Memorize - เล่มที่ 19 ตอนที่ 11
หลังจากเผชิญกับคลื่นยักษ์มาแล้วพอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง จึงพบว่าสมรภูมิรบในขณะนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
ตู้ม ตู้ม!
“ช…ช่วยด้วย!”
เสียงเวทมนตร์ดังประสานไปกับเสียงร้องขอชีวิต
ฟิ้ว ฟิ้ว!
“อ๊ากกก!”
เสียงธนูและเสียงกรีดร้องดังต่อเนื่องกันมา
ด้วยความที่ไม่ได้สวมแว่นจึงทำให้มองเห็นไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ ทว่าเสียงมากมายที่ดังแว่วเข้ามาในหูนั้นก็ทำให้พอรู้ถึงสถานการณ์โดยรอบได้บ้าง ชินซังยงทำหน้าบูดเบี้ยว พลางเอามือกุมหัวที่กำลังถูกลมกรรโชกอย่างรุนแรงไว้
ตอนนี้เขายังไม่รู้อะไรละเอียดมากนัก ไม่สิ ต้องบอกว่าไม่มีเวลาสืบส่องอย่างละเอียดมากกว่า
เสียงกรีดร้องของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งก่อนเขาจะลุกขึ้นยืนก็ยังคงได้ยินเสียงนั้นอยู่ วินาทีนั้นเขาคิดว่าหากเข้าไปยุ่มย่ามอะไร อาจทำให้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นได้ ดังนั้นเขาจึงอดทนอดกลั้นต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาบริเวณขาอ่อนด้านใน แล้วพยุงตัวลุกขึ้นยืนในที่สุด และตั้งหน้าตั้งตาวิ่งออกไปข้างหน้าทันที
ชินซังยงได้แต่วิ่ง วิ่ง และวิ่งอยู่เช่นนั้น
“แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก!”
เขาวิ่งอยู่เช่นนั้นมานานเท่าไหร่แล้ว สถานการณ์มันจะเป็นอย่างไรต่อไป
เสียงหัวใจเต้นดังตึกตัก เกิดอาการวิงเวียนศีรษะเล็กๆ ขึ้นมาอย่างกะทันหัน ดูเหมือนเขาจะวิ่งมานานมากเลยทีเดียว ทว่าสมรภูมิรบในครั้งนี้ ยังไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดแต่อย่างใด
ชินซังยงหมดหนทางแล้วจริงๆ เขารู้สึกได้ว่าร่างกายตัวเองเกิดการสั่นสะท้านไปมาอย่างรุนแรง ทันใดนั้นน้ำตาก็ไหลอาบสองแก้มโดยไม่รู้ตัว
ไม่เพียงเท่านั้น ขาอ่อนด้านในของเขายังรู้สึกร้อนรุ่ม ราวกับมีอะไรมาสุมอยู่ตรงหน้า อีกทั้งยังมีอะไรบางอย่างคล้ายๆ กับเหงื่อไหลเป็นสาย แม้จะบอกว่ามันเป็นเหงื่อจริงๆ แต่ทว่าเจ้าของเหลวนั้นกลับมีอุณหภูมิสูง และยังเหนียวเหนอะหนะอีกด้วย
ในระหว่างที่วิ่งมาตลอดทาง ในที่สุดชินซังยงก็ไม่สามารถเอาชนะต่อความเจ็บปวดที่ปะทุขึ้นมาได้ จึงได้หลุบตามองด้านล่าง ทันใดนั้นจึงได้เห็นว่าขาอ่อนทางขวามือของเขามีเลือดเกรอะกรังอยู่เต็มไปหมด
“แฮ่ก!”
และในตอนนั้นเอง เท้าของเขาที่ออกแรงวิ่งอยู่ก็ดันไปปะทะเข้ากับอะไรบางอย่างที่เป็นของเหลว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาล้มหน้าคว่ำลงไป
ครืด!
