Memorize - เล่มที่ 19 ตอนที่ 12
อันฮยอนถอนหายใจเล็กน้อย พร้อมกับปิดปากฉับลงในทันที ชินซังยงที่เห็นเขามีทีท่าเช่นนั้น จึงได้แต่ลอบกลืนน้ำลาย
แล้วชินซังยงก็คิดว่า
ตอนนี้เหมือนเขาแก้ตัวออกมาตรงๆ เลย แต่ถ้าบาดเจ็บขนาดนี้ เด็กๆ ต้องเข้าใจเราสิ ไม่สิ เอาเรื่องนี้มาแก้ตัว แล้วชวนเด็กๆ หนีออกไปพร้อมกันดีกว่า เพราะถ้าเราไปทั้งอย่างนี้ สองคนนั้นต้องตายอย่างแน่นอน ดังนั้นก็อ้างไปก่อนว่าต้องออกจากที่นี่เสียก่อน แล้วค่อยตามหาอันซลทีหลังเอา เพราะทั้งหมดที่ว่าไปนั้น ถือเป็นหนทางที่ดีสำหรับคนทั้งคู่
หลังจากหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองเช่นนั้นแล้ว ชินซังยงจึงได้เปิดปากพูดออกมาว่า
“กะ…ก่อนอื่น…”
“ไม่ได้การณ์แล้ว ไม่ว่าอย่างไรผมก็จะไปตามหาตัวอันซล ต่อให้ตัวคนเดียวก็จะไป”
แต่วินาทีที่เขากำลังจะพูดต่อไป อันฮยอนกลับตัดบทพูดของชินซังยง พลางมีสีหน้าเหมือนตัดสินใจอะไรได้อย่างแน่วแน่
“สภาพของพี่ซังยงในตอนนี้น่ะ…เดี๋ยว ว่ายังไงนะ”
“รู้แล้ว ถ้างั้นอียูจอง เธอช่วยดูแลพี่ซังยงหน่อย แค่แป๊บเดียวเท่านั้น ส่วนอันซลน่ะ ไม่ว่ายังไงฉันก็จะไปตามหาดู”
“บ้าไปแล้วหรือไง อย่าเว่อร์ไปหน่อยเลย”
“ถึงจะว่างั้นก็เถอะ จะให้นั่งรออยู่เฉยๆ แบบนี้ไม่ได้หรอกนะ สถานการณ์แบบนี้ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเจอเข้าตอนไหน ถ้าเดินไปเดินมา บางทีอาจจะเจอตัวนักบวชก็ได้…”
ชินซังยงได้แต่จ้องสองคนนั้นที่กำลังถกเถียงกันไปมาด้วยสีหน้าเหม่อลอย พร้อมกันนั้นเขายังเกิดความรู้สึกละอายใจขึ้นมาด้วย อันฮยอนมองเขาอย่างจริงใจ แต่ทว่าเขากลับทรยศต่อความจริงใจเหล่านั้นเสียเอง ถึงขนาดเกิดความรู้สึกละอายต่อบาปแปลกๆ ขึ้นมาเลยทีเดียว
ในตอนนั้นเอง ณ สถานการณ์ที่เหมือนกับหมาจนตรอก ไร้ซึ่งข้อสรุปใดๆ ออกมา เวลาได้ล่วงผ่านเลยไประยะหนึ่ง
“พะ…พี่คะ!”
จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงของอันซลดังขึ้นอย่างกะทันหัน ทั้งสามคนต่างสะดุ้งตกใจ พลางหันหน้าไปมองพร้อมกัน
ในทิศทางที่ได้ยินเสียงนั้น มีเหล่าผู้เล่นทั้งสี่คนยืนอยู่ และตรงจุดนั้นมีสตรีผู้หนึ่งกับอันซลที่ยืนอยู่ราวกับฝันไป พวกเขากำลังมุ่งหน้ามาทางนี้อย่างช้าๆ
พลั่ก!
ในชั่วพริบตาเดียว ดาบอันแสนงดงามที่ทอแสงจ้านั้นก็ได้ตัดกลางท้องฟ้าราวกับสายฟ้าแลบ ปลายดาบเสียบทะลุเข้าลำคอของชายผู้หนึ่ง และคงเป็นเพราะทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก จึงทำให้ใบหน้าของเขายังคงแสดงสีหน้าตกตะลึงอยู่เลย
ต่อมาชายผู้นั้นจึงได้หลุบตามองลงด้านล่างอย่างช้าๆ
“…!”
วินาทีที่เขาเห็นดาบเสียบคอตัวเองอยู่ เขาจึงล้มหงายท้องตึงไปทั้งอย่างนั้น และในเวลาเดียวกันนั้นเอง ดาบของสตรีผู้หนึ่งจึงได้เก็บกลับเข้าไปในที่สุด เส้นผมสยายยาวพลิ้วไหว โบกสะบัดไปมา
พรึ่บ!
