Memorize - เล่มที่ 19 ตอนที่ 10
เชร้ง! เชร้ง!
บึ้ม! บึ้ม!
ยิ่งผมข้ามผ่านอยู่ในสมรภูมิรบมากเท่าใด ระดับความน่าสังเวชใจก็ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น ทั้งลูกธนูและเวทมนตร์ต่างยิงกระหน่ำเข้ามาเหมือนกับการทิ้งระเบิดไว้ไม่มีผิดเพี้ยน ควันโขมงหนาทึบปะทุขึ้นมาเป็นหย่อมๆ สูงหลายสิบเมตรเห็นจะได้
“อย่าหนี รวมกลุ่มกันไว้! รวมกลุ่มกันไว้!”
“ดะ เดี๋ยวก่อน! อย่าเพิ่งไป! ช่วยด้วย! ช่วยด้วย…อึก…อ๊ากกก!”
เสียงตีรันฟันแทงดังขึ้นพร้อมกับเสียงตะโกนต่อต้านการสังหารอันแสนโหดเหี้ยมของพวกศัตรู และยังมีเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังขึ้นจากที่ใดสักที่
“คะ แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่”
“…”
ตั้งแต่เสียงระเบิดและเสียงวุ่นวายที่ดังขึ้นมาต่อจากนั้นแว่วผ่านเข้าในหูอย่างเลือนราง แต่ทว่าผมก็เพิกเฉยต่อสิ่งเหล่านั้น และเดินผ่านมันไปอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด ผมหนีแรงระเบิดต่างๆ และถ้าหากเห็นพวกศัตรูก็แค่วิ่งข้ามพวกมันไปก็เท่านั้น
ความสนใจของผมในตอนนี้มีเพียงการช่วยชีวิตอย่างเดียวเท่านั้น เหล่าผู้เล่นคนอื่นๆ เขาจะเป็นอย่างไร และกำลังทำอะไรอยู่ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมจำเป็นต้องรู้ สำหรับผมในตอนนี้นั้น ขอเพียงแค่ผมสามารถช่วยเหลือและรับผิดชอบต่อชีวิตของคนที่ผมรู้จักไว้ได้ ก็นับเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจมากๆ แล้ว
ในระหว่างที่ผมกำลังวิ่งไปด้วยกำลังทั้งหมดที่มีอยู่นั้น จู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงอะไรอุ่นๆ เฉียดเข้ามาตรงแก้ม ผมจึงก้มหน้ามองลงไป แล้วจึงได้เห็นแววตาอันแสนเหม่อลอยจากอิมฮันนาที่มองขึ้นมา ทว่าเราทั้งคู่สบตากันเพียงแค่ช่วงเสี้ยววินาที ผมเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง หล่อนเองก็หลุบตาต่ำลงไป พร้อมลดมือลง
“มีเลือดเลอะอยู่น่ะค่ะ…”
“…”
เสียงอันแสนแผ่วเบาที่ดังขึ้นจากด้านล่างนั้น ทำเอาผมรู้สึกนึกขอโทษหล่อนน้อยๆ อยู่ในใจเลยทีเดียว แม้หล่อนบอกว่าจะพยายามติดตามผมให้ได้ดีที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ได้วางแผนไว้แล้วว่าจะส่งหล่อนกลับไป ผมเลือกจองฮายอนไว้เป็นเป้าหมายถัดไปที่จะช่วยชีวิต และได้คิดไว้แล้วว่าจะขอร้องให้หล่อนเดินทางไปจนกว่าจะถึงค่ายคุ้มกันโดยสวัสดิภาพ เช่นนั้นแล้วผมจึงจะสามารถเคลื่อนตัวไปหาเป้าหมายต่อๆ ไปได้ โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องวิ่งเทียวไป เทียวมาอยู่หลายครั้งนั่นเอง
เข้าใจฉันด้วยนะ
ผมวิ่งเข้าไปในกลุ่มควันที่ผสมปนเปไปด้วยขี้เถ้าตรงเบื้องหน้า เพราะคิดว่าสถานการณ์ขณะนี้ผมทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว
ผมใช้จุดที่พบตัวอิมฮันนาตั้งเป็นมาตรฐาน ดังนั้นระยะห่างของจองฮายอนจึงอยู่ที่ประมาณหนึ่งร้อยสิบเมตร หากผมผ่านจุดนี้เพียงจุดเดียวไปได้ ตำแหน่งที่จะเข้าช่วยชีวิตเป็นลำดับที่สองจึงจะเผยออกมา ผมกลั้นลมหายใจหนึ่งครั้ง เมื่อมาถึงตำแหน่งเป้าหมายอย่างไม่รู้ตัว
