Memorize - เล่มที่ 19 ตอนที่ 13
เสียงขลุ่ยแสนแผ่วเบาค่อยๆ แว่วเข้ามาในหู
“นี่ไง สัญญาณมาอีกแล้ว พวกเราคงต้องรีบไปแล้วแหละ”
ทันใดนั้นเองชายผู้หนึ่งที่ยืนก้มหัวอยู่ก็ขานรับแล้ววิ่งออกไปทางด้านหน้าอย่างว่องไว พวกเร่ร่อนจำนวนยี่สิบกว่าคนเห็นดังนั้นจึงเริ่มออกวิ่งตามเขาไปเช่นเดียวกัน
ไซม่อน ไครมส์มองภาพการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตานั้น พลางเอียงคอสงสัยไปมา
“หืม”
“ไซม่อน? ทำไมทำท่าแบบนั้นล่ะ”
“อ้อ ยังไม่หายสงสัยเรื่องอะไรบางอย่างน่ะครับ”
“หืม? สงสัยเรื่องอะไรล่ะคะ”
ไซม่อนไม่ตอบคำถามของยูรินะในทันที เขาเอาแต่จดจ้องไปทั่วอาณาบริเวณ ด้วยแววตาสีแดงเข้ม
“เรื่องสัญญาณน่ะ ฉันได้ยินชัดเจนเต็มสองหู…แล้วเจ้าพวกนั้นมันได้โกหกอะไรบ้างหรือเปล่าครับ”
“ฉันก็ได้ยินสัญญาณนั้นเหมือนกัน ดูท่าจะไม่ใช่เรื่องโกหกอะไรหรอก แต่…”
ไซม่อนหยุดพูดไปอีกครั้ง ดวงตาแดงก่ำของเขาเริ่มมองมาตาเขม็ง
ยูรินะเกรงว่าเขาอาจจะเกิดขาดความยับยั้งชั่งใจขึ้นอีกครั้ง จึงปรี่เข้าไปลูบหลังไซม่อนอย่างอ่อนโยน
“อย่าห่วงไปเลยค่ะ ตอนนี้พวกเราสนใจแค่เรื่องหนีอย่างเดียวเถอะ แล้วก็…”
ยูรินะค่อยๆ หันหน้าไปมองด้านขวามือ พวกเร่ร่อนที่ยังหลงเหลืออยู่ และไม่ได้วิ่งตามชายผู้นั้นไปต่างพากันหลบสายตาหล่อนที่มองมา
“บางทีมันอาจจะหนีไปแล้วก็ได้ล่ะมั้งคะ น่าจะยังมีหลงอยู่ตรงไหนสักที่บ้างแหละ”
“อาจจะเป็นงั้นก็ได้ครับ แต่ตอนนี้พวกบุคคลสำคัญทั้งหลายมันออกไปจากที่แห่งนี้แล้วไม่ใช่หรือไงครับ ไหนจะพวกสวะที่หาเศษเสี้ยวของความดีงามไม่ได้เลยสักอย่างพวกมัน”
“ไซม่อน…”
“ไม่ต้องกังวลหรอกครับ ผมได้คาดการณ์อะไรเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างไว้แล้วล่ะ ดังนั้นผมไม่มีอะไรจะพูดแล้วล่ะครับ”
ไซม่อนเอาแต่พูดว่าสิ่งนั้นเป็นความผิดพลาดของตัวเอง ยูรินะเห็นดังนั้นจึงถอนหายใจเบาๆ ให้กับคำพูดของเขา หล่อนยื่นหน้าเข้าไปพูดด้วยว่า
“งั้นลองให้ฉันไปดูไหมล่ะคะ”
“หืม? ยูรินะน่ะหรือครับ”
ไซม่อนถามกลับในทันใด ยูรินะจึงพยักหน้าตอบด้วยสีหน้าราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง
“ใช่ พวกเร่ร่อนคนสำคัญที่ยังหลงเหลือจนถึงตอนนี้…ใช่เจ้าคังซานอะไรนั่นหรือเปล่าคะ ฉันจะลองไปลากตัวมันมาเอง เห็นว่าเป็นหนึ่งในแกนนำ คงจะรู้อะไรอยู่บ้างค่ะ”
“หืม ถึงจะพามันมา แต่คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากกว่านี้หรอก…ถ้าเรารออยู่อย่างนี้ คงพอรู้ข่าวคราวอะไรได้บ้างแหละมั้ง”
ไซม่อนหันหน้ากลับมาอีกครั้ง แล้วถึงค่อยๆ ยกแขนขึ้นมากอดอก พูดออกมาพลางส่ายหน้าน้อยๆ เป็นการไม่เห็นด้วย
“ยังไงก็ตามถึงมันจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกันก็เถอะ แต่การรู้อะไรไว้แต่เนิ่นๆ ก็ดีกว่าการนั่งรออยู่เฉยๆ สินะครับ ยูรินะ ถ้าจะไปก็ขอแค่ให้ไปลอบสังเกตสถานการณ์คร่าวๆ มาก็พอแล้ว”