หลังจากกำจัดศัตรูคนสุดท้ายได้สำเร็จแล้ว ความเงียบสงัดจึงเริ่มปกคลุมอาณาบริเวณโดยรอบ
ศพจำนวนสิบเอ็ดราย รวมชายที่ล้มลงไปเป็นคนสุดท้ายนั้นกำลังนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น ในช่วงที่เลือดพุ่งกระฉูดขึ้นมา จนรวมกันเป็นกองเลือดสีแดงฉานนั่นเอง ริมฝีปากของหล่อนจึงได้เอื้อนเอ่ยออกมาว่า
“รออยู่ตรงนี้ก่อนนะคะ”
ทันทีที่หล่อนพูดประโยคนั้นออกมา ทั้งห้าคน ยกเว้นตัวหล่อนกับอันซลจึงย่อตัวลง ต่างคนต่างก็หันไปคนละทิศละทางและเริ่มเฝ้าสังเกตการณ์ สตรีผู้นั้นยืนอยู่ตรงกลางพลางส่งสายตาอันเฉียบแหลมมองกวาดไปทั่วทุกหนแห่ง
“คือ…”
“มีสมาธิหน่อยค่ะ แล้วก็ช่วยมองแค่ข้างหน้าด้วย”
อันฮยอนหันหลังมาเพื่อคุยกับหล่อนเพียงครู่เดียวแท้ๆ แต่ทว่าปฏิกิริยาที่ได้รับกลับมานั้น ช่างเย็นชาไม่มีที่สิ้นสุดเสียจริง เขาไม่ชอบการต่อสู้ที่อาศัยจังหวะทีเผลอเอาเสียเลย แต่แล้วก็ยอมหันหน้ากลับไปอย่างเสียมิได้
เรื่องราวทั้งหมดมันเป็นอย่างไรกันแน่ และพวกเขามาที่ที่พวกเราอยู่ได้อย่างไรกัน เขาเกิดความสงสัยเคลือบแคลงในจุดนี้ขึ้นมา แต่สตรีผู้นั้นกลับไม่รับคำถามเขาไว้พิจารณาเลยแม้แต่น้อย แต่บางทีการที่หล่อนทำเช่นนั้น อาจจะถูกต้องแล้วก็ได้ ไอ้เรื่องอธิบายเหตุการณ์ต่างๆ น่ะ ไว้ค่อยฟังทีหลังก็ได้ เพราะตอนนี้ การมีชีวิตอยู่รอดได้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด
แต่ทว่าในฐานะพี่ชายแท้ๆ แล้ว ผมไม่สามารถปล่อยไว้แบบนั้นได้ อันฮยอนจึงลอบมองอันซล หล่อนยืนอยู่ตรงกลาง ทั้งยังดูมีสีหน้าเหม่อลอย ยืนสั่นหงึกๆ อยู่ไปมาเช่นนั้น
ก่อนหน้านี้อันฮยอนตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทั้งภาระหน้าที่ที่ต้องตามหาตัวน้องสาวที่หายไป อีกทั้งยังไม่สามารถทิ้งชินซังยงที่ได้รับบาดเจ็บไปได้ด้วย แต่แล้วความโชคดียังวกกลับมาช่วยเขาอีกครั้ง
แต่ทว่าความยินดีปรีดาที่ได้พบกันอีกครั้ง กลับเกิดขึ้นในห้วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น อันซลร้องไห้งอแงทันทีหลังจากที่เจอกับพวกเรา หลังจากนั้นหล่อนก็เอาแต่ยืนตัวสั่น สะอึกสะอื้นอยู่ตลอดเวลา ภาพเหล่านั้นทำให้เขาสะเทือนใจมาก
อันฮยอนคิดว่า เหมือนอันซลยังตั้งสติไม่ได้เลย อย่างน้อยอันซลน่าจะตอบมาว่า ‘พี่สาวคนนั้นช่วยเอาไว้’ และร่ายมนตร์เพื่อรักษาอาการเบื้องต้นให้กับชินซังยง แต่เขากลับคิดว่ามันค่อนข้างผิดวิสัยปกติไปเสียหน่อย ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่สามารถเผยให้เห็นถึงความเป็นห่วงเป็นใยที่มีมากเช่นนั้นออกมาได้
อันฮยอนถอนหายใจ อย่างที่ผู้หญิงคนนั้นว่านั่นแหละ การมีชีวิตอยู่รอดต่อไปถือว่าสำคัญที่สุดแล้ว