ร่างกายของเขาจึงไถลไปข้างด้านอย่างช่วยไม่ได้ มิหน้ำซ้ำหน้ายังครูดไปกับพื้นดินอย่างแรงอีกด้วย
เขารู้สึกแสบๆ ร้อนๆ ที่ใบหน้าอยู่พักหนึ่ง แต่มันก็แค่เดี๋ยวเดียวจริงๆ
ทันใดนั้นจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายอะไรบางอย่างกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ชินซังยงรีบยันกายขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนแทบไม่น่าเชื่อ แม้ขาอ่อนด้านในของเขาจะเจ็บปวด จนถึงไม่สามารถพยุงตัวขึ้นมาได้ก็ตาม แต่เขาก็คิดอยู่เสมอว่าจะต้องหนีไปให้ได้ จึงได้ลุกขึ้นยืนอีกครั้งหนึ่ง
แต่นั่นมันจะสายเกินไปหรือเปล่า เพราะจังหวะที่กำลังจะวิ่งหนีออกไปนั้น ชินซังยงกลับรู้สึกได้ว่ามีมือคู่หนึ่งกำลังจับเข้าที่หัวไหล่ของเขา เขาหันหน้าไปอัตโนมัติ พร้อมกับความรักตัวกลัวตายที่แผ่ซ่านเข้าทุกอณูของร่างกาย
และในตอนนั้นเอง
“แฮ่ก พี่! พี่ซังยง! แฮ่ก แฮ่ก!”
เขาก็พบเข้ากับอันฮยอนที่ยืนอยู่ตรงหน้า
เส้นผมเส้นเล็กสีแดงเพลิงตรงด้านหลังเขาปลิวไปมา
เขาใจเต้นไม่เป็นส่ำ และวินาทีที่เจ้าของมือที่ยื่นมาจับไหล่เขาไว้นั้นได้เผยโฉมออกมานั่นเอง เสียงกรีดร้องที่เคยได้ยินอยู่รอบข้างจึงเริ่มเงียบลงไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้ตัว
แล้วชินซังยงที่กำลังเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น จึงได้หยุดการเคลื่อนไหวไว้เพียงเท่านั้น
“พี่!”
เสียงที่ดังขึ้นมาอีกครั้งนั้น ช่างเป็นเสียงที่คุ้นเคยมากเสียจริง ความคุ้นเคยในเสียงเช่นนั้นสามารถช่วยสกัดกั้นความยุ่งเหยิงในหัวของชินซังยงได้เล็กน้อย เขากะพริบตาครั้งสองครั้ง และด้วยสายตาที่ชัดเจนมากขึ้นเล็กน้อยจึงทำให้เขาเห็นอันฮยอนที่กำลังจับไหล่ของตัวเองอยู่ และอียูจอง ผู้ทอดสายตามองด้วยสายตาเย็นยะเยือกอยู่ข้างๆ
“อ้า อันฮยอนกับยูจอง ทุกคนยังอยู่ดีกันสินะ…”
“ครับพี่! พี่เองก็ยังมีชีวิตรอดอยู่เหมือนกัน โชคดีมากๆ โชคดีจริงๆ”
น้ำเสียงของชินซังยงที่กว่าจะเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาได้นั้น เจือปนไปด้วยเสียงสะอึกสะอื้นเล็กๆ ความตึงเครียดที่อัดแน่นอยู่ภายในร่างกายจนถึงเมื่อครู่ ได้สลายตัวไปอย่างรวดเร็วปานน้ำไหลเชี่ยวทันทีที่ได้เห็นสองคนตรงหน้า แล้วความโล่งอกโล่งใจจึงได้เข้ามาแทนที่ อีกทั้งเขายังรู้สึกได้ว่าความเจ็บปวดที่ขาได้ทุเลาลงไปบ้างแล้ว พร้อมกับถอนหายใจน้อยๆ ออกมา
“พี่! พอดีเลย คือตอนนี้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วล่ะครับ ผมต้องการความช่วยเหลือจากพี่มากๆ เลย”
“นั่น…นั่นสิเนอะ เรื่องใหญ่จริงๆ อ้อ ตอนนี้เห็นทีคงจะอยู่นี่ไม่ได้แล้วล่ะ ก่อนอื่นเราต้องรีบ…”
ชินซังยงพยักหน้าตอบอย่างรวดเร็ว แต่แล้วก็ได้หยุดคำพูดของตัวเองไปดื้อๆ เพราะอันฮยอนที่กำลังจับไหล่เขาอยู่นั้นส่ายหัวกลับมาให้นั่นเอง
“ไม่ครับพี่ คือมันไม่ใช่อย่างนั้นครับ”