ยูรินะอมยิ้มน้อยๆ ให้กับคำพูดของไซม่อน แล้วจึงหมุนกายเดินหน้าไปทันที
สิบห้านาทีต่อมา
“นี่ไง ทำไมถึงได้ส่งสัญญาณมา…ต้องมีเหตุผลที่ส่งมาอย่างแน่นอน”
น้ำเสียงอันแสนอวดดีของชายผู้หนึ่งดังลั่นไปทั่วอาณาบริเวณ และในเวลาเดียวกันนั้น กำลังพลที่มีอยู่ประมาณยี่สิบคนจึงได้เริ่มเผยตัวปรากฏโฉมออกมา ชายฉกรรจ์ที่กำลังถือดาบเล่มใหญ่ผู้นั้นเป็นหัวหน้า พวกเขาเหล่านั้นต่างก็ส่งพลังงานอันผิดปกติบางอย่างแผ่ซ่านออกมา
หลังจากที่ราชินีแห่งดาบได้ยืนยันตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาแล้ว ใบหน้าของหล่อนก็ซีดเผือดในทันที
“บางทีพวกเราอาจจะได้เจอดาอึนอีกครั้งก็ได้ ช่างเป็นผลพลอยได้ที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยล่ะ ฮ่า ๆ!”
เสียงหัวเราะที่ได้ยินดังลั่นสนั่นทุ่ง ทำให้ราชินีแห่งดาบได้แต่กัดริมฝีปากตัวเองแน่น
เรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมานั้นเป็นแบบนี้
ในการต่อสู้ประจันหน้ากับพวกศัตรูที่เข้ามาใหม่นั้น ราชินีแห่งดาบเลือกที่จะต่อสู้บริเวณมุมอับ เพราะหล่อนได้ตัดสินใจมาแล้วว่าจะสามารถต่อสู้กับพวกมันได้อย่างแน่นอน เนื่องจากไม่มีสถานที่ที่จะให้หลบหนีไปได้อีก อีกทั้งจำนวนฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ได้มากอย่างที่คิดเอาไว้
หลังจากสงครามได้เริ่มขึ้น การคาดการณ์ของราชินีแห่งดาบก็ถูกต้องตามที่คิดไว้ประมาณหนึ่งในช่วงแรกเริ่ม หล่อนได้ฆ่าศัตรูจำนวนมากที่ดูท่าว่าจะมีความสามารถเหนือชั้นกว่า และยังได้โอกาสเข้ามาเป็นกำลังพลที่มีอันฮยอนรวมกลุ่มอยู่ด้วย
แต่ทว่ามีอยู่หนึ่งสิ่งที่ราชินีแห่งดาบคาดไม่ถึง นั่นก็คือ ในพวกศัตรูเหล่านั้นมีผู้ถือครองขลุ่ยที่ทำจากเขาสัตว์อยู่ด้วย
ขลุ่ยที่ว่าคือ หนึ่งในวิธีการติดต่อสื่อสารที่พวกเร่ร่อนเลือกใช้ โดยได้มีการจัดวางระบบสัญญาณขึ้นมาตามจำนวนครั้งในการเป่า เป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งที่ใช้ร้องขอความช่วยเหลือเมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือไม่ก็ใช้ส่งคำสั่งหาพวกเร่ร่อนด้วยกันเอง
ชายฉกรรจ์คนหนึ่งเดินก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว พร้อมจ้องไปที่ราชินีแห่งดาบ กลุ่มกำลังพลและบริเวณโดยรอบ
“หืม พวกเรามาถึงก่อนเป็นกลุ่มแรกหรือนี่ ยังไงก็ถือว่าโชคดีแล้วแหละ ที่สามารถหนีรอดมาได้อย่างหวุดหวิดแบบนี้”
“คงจะถึงคราวดีมากจริงๆ ถึงได้เป่าขลุ่ยออกมา ถ้างั้นกลุ่มพันธมิตรในตอนนี้ก็ถึงคราวแตกคอกันแล้วล่ะสินะ”
“เกือบอยู่ เมื่อกี้ผู้บัญชาการทั่วไปก็แก้ตัวว่ามีใครบางคนจัดการตัวเอง ก่อนจะหนีไปไม่ใช่เหรอ ป่านนี้ก็คงจะหนีออกไปจากสนามรบถึงไหนต่อไหนแล้วล่ะมั้ง พวกเรารู้อย่างนี้แล้วก็ต้องหนีออกมาบ้างสิ”
“เอ๋? อ้อ พี่คีแซงคนเมื่อกี้เขาเป่าเรียกเรานี่ครับ ดูเหมือนท่านฮยอนจะไปจับตัวมาจริงๆ เสียด้วย”
