Memorize - เล่มที่ 18 ตอนที่ 31
ในตอนนั้นลูกธนูนับไม่ถ้วนก็ตกกระหน่ำลงมาพร้อมกับเสียงสายธนูที่ถูกปล่อย ผมเลียริมฝีปากด้วยความเสียดายเพราะตั้งใจว่าจะลับดาบของผมด้วยการเริ่มโจมตีก่อนแล้วจึงรีบซ่อนตัวโดยไว เมื่อผมออกจากวงโคจรของลูกธนูแล้ว ก็ได้ยินเสียงลูกธนูที่บินฝ่าสายลมและเสียงปลายลูกศรปักลงที่พื้นดินดังตามมา และทันใดนั้นผมก็ตะโกนปลุกใจตัวเองออกมาหนึ่งคี้งก่อนจะกระทืบเท้าลงกับพื้น
ปัง!
เส้นผมปลิวสะบัดไปตามแรงลมที่พัดผ่านใบหน้าของผมไป ระยะห่างระหว่างผมกับเหล่าศัตรูลดลงอย่างรวดเร็วในชั่วพริบตา ไม่สิ ไม่ได้ถึงขนาดลดลงแต่เป็นสถานการณ์ที่เข้ามาอยู่ภายในแนวหน้าต่างหากล่ะ เมื่อผมมองลงไปก็พบว่าเหล่าศัตรูกำลังเงยหน้ามองตามผมอยู่ ความตกใจฉายอยู่ในแววตาของพวกมันส่วนใหญ่เพราะไม่เคยคิดว่าการเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วของผมจะเร็วได้ถึงเพียงนี้
หลังจากดูว่าท้องฟ้าว่างดีแล้วผมก็ค่อยๆ ลดระดับลงมาทั้งสภาพแบบนั้นและลงถึงพื้นได้อย่างแผ่วเบา หลังจากนั้นผมจึงได้เห็นเหล่าผู้เล่นแห่งทวีปตะวันตกที่รายล้อมผมอยู่โดยมีพวกเร่ร่อนผสมอยู่ในนั้นด้วยเป็นหย่อมๆ และข้างๆ ผมตอนนี้มีชายหนุ่มชาวอเมริกันคนหนึ่งยืนอยู่พร้อมทั้งส่งสายตาว่างเปล่ามาให้ก่อนจะค่อยๆ พูดขึ้นมาเรียบๆ
“ไฮ (Hi)”
ผมทักทายเขาง่ายๆ ทางสายตาก่อนจะตอบกลับไปด้วยการปักดาบไปที่คอแล้วเตะเข้าไปที่หน้าอกของอีกฝ่ายอย่างแรง
จากนี้ไปจะไม่มีความลังเลใจในการเคลื่อนไหวอีกต่อไปแล้ว
ค่าความคล่องแคล่ว 98 พอยต์, การเคลื่อนย้ายร่างในพริบตา, การหายตัวไร้เงา, ออร์โธรส ลอง บู๊ทส์และอื่น ๆ
ข้อมูลผู้เล่นของผมนั้นเหมาะสมกับการใช้ความเร็วมากที่สุด อยู่ในระดับที่ผู้เล่นโดยทั่วไปไม่สามารถมองตามได้ทัน ผมจึงไม่ควรจะเหลือช่องว่างให้พวกศัตรูได้ตามจับรอยผมได้
ดังนั้นผมจึงขยับขึ้นไปบนอากาศประมาณครึ่งก้าวหลังจากที่ดูที่ดูทางดีแล้ว และกวัดแกว่งดาบที่จับอยู่ในมือทั้งสองลากยาวเป็นเส้นตรงตัดผ่านกันเพื่อปลดปล่อยพลังเวทที่ถูกปิดกั้นเอาไว้
ดูเหมือนพลังที่เกิดขึ้นมาที่ดาบจะหยุดเคลื่อนไหวไปสักพัก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงพวยพุ่งปะทุออกมา แสงศักดิ์สิทธิ์และความมืดมิดหลั่งไหลออกมาจากปลายดาบแหลมคม พลังนั้นทิ้งเพียงภาพติดตาที่วาดเป็นเส้นโค้งยาวเฟื้อยตามองศาที่ถูกกวัดแกว่งเอาไว้กลางอากาศ
ไม่ถึงวินาที ภาพที่ถูกวาดขึ้นมาเหล่านั้นก็เปลี่ยนเป็นกระแสคลื่นพลิ้วไหวที่มีพลังหลากหลายแตกต่างกันไปในแต่ละอัน และเมื่อมันพุ่งออกไปทั้งสภาพนั้นตอนนี้จึงกลายเป็นว่ามันยิงกระหน่ำออกไปทางเหล่าศัตรูที่กำลังจะวิ่งหนีอย่างรุนแรง
ชิ้ง ชิ้ง ชิ้ง!