ใบหน้าผมเปรอะเปื้อนไปด้วยขี้เถ้า พร้อมกับทัศนวิสัยอันแสนดำมืดจนมองไม่เห็นสิ่งใด ทว่าพอผ่านกลุ่มควันแล้วพ้นออกมาได้นั้น ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนกลับคืนสู่สภาพปกติอีกครั้งหนึ่ง วินาทีนั้นผมจึงได้หยุดก้าวเดินของตัวเองไป
เสียงกรีดร้องยังคงดังแว่วอยู่เช่นเดิม
ผมค่อยๆ ปล่อยตัวอิมฮันนาลงอย่างช้าๆ แล้วใช้สายตากวาดมองทั่วอาณาบริเวณ
คงเป็นเพราะเดินผ่านเลยไปสักระยะหนึ่งแล้วก็เป็นได้ จึงทำให้ผมไม่เห็นพวกศัตรูรวมกลุ่มใหญ่กันอยู่เลย อีกทั้งยังไม่พบตัวเหล่าผู้เล่นที่ยืนอยู่บริเวณรอบๆ นี้ด้วย สิ่งที่เห็นอยู่เพียงสิ่งเดียวคือ เลือดสีแดงฉานที่ไหลไปตามผืนดินกับเลือดที่เลอะอยู่บนตัวศพแต่เพียงเท่านั้น
และแล้วจากกองศพที่อยู่ตรงหน้าผมนี้ ข้อมูลของจองฮายอนจึงได้ถูกยืนยันขึ้นมาอีกครั้ง
ผมใจเต้นระส่ำระส่ายไปชั่วขณะ แต่แล้วก็ได้รีบปลุกดวงตาที่สามขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ต่อมาจึงเริ่มสอดส่องตำแหน่งที่รู้สึกได้ถึงตัวจองฮายอน จากกองศพจำนวนนับไม่ถ้วนที่กระจายทั่วทุกหนแห่ง
[ผู้เล่นคิมจูยอน (เสียชีวิต)]
[User Kaisa Matthew (เสียชีวิต)]
[ผู้เล่นชินฮยอนแท (เสียชีวิต)]
[User Brian James (เสียชีวิต)]
[ผู้เล่นคิมอายอง (เสียชีวิต)]
[ผู้เล่นจองฮายอน (บาดเจ็บหนัก)]
[…]
[User Kate Bellamy (เสียชีวิต)]
[ผู้เล่นคิมจีฮุน (เสียชีวิต)]
[ผู้เล่นฮันฮโยจิน (บาดเจ็บหนัก)]
[…]
เจอแล้ว
ผมค้นพบตัวจองฮายอนจนได้ในที่สุด พร้อมกับได้ยืนยันสถานะของหล่อนแล้วเป็นที่เรียบร้อย นั่นจึงทำให้ผมถอนหายใจโล่งอกทันที และในวินาทีกำลังจะวิ่งออกไปนั่นเอง ผมรู้สึกได้ถึงกระแสพลังเวทที่ไหลเวียนเข้ามาอย่างกะทันหันจากด้านข้าง จึงทำให้ผมต้องคว้าเกียรติยศแห่งวิคตอเรียขึ้นมาอย่างทันทีทันใด แล้วชูดาบขึ้นมาทันที
พรึ่บ!
“อ๊ะ!”
“อย่าทำตัวเป็นจุดสนใจล่ะ”
อิมฮันนากำลังหันหน้าไปยังทิศทางหนึ่งพร้อมกับเล็งแสงแปลบปลาบส่องประกาย : ลอร่า ฟีลิส แต่ผมคว้าหมับเข้าให้อย่างเร่งรีบจนเกือบพลาดหลุดมือไป แล้วจึงพยักหน้าให้ผมด้วยสีหน้างงงวย
ผมสั่งให้อิมฮันนาระมัดระวังตัวอีกครั้งหนึ่ง แล้วหลังจากนั้นจึงวิ่งเข้าไปในกองศพ เพราะผมสามารถวิเคราะห์ได้แล้วว่าจองฮายอนอยู่ตรงไหน
ผมเหยียบร่างอันไร้วิญญาณหลายต่อหลายร่างไปอย่างไม่แยแส แล้วหลังจากนั้นจึงพบตัวจองฮายอนที่นอนแน่นิ่ง หน้าซีดเผือดอยู่บนผืนดิน
ผมตรงยาวสีฟ้าเลอะเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงฉาน พอผมเลื่อนสายตาลงไปมอง จึงเห็นว่ามีลูกธนูสองดอกปักเข้าที่หน้าท้องของหล่อนอยู่ บางทีเลือดที่ไหลนองอยู่บนผืนดินแห่งนี้ อาจจะมีเลือดของหล่อนปะปนอยู่บางส่วนก็เป็นได้
พอผมคิดได้เช่นนั้น จึงเริ่มสงบจิตสงบใจตัวเอง ผมไม่มานั่งเขย่าตัวจองฮายอน ร้องห่มร้องไห้ทุเรศทุรังแบบนั้นหรอก เพราะผมไม่ลืมว่าจะต้องทำอะไรก่อนเป็นอันดับแรก ผมมองร่างของหล่อน แล้วจึงดึงหัวลูกศรกับก้านหักทิ้งไป และดึงก้านธนูที่หลงเหลืออยู่บนร่างออก
“อึก…!”
เพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้น ที่ร่างกายของจองฮายอนเกิดการสั่นสะท้านเล็กน้อย ดวงตาที่เคยปิดสนิทค่อยๆ ลืมขึ้นมา นัยน์ตาสีฟ้าที่กว่าจะเผยออกมาได้นั้นจ้องมาที่ผม เสี้ยวหนึ่งของความสับสนวุ่นวายปะทุขึ้นมาในแววตาของหล่อน ดูท่าว่าหล่อนคงจะยังยืนยันไม่ได้ว่าคนตรงหน้าตัวเองใช่ผมจริงๆ หรือไม่
ดังนั้นผมจึงเริ่มพูดออกไปก่อนว่า
“จองฮายอน ลำบากแย่เลยนะครับ ตอนนี้ปลอดภัยแล้วครับ”
และแล้วจองฮายอนจึงได้ปริปากพูดออกมาอย่างยากลำบากว่า
“ซู…”
ทว่าสุดท้ายจองฮายอนก็ไม่สามารถพูดออกมาได้จนจบประโยค คงเป็นเพราะไม่มีพลังเหลืออยู่แล้วนั่นเอง ดวงตาของหล่อนปิดสนิทลงอีกครั้ง ศีรษะห้อยตกลงเหมือนคนไม่มีแรง
ลมหายใจอันแสนแผ่วเบาค่อยๆ แล่นผ่านจมูกออกมา ผมจึงได้ลงมือจัดการนำอีกก้านหนึ่งออกไปจนหมด หลังจากนั้นจึงได้ปลุกพลังเวทขึ้นมา และกดนวดบริเวณหน้าท้องของหล่อนที่มีเลือดกระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมดเพื่อเอาเลือดออกมาให้ได้ หลังจากนั้นไม่นาน เลือดที่ไหลพุ่งออกมาจึงค่อยเริ่มลดลงเบาบางในชั่วพริบตา และหยุดไหลในที่สุด
พอผมยืนยันสภาพร่างกายทุกอย่างเสร็จสิ้น จึงอุ้มจองฮายอนขึ้นมาและหมุนกายกลับไป
“พะ…พี่ฮายอน?”
อิมฮันนาที่ยืนเฝ้าระวังอยู่ทำหน้าตกใจขึ้นมาทันทีที่ได้เห็นจองฮายอน
“พะ…พี่คะ ทำไงดี หรือว่า…?”
“ยังไม่ตายครับ”
ผมมองอิมฮันนาที่ชะโงกหน้ามาดู แล้วส่ายหน้าปฏิเสธกลับไป หลังจากนั้นจึงยื่นแขนทั้งสองข้างออกไปตรงหน้าหล่อนอย่างช้าๆ อิมฮันนาเอียงคอสงสัยครู่หนึ่ง แต่กระนั้นก็ยังยื่นมือมาจัดการกับธนูอย่างรวดเร็ว แล้วจึงประคองร่างของจองฮายอนไว้
ผมจึงพูดต่อไปในทันทีว่า
“อิมฮันนา อาจจะยังเร็วไปหน่อย แต่เห็นทีว่าคุณจะต้องหยุดการเดินทางไว้เพียงเท่านี้แล้วล่ะครับ”
“ค…คะ?”