“เจ้าบ้านั่นน่ะ ดูแปลกๆ ไปตั้งแต่แพคซอยอนโดนจับตัวแล้ว”
ชายคนนั้นตอบกลับพลางใช้สายตากวาดมองโดยรอบ แล้วจึงหยุดสายตาไว้ ณ สถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งสถานที่ที่สายตาเขาจดจ้องอยู่นั้น มีพวกเร่ร่อนกำลังนอนกระจัดกระจายอยู่บนพื้น มิหนำซ้ำยังอมขลุ่ยไว้ในปากที่มีเลือดพุ่งกระฉูดออกมาไม่หยุดด้วย
“ให้ตายเถอะ ตายกี่คนกันแน่วะเนี่ย จัดการเสียเรียบร้อยจริงๆ ยัยดาอึน”
ชายคนนั้นพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแสนเย็นยะเยือก แล้วจึงเข้าไปสะกิดพวกเร่ร่อนที่พูดสนทนากันเมื่อครู่ พร้อมพูดต่อไปอีกว่า
“เฮ้ย แกน่ะ ไปเก็บไอ้ขลุ่ยนั่นมา แล้วส่งสัญญาณบอกด้วยว่าตอนนี้มันจบสิ้นหมดทุกอย่างแล้ว”
“เอ๋? ส่งสัญญาณบอกว่าจบหมดทุกอย่างแล้วเหรอครับ”
พวกเร่ร่อนที่รับคำสั่งนั้นถามกลับไปในทันที ชายผู้นั้นจึงได้พยักหน้าตอบกลับไปด้วยสีหน้าแสนเบื่อหน่าย
“เออๆ บางทีอาจจะมีพวกกลุ่มอื่นเข้ามาก็ได้ไงเล่า”
“ถึงอย่างนั้นฝ่ายตรงข้ามกับเราก็เป็นราชินีแห่งดาบอยู่ดี…แล้วไม่ต้องบอกให้พวกกลุ่มอื่นๆ ได้รับทราบด้วยเหรอครับ”
“แล้วแกจะไปสนใจเรื่องนั้นทำไม รู้แล้วก็หนีออกมาก็เท่านั้น แล้วก็ถ้ามีไอ้เจ้าหนูจากทวีปตะวันตกเข้ากลุ่มมาด้วย เห็นทีจะน่าเบื่อเสียยิ่งกว่าเดิม”
“แต่ถึงอย่างนั้น…”
พวกเร่ร่อนเกิดอาการลังเลขึ้นมาเล็กน้อย แต่พอเห็นผู้ชายคนนั้นทำท่ามีน้ำโห พวกเร่ร่อนเห็นจึงเข้าไปเก็บขลุ่ยมาด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม
เสียงเป่าขลุ่ยสามครั้งดังกังวานขึ้น มันเป็นสัญญาณที่บอกว่าสถานการณ์ทุกอย่างได้จบสิ้นลงแล้ว สัญชาตญาณบางอย่างที่บอกว่ามีคนกำลังจะมารวมตัวยังที่แห่งนี้ได้หยุดนิ่งไป จากนั้นจึงได้หันกลับไปยังทิศทางอื่นแล้วจากไปอย่างช้าๆ
“ผมทำตามคำสั่งก็จริง แต่เรื่องที่จะมอบความตายให้ราชินีแห่งดาบนั่น ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะครับ”
“คิก อย่าเครียดเลยน่า พวกเราจะสู้กับยัยหมาตัวเมียที่อ่อนเปลี้ยเสียขาตัวหนึ่งไม่ได้เลยหรือไง”
ท่าทีของพวกเร่ร่อนที่ทำเหมือนกับตัวเองอยู่นอกสายตามาตั้งแต่เมื่อครู่นี้นั้น ทำเอาราชินีแห่งดาบเกิดความกังวลขึ้นมาเสียได้ แต่แล้วท่าทีของหล่อนจึงได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงในชั่วพริบตา คงเป็นเพราะคำว่าหมาตัวเมียมันเข้ามากวนใจหล่อน ชายผู้นั้นคงจะรู้สึกถึงเรื่องนี้ได้ จึงได้แสยะยิ้มออกมา
“เอาล่ะๆ ก่อนที่พี่คีแซงอะไรคนนั้นจะรู้ทัน พวกเรารีบจัดการและหนีไปกันเถอะ”
“เอ๊ะ ก็แค่หนีออกไปเฉยๆ เลยตอนนี้จะไม่ดีกว่าเหรอครับ สถานการณ์ตรงฝั่งโน้นก็ไม่ได้ดีเสียเท่าไหร่นัก”
“ยังไงไอ้คนทรยศก็อยู่ตรงหน้าเราแล้วนี่ จะให้ปล่อยผ่านไปเฉยๆ คงจะไม่ได้ ไหนจะของที่หามาได้ระหว่างนั้นอีก…”
“แกว่าใครเป็นคนทรยศ!”