หลังจากได้เริ่มเคลื่อนตัวไปด้วยกันอีกครั้ง ความสามารถที่เห็นจากผู้หญิงคนนั้นถือว่าสุดยอดเลยทีเดียว แม้จะไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง แต่หล่อนสามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่าศัตรูกำลังเข้ามาจากทางไหนบ้าง หรืออีกสิ่งหนึ่งคือ ในกรณีที่ต้องเผชิญหน้ากันก็แสดงความสามารถให้เห็นด้วยการกำจัดพวกศัตรูจำนวนหลายสิบได้ด้วยตัวคนเดียว
อันฮยอนคิดว่าภาพลักษณ์ของหล่อนนั้นช่างเหมือนกับคิมซูฮยอนไม่มีผิด พลางจับหอกในมือไว้แน่น หลังจากที่ได้พบกับชินซังยงแล้ว ทั่วอาณาบริเวณอันแสนเงียบสงัดนี้กลับมีความรู้สึกอึดอัดคับแน่นใจก่อตัวขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ
เวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้ว
หลังจากนั้นไม่นานนัก ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงกลางจึงได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ แม้เสียงลมหายใจของหล่อนจะเบาบางมากเพียงใด แต่ทุกคนก็ยังได้ยินอยู่ดี และในเวลาเดียวกันนั่นเอง หัวใจที่เต้นรัวของทุกคนก็ค่อยๆ สงบนิ่งลง
หลังจากนั้นหล่อนจึงเปิดปากพูดออกมาว่า
“ไม่ทราบว่า…มีใครในที่นี้มาถึงตรงนี้โดยที่ยังไม่ได้เผชิญหน้ากับพวกศัตรูโดยตรงบ้างคะ”
หลังจบประโยคนนั้น ทุกคนก็จ้องมองหน้ากันเองอย่างใจลอย ส่วนใหญ่แล้วคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็ได้เผชิญหน้ากับวิกฤตการณ์เช่นนั้นมาแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้ง เพราะฉะนั้นจึงคิดว่าอย่างไรก็คงไม่มีคนประเภทนั้นแน่นอน ทว่ากลับมีคนๆ หนึ่งยกมือขึ้นมาช้าๆ คนนั้นก็คือชินซังยงนั่นเอง
“ผ…ผมไม่เคยเจอเผชิญหน้ากับพวกมันโดยตรงครับ”
“…คุณมาจากทิศไหนหรือคะ”
“จ…จำไม่ได้ครับ ทุกครั้งที่พวกศัตรูปรากฏอยู่ตรงหน้า ผมมักหันตัวหนีไปอย่างรวดเร็ว…”
ผู้หญิงคนนั้นนิ่งเงียบอีกครั้ง หลังจากได้ฟังประโยคบอกเล่าจากชินซังยง ดวงหน้าอันแสนเย็นชาของหล่อนนั้น กำลังฉายแววความกังวลต่ออะไรบางอย่างขึ้นมาโดยไม่อาจซ่อนเร้นไว้ได้ แล้วจึงได้หันไปจ้องอันซล พลางมีสีหน้าใคร่รู้
“ท่านนักบวชที่อยู่ตรงนั้นคะ ไม่ทราบว่าคุณช่วยบอกทางเหมือนเมื่อครู่ก่อนหน้านี้ได้หรือไม่คะ”
น้ำเสียงของหล่อนนั้นอบอุ่นกว่าตอนที่พูดกับอันฮยอนมาก แต่แล้วอันซลกลับส่ายหน้าปฎิเสธไป หล่อนเห็นดังนั้น จึงหันกลับไปพร้อมด้วยสีหน้าเสียดายเล็กๆ
ในท้ายที่สุด จึงมีผู้เล่นคนหนึ่งที่ไม่สามารถอดทนรอได้อีกต่อไป พูดขึ้นมาว่า
“ท…ท่านนักดาบหญิง ไม่เดินต่อไปอีกเหรอครับ”
ราชินีแห่งดาบทอดสายตามอง พลางส่ายหน้าปฏิเสธให้กับคำถามนั้น
“เดินต่อไปไม่ได้แล้วน่ะสิ ศัตรูจ่ออยู่ทั่วทุกทิศแบบนี้”
คำตอบที่ได้จากราชินีแห่งดาบนั้น ทำเอาผู้เล่นที่ยิงคำถามไปหน้าซีดเผือดขึ้นมาทันที
“แต่ทว่าตอนนี้เราไม่เห็นศัตรูเลยนี่…ไม่ใช่ว่าพวกมันผ่านไปแล้วหรอกเหรอ”
“นั่นสิ งั้นก็คงเป็นโชคดีสำหรับเราแล้วล่ะ ไม่สิ ไม่รู้ว่าจะใช่โชคดีจริงๆ หรือเปล่า ดูเหมือนเราติดแหง่กอยู่กลางทางอย่างไรไม่รู้สิ”
“…?”