“อุ๊บ! (Whoops!)”
“ม่ายยยย! (Nooooooo!)”
การกระแทกของคลื่นทั้งสองกลืนกินเหล่าศัตรูที่ขวางทางอยู่เบื้องหน้าของมันเข้าไป คลื่นสีขาวตัดออกจนสะอาดหมดจดในขณะที่คลื่นสีดำสนิทฉีกพวกเขาออกอย่างตะกรุมตะกราม เหล่าผู้เล่นที่ถูกคลื่นซัดต่างส่งเสียงร้องตะโกนในขณะที่บางส่วนของร่างกายหลุดออกไป เลือดสีแดงฉานที่พุ่งขึ้นกลางท้องฟ้ากระจัดกระจายเหมือนใบไม้ที่ร่วงหล่นลงทันทีที่เราไปแตะมัน
ผมก็อยากจะอยู่ดูเทศกาลเลือดที่คลื่นทั้งสองจัดขึ้นมาต่อเช่นกันแต่มันก็ไม่มีเวลามากพอให้ผมได้ทำอย่างนั้น ผมเริ่มใช้การหายตัวไร้เงาทันที ก่อนจะกระโจนเข้าไปยังพื้นที่ว่างที่กระแสคลื่นได้สร้างขึ้นมา
ในครั้งนี้เป็นหญิงสาวชาวอเมริกันผมสีทองคนหนึ่งที่เข้ามาใกล้ผมพร้อมกับอาการปวดท้อง ถึงแม้ว่าสีหน้าที่ฉายแววไปไม่เป็นของหล่อนจะดูน่าสังเวชเพียงใด ผมก็ไม่ลังเลที่จะแทงดาบเข้าไปเลยสักนิด
ฟึ่บ!
คาลิโก อาบรักซัสเสียบเข้าไปที่ลิ้นไก่ของหล่อนอย่างนิ่มนวล ดวงตาของหญิงสาวเบิกโตขึ้นราวกับหล่อนไม่คิดจะโต้ตอบ และเมื่อผมบิดดาบอย่างแรงแล้วถอนออกมานั้น ผมก็ได้ยินเสียงตะโกนลั่นเหมือนคนเสียสติดังใกล้เข้ามาจากด้านหลัง
“แคทเธอรีน! (Catherine!)”
เผละ!
ความรู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างฉีกขาดอย่างแรงส่งผ่านมาทางคมดาบ เมื่อหันไปชำเลืองทางด้านหลังก็ได้เห็นภาพชายฉกรรจ์คนหนึ่งสวมถุงมือหนา เกราะหุ้มหน้าอกถูกแหวกออกจากกันอย่างรุนแรงจากซ้ายไปขวา
ในตอนนั้นผมก็ได้สบตากับชายฉกรรจ์ที่ผมได้ฟันเขาเอาไว้เมื่อสักครู่นี้ ในแววตามีความไม่ไว้วางใจฉายอยู่เด่นชัด ปากก็อ้าพะเงิบพะงาบ เขาดูคล้ายอยากจะแก้แค้นผม คงเพราะเขาอาจจะมีความสัมพันธ์พิเศษกับหญิงสาวที่เพิ่งตายไปล่ะมั้ง ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ
ตอนนี้ผมค่อยหายใจคล่องคอขึ้นมาหน่อย แต่ก็เพียงแค่ครู่เดียว ผมรีบหันหันหน้ากลับไปทันที ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นจากการโจมตีครั้งแรกมีอยู่เพียงครู่เดียว ผิวหนังปวดแสบปวดร้อนจากศรแหลมอันป่าเถื่อนที่ถูกยิงกระหน่ำเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง เพื่อที่จะสามารถใช้การเคลื่อนย้ายร่างในพริบตาได้นั้น ผมจำเป็นต้องหาพื้นที่ว่างที่อยู่ภายในระยะโจมตีให้เจอเสียก่อน ดังนั้นผมจึงรีบมองปราดไปยังใจกลางสนามรบที่มิดชิดอย่างรวดเร็ว