อิมฮันนาถามกลับมาด้วยสีหน้าแกมสงสัย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังพูดต่อไป เพราะนั่นคือเรื่องจริงที่ผมได้คิดมาไว้ก่อนแล้ว
“ยังจำตำแหน่งของค่ายคุ้มกันที่ผมเรียนให้ทราบเมื่อครู่ก่อนได้ไหมครับ”
“ก็จำได้ค่ะ แต่…”
“ก่อนอื่น ผมขอให้คุณไปยังจุดที่เราได้เจอกันครั้งแรกเสียก่อน หากเจอศัตรู ก็ขอให้เลี่ยงพวกมันไป ระวังลูกธนูกับเวทมนตร์ด้วย และก็ไม่ว่าคุณจะรีบอย่างไร ก็ขอให้อย่าเดินผ่านสนามรบโดยเด็ดขาด ส่วนตำแหน่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่นั้น หากคุณไปถึงจุดนั้นแล้ว ก็สามารถเลี่ยงออกไปข้างนอกได้เลยครับ หากคุณเลี่ยงตัวออกไปได้เสียก่อน พวกศัตรูก็คงจะมองไม่เห็นตัวแล้วล่ะครับ”
“…”
“ขอฝากจองฮายอนไว้ด้วยนะครับ”
ทันทีที่พูดประโยคเหล่านั้นจบ ผมจึงหมุนกายไปทันที การกระทำของผมเช่นนี้ ไม่ได้หมายความว่าผมไม่อยากยืนยันถึงความปลอดภัยและสวัสดิภาพของจองฮายอนแต่อย่างใด แต่ผมจำต้องเข้าไปช่วยเหลือคนอื่นๆ ที่เหลืออยู่อีกเป็นจำนวนมาก ดังนั้นแล้วผมจึงได้แต่ข่มอารมณ์และความรู้สึกนี้ไว้ แล้วมุ่งหน้าวิ่งต่อไป
สำหรับผมในตอนนี้คือ ผมไม่มีเวลาที่จะมานั่งพักให้เสียเวลาอีกต่อไป ในเมื่อผมได้ตัดสินใจเข้ามาอยู่ในสมรภูมิรบแห่งนี้แล้ว
“ด…เดี๋ยวก่อนค่ะ!”
ในตอนนั้นเอง หลังจากที่ผมส่งคำเตือนไปให้ในครั้งสุดท้าย แล้วจึงตัดสินใจจะวิ่งออกไปเดี๋ยวนั้นนั่นเอง เสียงรีบร้อนของอิมฮันนาก็ได้ดังขึ้นมาฉุดรั้งตัวผมไว้
การกระทำของหล่อนเช่นนี้ทำเอาผมโกรธถึงขีดสุด แต่ก็ยังยอมหันกลับไปหาอีกครั้ง อากัปกิริยาของอิมฮันนาที่ผมเห็นนั้นไม่น่ามองเอาเสียเลย หล่อนมองดูผม พลางทำหน้าเหมือนไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป แล้วก็เอาแต่มองผม สลับกับจองฮายอนไปมาอยู่อย่างนั้น
ดูท่าว่าอิมฮันนาคงอยากจะตามผมไปเสียให้ได้ อย่างไรก็ตามความคิดนั้นดูเหมือนจะแปรเปลี่ยนเป็นความห่วงใยจองฮายอนที่ใกล้จะหมดลมหายใจอยู่ในตอนนี้แทน
หล่อนคงจะตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้ว จึงได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันแสนระมัดระวัง
“ลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่คะ”
“…?”
“ไปค่ายคุ้มกันกับพวกเราหน่อยไม่ได้หรือคะ”
และวินาทีที่ผมได้ยินประโยคนั้น ผมรู้สึกได้ว่าความอดทนอดกลั้นที่ผมกักเก็บไว้มันพุ่งทะยานขึ้นมาทันที แม้จะข่มใจเอาไว้อย่างไรก็ตาม แต่ความโมโหถึงขีดสุดของผมก็ยังพุ่งกระฉูดออกมาอยู่ดี ผมจึงเปิดปากพูดออกไปด้วยน้ำเสียงอันแสนแผ่วเบา
“ผู้เล่นอิมฮันนา”
กึก! กึก!
“ตอนนี้…ไม่เห็นคุณทำตามที่ผมพูดเลยนี่ครับ”
วินาทีนั้นเอง อิมฮันนาถึงกับสะดุ้งโหยง แล้วถอยหลังออกไปอย่างลังเลใจ ใบหน้าของหล่อนฉาบไปด้วยความหวาดกลัวจนไม่อาจซ่อนเร้นได้ และในตอนนั้นนั่นเอง ผมจึงเข้าใจได้ถึงความผิดพลาดที่แสดงความโมโหออกไปอย่างไม่รู้ตัว
ผมจัดการอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านไปทั่วร่างกาย แล้วจึงจดจ้องไปที่อิมฮันนา
หลังจากนั้นไม่นาน อิมฮันนาจึงมองผมด้วยสายตาอันแสนเศร้าสร้อย หลุบตามองต่ำลง ก่อนที่จะหันกายกลับไป หล่อนอุ้มจองฮายอนไว้อย่างทะนุถนอม แล้วเริ่มวิ่งไปทั้งอย่างนั้น
หากใช้ความเร็วประมาณนั้น…ก็โอเคแล้ว คงจะไม่โดนจับตัวไปหรอก
อิมฮันนาวิ่งห่างไกลออกไปในพริบตาเดียว ผมเห็นดังนั้นถึงกับโล่งอก หลังจากนั้นจึงกลับหลังหันอีกครั้ง แล้วเริ่มเคลื่อนตัวเพื่อไปยังเป้าหมายถัดไปทันที