นัมดาอึนหันไปมองด้านขวามือของตน คงรู้สึกได้ว่าผู้เล่นคนนั้นไม่เข้าใจในสิ่งที่ตนพูดเสียเท่าไหร่
“หนีไปน่ะใช่ แต่ทำไมมันถึงหนีไปแบบนั้นล่ะ ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ว่ามันหมายความว่ายังไงกันแน่ค่ะ”
ราชินีแห่งดาบหยุดพูดไปชั่วครู่หนึ่ง แล้วจ้องไปยังด้านซ้ายมือบ้าง หลังจากนั้นจึงพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ฉันรู้สึกได้ถึงความกระหายเลือดรุนแรงจากฟากฝั่งนี้ พวกศัตรูกำลังเดินเข้ามาอย่างแน่นอน ฉันขอยืนยัน”
“…”
“ยังไงก็ตาม ฉันเองก็ไม่ใช่ผู้รู้ไปเสียทุกเรื่อง คิดแค่ว่าเมื่อไหร่มรสุมหิมะมันจะหายไปก็พอแล้วล่ะค่ะ”
เหล่าผู้เล่นหัวไวบางคนเปล่งเสียง ‘อ้อ’ ออกมาทันใด พวกเขาเข้าใจว่า ‘มรสุมหิมะ’ นั้น หมายถึงสถานการณ์ที่ตัวเองกำลังเผชิญหน้าอยู่
ในการโจมตีครั้งแรก เรามีชีวิตอยู่รอดมาได้ก็จริง ทว่าในความเป็นจริงนั้น กลับไม่ถือว่าเป็นการมีชีวิตอยู่รอดกลับมาเลยแม้แต่น้อย
“ถ…ถ้างั้นตอนนี้พวกเราโดนปิดล้อมหมดแล้วเหรอครับ”
“มันก็ไม่ใช่การปิดล้อมที่พวกมันจงใจจะให้เกิดหรอกค่ะ”
“งั้น…ถ้าเรายังอยู่ในสภาพเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ…”
“ก็ตายน่ะสิคะ”
ราชินีแห่งดาบให้คำตอบกลับมาอย่างชัดเจน อันซลจึงระเบิดเสียงร้องไห้ออกมา
“ฮือ…”
“…”
“ท่านพี่ ท่านพี่ซูฮยอน ฮือออ”
แม้หล่อนจะร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาอย่างต่อเนื่องเพียงใด ทว่ากลับไม่มีใครคิดจะหยุดยั้งความเศร้านั้นไว้เลย
ไม่ว่าใครก็อยากมีชีวิตอยู่ต่อกันทั้งนั้น แต่เพราะต้องมาเผชิญหน้ากับวิกฤตการณ์อีกครั้งแท้ๆ จึงทำให้สูญเสียพละกำลังบางส่วนไป
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้สมาชิกเผ่าเมอร์เซนต์นารี่เกิดความว้าวุ่นใจมากยิ่งขึ้น ในหัวของพวกเขากำลังคิดถึงผู้เล่นคนหนึ่ง
หากแคลนลอร์ดอยู่ด้วยล่ะก็…
“ซูฮยอน?”
นัมดาอึนหันไปมองทันที หลังจากที่ได้ยินชื่อๆ หนึ่งออกมาจากเสียงสะอึกสะอื้นของอันซล
“อ้า ใช่”
ชินซังยงที่อยู่ข้างๆ ตอบกลับมา ทว่านัมดาอึนไม่ได้มองเขาแต่อย่างใด หล่อนกำลังจดจ้องอันซลอยู่อย่างไม่ละสายตา
“พูดถึงผู้เล่นคิมซูฮยอนอยู่เหรอคะ”
“ถ้าคุณพูดถึงแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ ก็ใช่ เขาเป็นแคลนลอร์ดของพวกเรา”
นัมดาอึนเบิกตาโพลงขึ้นมาทันที แล้วจึงหันไปมองชินซังยง
ในตอนนั้นเอง
“…!”
นัมดาอึนคงรู้สึกได้ว่ามีกลุ่มหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวมายังทิศทางที่ตัวเองอยู่อย่างช้าๆ หล่อนจึงหันหน้าไปมองอย่างรวดเร็ว หล่อนจ้องเบื้องหน้าอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงเปิดปากพูดออกมาว่า
“พวกศัตรูกำลังมาจากทิศนี้”
อันซลหยุดร้องไห้ทันทีหลังจากได้ยินประโยคดังกล่าว แต่ทว่าก็สายไปเสียแล้ว
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ดูเหมือนเราจะหนีไปไหนไม่ได้เลยนะเนี่ย”