จริงๆ แล้วไม่ต้องมิดชิดมากก็ได้ หากมีเงื่อนไขอย่างหนึ่งที่ถูกจำกัดในสนามรบนี้ แน่นอนว่าสิ่งนั้นก็คือการที่ผมจะพยายามเข้าไปใกล้คนเรียกภูติซึ่งเป็นเป้าหมายของผมให้ได้มากที่สุด
ผมไม่สามารถอยู่เผชิญหน้ากับเหล่าศัตรูไปได้ทุกวัน ถึงที่สุดแล้วอย่างไรก็ต้องเป็นการลอบสังหารอยู่ดี ความจริงแล้วพอมาถึงตอนนี้มันก็ออกจะเกินไปที่เรียกว่าลอบสังหาร แต่ผมก็ต้องรีบฆ่าแล้วหนีออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะยิ่งปล่อยเวลาผ่านไปเท่าไรก็จะยิ่งหลบหนีออกไปได้ยากเท่านั้น
หนึ่ง, สอง, สาม
เมื่อผมโชคดีหาพื้นที่ว่างเปล่านั้นเจอ ผมก็เริ่มร่ายพลังเวททันทีโดยไม่คิดรีรอแต่อย่างใด
ผมเปิดเวททั้งหมดสามครั้งติดต่อกัน ผมกะพริบตาไปทั้งหมดสามครั้งในระหว่างนั้นและทุกๆ ครั้งที่ผมกะพริบตา ทิวทัศน์โดยรอบก็เปลี่ยนไปด้วย
แต่ในขณะที่ผมกำลังจะเปิดเวทเพื่อไปยังพื้นที่ว่างเปล่านั้นอีกครั้ง หัวของผมก็หงายกลับไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นหอกเล่มหนึ่งก็ลอยผ่านปลายจมูกผมไปพร้อมกับเสียงที่น่าหวาดเสียว
ฟิ้ววว!
รวมทั้งเสียงของลูกธนูมากมายก็ดังขึ้นมาพร้อมกัน
เจ้าพวกบ้าเอ๊ย
ผมสบถออกมาพร้อมกับกวาดหอกทิ้งไป และในครั้งนี้ผมก็ก้มตัวไปอีกทางหนึ่ง
จริงอยู่ที่หากผมมาลองพิจารณาจากเสื้อโนเบิลมิธธิลหรือจากความอดทน ผมก็สามารถทนได้ในระดับหนึ่งแม้ว่าจะโดนยิงมาบ้างก็ตาม แต่เพราะผมเองก็ไม่คิดว่าพวกเขาจะยิงธนูมาในสถานการณ์การต่อสู้เช่นนี้ จึงนึกอยากให้พวกเขาลองมาโดนธนูจากทัพฝั่งเราบ้างสักที แน่นอนว่าผมเองก็แอบหวังว่าลูกธนูจะเปิดทางให้ผมอยู่ด้วยเหมือนกัน
ผมยืดตัวขึ้นมาทันทีหลังจากที่ฝูงลูกธนูเฉียดผ่านด้านหลังผมไป และผมก็ได้รู้ว่าผมคิดผิด ลูกธนูที่เพิ่งผ่านไปไม่ได้เจาะทะลุเข้าไปยังทัพของเราเลย แต่กลับหยุดชะงักไปชั่วครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับมาแล้วเล็งเป้าหมายมาที่ผมอีกครั้งหนึ่ง ดูท่าแล้วมันน่าจะมีทักษะนำทางนักธนูอยู่ด้วย
“จิ๊”
ผมจิ๊ปากเบาๆ หนึ่งครั้งก่อนจะโยนคาลิโก อาบรักซัสที่ถือไว้ในมือขวาสูงขึ้นไปบนฟ้า แล้วยืดแขนขวาออกไปคว้าหมับเข้าที่คอของชายฉกรรจ์ที่เพิ่งจะโจมตีผมด้วยหอกเมื่อสักครู่
และเมื่อลูกธนูมากมายเหล่านั้นกำลังจะมาถึงตัวผมก็ไม่รอช้ารีบลากตัวของชายหนุ่มออกมาเป็นโล่กำบังให้ผมทันที
ฉึก ฉึก! ฉึก ฉึก ฉึก!