“อะ เอ๋? ถ้าไม่ใช่แล้ว…”
จากการปฏิเสธอันแสนรวดเร็วของอันฮยอน จึงทำให้ชินซังยงถามกลับไปด้วยสีหน้าสงสัย
“ซลน่ะครับ ซลหายตัวไป ผมต้องไปตามหาน้อง”
ทันทีที่อันฮยอนให้คำตอบกลับมานั้น ความรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจที่กำลังจะแล่นปราดเข้ามาในร่างกายของชินซังยงจึงพลิกคว่ำกลับไปในพริบตาเดียว
“ครับ? อ้า ตามหาตัวอันซลหรือครับ ทำไมจู่ๆ ถึงพูด…แบบนั้นล่ะครับ”
“ก็ตามนั้นนั่นแหละครับ ผมช่วยมาได้อย่างหวุดหวิดแล้วเชียว แต่แล้วพวกศัตรูมันก็เข้ามาโจมตีแทบจะทุกทิศทุกทาง ผมก็เลยคลาดกับซลไปน่ะครับ ผมตามหาตัวตลอดตั้งแต่เมื่อกีนี้แล้ว แต่…ไม่เห็นเลยว่าซลไปอยู่ไหน”
แม้อันฮยอนจะพูดเรียงประโยคได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก แต่ชินซังยงกลับเข้าใจในคำพูดของอันฮยอนได้อย่างดีเยี่ยม และในวินาทีที่เขาได้ยินประโยคเหล่านั้น ความรู้สึกต่อต้านอย่างรุนแรงจึงก่อตัวขึ้นมาในอก
ความอึดอัดใจบางอย่างตีตื้นขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ ใจที่เคยสงบนิ่งไปเริ่มเต้นรัวขึ้นมาอีกครั้ง
ความจริงแล้ว หลังจากเผชิญหน้ากับคลื่นยักษ์มานั้น ทั้งอันฮยอน, อียูจองและอันซลกลับมารวมตัวกันได้ราวกับในละครไม่มีผิด
เหล่าผู้เล่นที่สามารถควบคุมสติตัวเองได้นั้นก็ได้เริ่มจัดตั้งกลุ่มขึ้นมา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้อันฮยอนกับอียูจองเวียนมาพบกันได้ และบางส่วนที่อยู่ในกลุ่มนั้นได้พากองทัพของเราเคลื่อนตัวไป จึงทำให้สามารถช่วยชีวิตอันซลมาได้สำเร็จ
เขาคิดว่านี่แหละ คือความโชคดีในความโชคร้ายที่ได้พบเจอมาตั้งแต่อยู่ที่นี่
ทว่าในท้ายที่สุดแล้ว กลุ่มที่ตั้งขึ้นมากลับต้องสลายตัวกันไป เนื่องจากเจอกับพวกศัตรูเข้าเสียได้ มิหนำซ้ำยังไม่ได้ข่าวคราวเรื่องร่องรอยของอันซลที่วิ่งสติหลุดหนีหายไปเลยแม้แต่น้อย จึงทำให้อันฮยอนต้องเที่ยววิ่งขอร้องคนอื่นๆ ที่หนีออกมาได้ว่า ขอให้ช่วยตามหาตัวน้องของเขาด้วย แต่แล้วพวกเขาเหล่านั้นกลับปฏิเสธ จึงทำให้ต้องออกตามหากับอียูจองเพียงแค่สองคนเท่านั้น
แต่สำหรับชินซังยงที่ไม่รู้เรื่องเหตุการณ์เช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย กลับรู้สึกได้ว่าคำพูดของอันฮยอนนั้นออกจะเกินไปเสียหน่อย ไม่สิ ถึงแม้เขาจะบอกว่ารู้เหตุการณ์เช่นนั้นดี แต่ความคิดก็คงไม่ได้ต่างจากเดิมไปมากเท่าไหร่นัก
ในสมรภูมิรบที่ไม่รู้ว่าจะต้องตายอย่างไร ตายเมื่อไหร่เช่นนี้นั้น ชินซังยงก็ยังสามารถหนีรอดมาได้จนถึงตอนนี้ ทั้งหมดก็เพื่อการมีชีวิตอยู่ต่อไปเท่านั้น แต่ทว่าอันฮยอนกลับไม่คิดว่าจะต้องรวมพลัง แล้วหนีออกไปแต่อย่างใด ซ้ำร้ายยังมาชวนให้เขากลับเข้าไปในสมรภูมิรบบ้าบออีกต่างหาก การกระทำเช่นนั้นเหมือนเป็นการยื่นหัวให้เสือเขมือบเอง ด้วยเหตุนี้ คำขอร้องของอันฮยอนจึงกลายเป็นคำวิงวอนที่เขาไม่สามารถน้อมรับไว้ได้
แต่….