ในตอนนั้นเอง
ราชินีแห่งดาบตะคอกชายผู้นั้นทันที ด้วยน้ำเสียงอันแสนเกรี้ยวกราด
เขาเอาแต่พูดคุกคามแบบอ้อมๆ มาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว จนตอนนี้มันสาวเข้ามาถึงตัวจนได้ เขาจึงหันหน้าไปมองราชินีแห่งดาบ
“ไม่เจอกันนานเลยนะ ยัยดาอึนของพวกเรา จำฉันได้ใช่ไหมล่ะ”
“หุบปาก! อย่ามาเรียกฉัน…อย่ามาเรียกฉันแบบนั้น!”
ราชินีแห่งดาบตะคอกกลับไป ตัวของเธอสั่นสะท้านไปด้วยความโกรธ ชายผู้นั้นจึงหัวเราะหึๆ
ตัวตนที่แท้จริงของชายผู้นั้นคือ อีคังซาน ‘คนทรยศ’ เมื่อสมัยก่อนเขาได้พาราชินีแห่งดาบ ที่ได้ชื่อว่าเป็นยอดอัจฉริยะแห่งสถาบันผู้เล่นและยังเป็นผู้เล่นที่แปรผันไปเป็นพวกเร่ร่อนแทน
“อ้าว~ ยัยดาอึนของพวกเรา เกรี้ยวกราดขึ้นเยอะเลยนี่นา นี่เธอขึ้นกับคำว่าคนทรยศมากขนาดนั้นเลยเหรอ ที่ผ่านมาคงได้รับคำสรรเสริญเยินยอจากรอบข้างว่าเป็นราชินีแห่งดาบล่ะสินะ”
“แกต่างหาก ไอ้คนทรยศ!”
“ฮ่าๆ ช่วยเลี้ยงดูฟูมฟัก ชุบตัว ป้อนข้าวป้อนน้ำ แถมยังให้คลาสลับอีกด้วยต่างหาก”
“หุบปากซะไอ้นรก! ฉันจะฆ่าแก!”
ณ วินาทีที่อีคังซานจะพูดอย่างมีเลศนัยต่อเนื่องไปนั่นเอง ราชินีแห่งดาบจึงได้ตะเบ็งเสียงออกมาจนแทบจะเป็นการกรีดร้องเสียแทน แต่เขาหาได้สนใจไม่ อีกทั้งยังโต้ตอบกลับไปด้วยท่าทีนิ่งเฉยเช่นเดิม
“ใครจะฆ่าใครนะ ทำอย่างกับตัวเองเป็นผู้เสียหายอย่างนั้นแหละ ยัยคนน่ารังเกียจ”
“เพราะแก…ถ้าไม่ใช่เพราะแกคนเดียวล่ะก็…!”
“งั้นก็ยอมรับแล้วสินะ”
อีคังซานพูดด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น
“ฉันโดนหักหลังมาเยอะแล้วนี่ แกล้มเลิกความคิดในตอนสุดท้าย แล้วแกล้งทำเป็นเชื่อฟัง ปฎิบัติตามนู่นนี่ทุกอย่าง พอสบโอกาสก็เลยหนีไปงั้นสิ? ไอ้คนทรยศ!”
เห็นทีคงจะทนต่อไปไม่ได้อีกแล้ว จึงทำให้ดาบ ‘ซอลอา’ ของราชินีแห่งดาบเริ่มส่งเสียงฮึ่มๆ ดังลั่นออกมา
“แก…พอดีเลยนะ แกโดนฉันฆ่าตายแน่นอน”