ร่างกายของชายฉกรรจ์ที่มาโดนยิงแทนผมกระตุกอย่างแรงทุกครั้งที่ลูกธนูปักลงมา ผมยังรู้สึกถึงอาการสั่นไหวอย่างต่อเนื่องเหมือนว่าเขาจะยังไม่ตาย แต่ผมเสียเวลากับตรงนี้มามากพอแล้ว ตอนนี้พวกศัตรูกำลังมารวมตัวกันอย่างเนืองแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ
เห็นดังนั้นผมจึงเพิ่มแรงบีบที่มือขย้ำคอเขาให้แหลกแล้วผลักเขาออกไปด้านหน้าอย่างแรง ก่อนจะขยับมือไปรับด้ามของคาลิโก อาบรักซัสที่ตกลงมากลางฝ่ามือ
ผมยังมองไม่เห็นพื้นที่ว่าง จริงอยู่ที่การกระโจนขึ้นไปบนอากาศแล้วลงสู่พื้นดินอีกครั้งโดยใช้การเคลื่อนย้ายร่างในพริบตาก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำได้ แต่ถ้าหากเหล่าศัตรูเกิดตั้งสติได้ขึ้นมาก็ถือว่ามีความเสี่ยงสูงมากพอสมควร หากผมขึ้นไปบนอากาศอาจจะกลายเป็นเป้าหมายในการโจมตีจากระยะไกลได้มากยิ่งขึ้น และหากผมไม่สามารถหาพื้นที่ว่างที่พอจะเหยียบย่ำได้บนนั้นล่ะก็ คงจะตัดสินใจทำอะไรได้ลำบากยิ่งกว่าเดิมเป็นแน่
ทำไม่ได้แน่
ผมสามารถหาข้อสรุปให้กับตัวเองได้ในเวลาอันสั้น ผมยังพอมีพลังเหลืออยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้เต็มร้อย ดังนั้นผมคิดว่าทำเท่าที่ไหวเพียงเพื่อให้มีทางรอดจะดีกว่าการเดิมพันทั้งหมดแบบเมื่อสักครู่นี้
เดิมทีผมกะจะเก็บแรงไว้จนกว่าคนเรียกภูติจะมาถึง แต่สุดท้ายแล้วผมก็ตัดสินใจส่งเกียรติยศแห่งวิคตอเรียออกไปเบื้องหน้าแล้วฟาดมันออกไปเต็มแรงเพื่อเปิดใช้งานพลัง ‘ความมืด’ ที่ถูกซ่อนไว้
วิ้งงง!
ทันใดนั้นผมคิดว่าเกียรติยศแห่งวิคตอเรียคงกำลังเปล่งแสงเรืองรองออกมาอยู่แน่ๆ
ไม่นานลำแสงทั้งเก้ารูปร่างคล้ายดาบก็ปล่อยพลังความมืดดำสนิทออกมา
ลำแสงสีดำซึมเข้าไปในลำคอของเหล่าผู้เล่นเก้าคนที่ขวางทางมันอยู่อย่างแม่นยำและลึกซึ้ง
เลือดถูกพ่นออกมาจากลำคอสีขาว
“อ๊ะ…? (Ah…?)”
ผู้เล่นชายคนหนึ่งเปล่งเสียงออกมาอย่างว่างเปล่าแต่ก็เพียงครู่เดียว เพราะหลังจากนั้นเขาก็สำลักเลือดพรวดออกมาก่อนคอของเขาจะถูกตัดและตกลงบนพื้น
ตุ้บ!
ไม่นานศีรษะของทั้งเก้าคนก็กลิ้งหลุนๆ อยู่บนพื้นพร้อมกับที่ที่พวกเขาเคยยืนอยู่ก็ค่อยๆ ว่างลงไปช้าๆ เช่นกัน
“ระวัง! (Watch Out!)”
“นั่นมันปีศาจ! ปีศาจ! (It’s a Monster! Monster!)”
จู่ๆ ผมก็รู้สึกถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นท่ามกลางเหล่าศัตรู มันคงจะดูน่าตกใจไม่น้อยเลยที่คอของคนเก้าคนจะลอยออกมาพร้อมกัน ถึงอย่างไรผมก็ไม่ว่างพอที่จะสังเกตคนพวกนั้น ผมรีบวิ่งออกไปทันทีที่พวกเขาล้มลง และทุกครั้งที่มีใครมาขวางทางผมไว้ผมก็จะเริ่มกวัดแกว่งและแทงดาบออกไปอย่างโหดเหี้ยม
ฟึ่บ! ฉับ!
