทิ้งไปซะ ปล่อยมันทิ้งไปแล้วค่อยมาหาทางกันทีหลังเถอะนะ แบบนั้นไม่ดีกว่าเหรอ”
ผมส่ายหน้าไปมา ถ้าทำแบบนั้นมันจะสายเกินไป
“ซูฮยอน ได้โปรดเถอะ…”
น้ำเสียงของพี่อ่อนลงอย่างน่าสงสารเหมือนว่าเขาจะรับรู้ถึงการตัดสินใจอันแน่วแน่ของผมแล้ว น้ำเสียงน่าเห็นใจนั้นทำเอาผมใจสั่นไปชั่วขณะ แต่สุดท้ายผมก็ต้องคุมความรู้สึกให้อยู่อีกครั้ง
หากถามว่าผมทำเพื่ออะไร ผมก็ขอตอบว่าเพื่อตัวผมเอง และถ้าหากถามว่าทำเพื่อใคร ผมก็จะขอตอบว่าเพื่อพี่ชายของผมและทุกๆ คนที่ผมรู้จัก ผมค่อยๆ ตั้งสติก่อนจะพูดออกไป
“ถ้าเป็นพี่ล่ะก็ต้องทำได้แน่ ผมเชื่อใจพี่”
“คิมซูฮยอน!”
“พี่!”
ผมเห็นพี่สะดุ้งจนตัวโยนเพราะเสียงตะคอกของผม
ในหัวผมตีกันวุ่นไปพักหนึ่ง ผมว่าถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปคงได้เถียงกันไม่จบไม่สิ้นแน่ ดังนั้นในที่สุดผมก็คงต้องพูดในสิ่งที่ไม่อยากพูดออกมา ไม่สิ ต้องบอกว่าเป็นคำที่พูดยากมากกว่าหรือเปล่า
ไม่อยากพูดในที่แบบนี้เลยให้ตายสิ…
ผมคิดมากไปหมด แต่สุดท้ายผมก็ตัดสินใจได้
ถึงเวลาต้องพูดแล้ว
ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้งและมองเห็นใบหน้าของพี่ที่พาลทำให้รู้สึกหดหู่ใจ
ผมมองหน้าพี่ก่อนจะเปิดเผยความรู้สึกทั้งหมดออกมา
“พี่ช่วยใช้พลังสายฟ้าของพี่สักครั้งเถอะนะ”