“พี่! ช่วยหน่อยเถอะครับ จะช่วยผมใช่ไหมครับ นะครับ?”
บนหน้าผากของอันฮยอนราวกับมีคำว่า ‘กล้าหาญเกรียงไกร’ เขียนติดไว้คำโต สายตาของอันฮยอนที่ส่งออกมาก็เป็นเช่นนั้น ทำเอาชินซังยงไม่ปริปากพูดอะไรออกมาเลยสักนิดเดียว ในสายตาของเขานั้นแฝงไปด้วยความเชื่อถือศรัทธาว่าชินซังยงจะต้องช่วยเหลือเขาอย่างแน่นอน
ร่างกายของเขาเกิดการสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว จริงๆ เขาควรจะต้องพูดออกไปเลยว่ามันเกินไปไหม ตัวเขาเองทำไม่ได้หรอก แต่แล้วทันทีที่ได้สบตากับอันฮยอน ชินซังยงเองก็ไม่รู้ว่าทำไมปากมันถึงไม่ยอมเปิดปากพูดออกมา
ในหัวของชินซังยงตอนนี้มีภาพเหตุการณ์สมัยอยู่แคลนเฮาส์วนเวียนไปมา
‘แหะๆ พี่ซังยง ช่วยผมหน่อยไม่ได้เหรอครับ’
‘ครับ เอ๋ ช่วยเหรอครับ’
‘ครับ! ผมมีงานที่พี่ซูฮยอนสั่งมาน่ะครับ แต่ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง…ช่วยผมหน่อยได้ไหมครับ’
‘ฮ่าๆ อย่างนี้นี่เอง แน่นอนอยู่แล้วสิ เดี๋ยวช่วยเองครับ’
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ใบหน้าของอันฮยอนซ้อนทับเข้ากับเหตุการณ์ในครั้งนั้นไปโดยปริยาย
ชินซังยงไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป เขาจึงส่งสายตาไปหาอียูจอง หล่อนไม่พูดอะไรออกมาเลย เอาแต่จ้องเขม็งมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว อากัปกิริยาเช่นนั้นช่างต่างกับยามปกติลิบลับ ผ้าคาดผมที่เคยใส่ตลอดเวลาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย มิหนำซ้ำนัยน์ตาของหล่อนยังปรากฏสีแดงเข้มออกมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนอีกด้วย ท่าทีของอียูจองที่อัดแน่นไปด้วยความกระหายเลือดเช่นนี้ ทำให้ชินซังยงถึงกับคอตกเลยทีเดียว
“พี่ครับ? ทำไมเป็นงั้นไปล่ะครับ บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ”
ทั้งที่อยู่ในสถานการณ์เข้าตาจนแท้ๆ น้ำเสียงของอันฮยอนก็ยังคงเจือปนไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใยอยู่เช่นเดิม ทว่านั่นก็ทำให้ชินซังยงได้หวนกลับมาใช้ความคิดอีกครั้งหนึ่งว่า เขาจะต้องรีบให้คำตอบกลับไปโดยเร็ว
และในตอนนั้นเอง
“เจ็บอยู่นี่”
อียูจองก็ได้เอื้อนเอ่ยคำพูดแรกออกมาในที่สุด อันฮยอนตกใจกับประโยคนั้นของหล่อนจนมือไม้สั่น แล้วจึงเหลือบตามองตามที่หล่อนชี้นิ้วไป
“ฮะ เฮ้ย ต้นขาของพี่มัน..!”
“ก็เพราะนี่ไงล่ะ…ดูเหมือนจะลำบากไม่น้อยเลยนะ”
คำสั้นๆ ที่ว่า ‘ดูเหมือนจะลำบากไม่น้อยเลยนะ’ ของอียูจอง คำนั้นแฝงความหมายอะไรบางอย่างอยู่มากมายเต็มไปหมด สีหน้าของอันฮยอนหม่นหมองลงอย่างรวดเร็ว เขาคงรู้สึกถึงสิ่งนั้นได้แล้ว ชินซังยงเหมือนเห็นหนทางอะไรบางอย่างจึงเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง
“พี่ครับ ตอนนี้แผลของพี่…ไม่เจ็บใช่ไหมครับ”
“ก…ก็นิดหน่อย…”
“เฮ้อ ทำยังไงดีเนี่ย”
“…”