ปลายดาบเสียบเข้าไปที่หัวใจอย่างแม่นยำและใบมีดที่เฉือนเข้าที่คออย่างไร้ความปรานี ผมเล็งเข้าหาเฉพาะจุดตายที่ทำให้ผมสามารถฆ่าให้ตายได้ในครั้งเดียวโดยไม่จำเป็นต้องโจมตีอีกเป็นครั้งที่สอง เพราะยิ่งผมโจมตีเพิ่มน้อยลงเท่าไรผมก็ยิ่งรุกคืบไปข้างหน้าได้มากเท่านั้น
ด้วยโชคดีผ่านช่องว่างในช่วงโกลาหลทำให้ผมสามารถเจาะรูที่ลำคอและหน้าอกของเหล่าศัตรูได้ในทุกๆ ครั้งที่ดาบแตะลงไป
แม้ผมจะทำให้ทั้งเส้นทางแออัดยัดเยียดไปเช่นนั้น แต่ในใจกลับร้อนรนขึ้นเรื่อยๆ
ในตอนนี้คนเรียกภูติอาจจะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติแล้วก็ได้ ถ้าหากเขารู้สึกว่ามีอันตรายแล้วหนีไปอยู่ด้านหลังขึ้นมา ความเป็นไปได้ที่จะสังหารเขาก็จะกลายเป็นศูนย์ทันที
ถ้าไม่รีบไปให้เร็วล่ะก็…
ไม่ว่าความรู้สึกนี้มันจะส่งผลถึงผมหรือไม่ แต่มือที่ถือดาบทั้งสองเอาไว้ก็สั่นไหวเสียแล้ว ผมเปลี่ยนเป็นป้องกันให้น้อยลงแล้วหันไปความสนใจกับการโจมตีแทน ถึงแม้ว่าความละเอียดรอบคอบจะลดลงแต่อย่างน้อยมันก็เป็นทางเลือกที่มีอานุภาพในการทำลายล้างสูงทีเดียว
วิถีดาบที่กวัดแกว่งอย่างพลิ้วไหวราวน้ำไหลเริ่มวาดออกเป็นเกลียวพร้อมกับเสียงเสียดสีอย่างหนักของสายลม ผมโจนตัวเข้าไปทั้งแบบนั้นก่อนจะเหยียบพื้นด้วยเท้าซ้ายแล้วหมุนครึ่งตัวไปด้วยในเวลาเดียวกัน และเมื่อเท้าขวาของผมก้าวออกไปข้างหน้า ผมก็ส่งแรงทั้งหมดไปยังแขนทั้งสองแล้วสะบัดออกไปเต็มเหนี่ยว
ชริ้งงง!
เส้นที่วาดเป็นรูปร่างซับซ้อนพร้อมเสียงบางอย่างที่ถูกฟันอย่างเฉียบคมค่อยๆ กลายเป็นดาบที่น่าหวั่นเกรงก่อนจะกระจายออกไปทั่วทิศทาง อย่างไรก็ตามผมยังเห็นบางคนที่สามารถสังเกตเห็นได้เร็วก็พยายามจะรีบหนีหรือหาที่กำบังโดยการยกโล่ของตนขึ้นมา แต่เมื่อดาบไปถึงภาพเศษเลือดที่ปะทุออกมาเป็นสายราวกับโดนระเบิดก็เข้ามาให้ผมเห็นอย่างเต็มตาแทน
หลังจากดูจนแน่ใจผมก็เข้าไปยังพื้นที่ว่างนองเลือดก่อนจะไขว้ดาบที่กำอยู่ในสองมือตัดผ่านกันโดยไม่คิดที่จะหยุดพักเลยแม้เพียงนิด พวกของศัตรูคนหนึ่งที่ตกเป็นเป้าหมายยกดาบขึ้นมาในตอนที่ผมไม่ทันได้ระวังตัว แต่แล้วเขาก็ล้มกลิ้งลงไปกับพื้นทั้งอย่างนั้นพร้อมอาวุธที่ถูกแยกออกเป็นสองส่วน
“ถอยไป! ถอยไป! (Back off! Back off!)”
“อยู่ให้ห่างจากปีศาจ! (Stay away from monster!)”
เวลาเดียวกันกับที่การโจมตีของผมประสบความสำเร็จ จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนโห่ร้องที่ดังผิดปกติและไม่รู้ที่มาที่ไปผสมปนเปไปกับความสับสนอลหม่านจากทุกหนทุกแห่งรอบกาย และในขณะเดียวกันนั้นทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปทีละอย่าง