Memorize - เล่มที่ 19 ตอนที่ 15
ในตอนนั้นเอง ผู้ชายที่ถือหอกจึงได้ผ่อนลมหายใจที่กลั้นไว้เมื่อครู่ บนหน้าอกของมันมีเสื้อเกราะยับยู่ยี่กับแผลเป็นจำนวนมากที่ขูดเนื้อเป็นทางยาว
“แก ติดหนี้ฉันแล้วอย่างหนึ่ง”
“ฮะ…ฮ่าๆๆ เฮอะ”
“ว้าว เกือบจะโดนเจ้าลูกเจี๊ยบนั่นเล่นงานเสียแล้วหรือนี่”
“นี่ เกือบตายแล้วไหมล่ะ แล้วเมื่อไหร่จะได้มาอวดชาวบ้านเขาสักทีนะ ว่าตัวเองจัดการไปได้เท่าไหร่ แม่งเกือบตายเพราะพวกลูกเจี๊ยบนั่นแล้วไหมล่ะ”
เสียงล้อเลียน เย้ยหยันของพวกเร่ร่อนดังออกมาจากทั้งสองฟากฝั่ง พวกมันคงเฝ้าดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด
พวกเร่ร่อนที่ชื่อจองฮันหันหน้าไปมองด้วยใบหน้าอันแสนโกรธเกรี้ยว แต่กระนั้นก็ยังไม่พูดอะไรออกไป ชีวิตของราชินีแห่งดาบ, อันซล และผู้เล่นคนอื่นๆ อยู่ในกำมือของเขาแล้ว อยู่ที่ว่าจะจัดการเมื่อไหร่ก็เท่านั้น ใบหน้าของเขาจึงแปรเปลี่ยนมาเป็นหน้าดำคร่ำเครียดเสียแทน
“โว้ย!”
จองฮันสบถออกมา แล้วจึงขึ้นไปยืนค้ำอยู่บนร่างของอันฮยอนกับอียูจองที่นอนอยู่ตรงผืนดิน ทันทีที่เขาบดขยี้เข้าไปที่หน้าท้อง เลือดจึงไหลทะลักออกมาจากปากหล่อนไม่ขาดสาย เขายกหอกที่อยู่ในมือขึ้นมา
“ไอ้พวกXXX…”
“เฮ้ย เดี๋ยวก่อน บอกแล้วไงว่าอย่าฆ่ามัน”
“อะไรนะอีก”
แต่แล้วก็มีหญิงสาวคนหนึ่งร้องห้ามปรามออกมา เขาจึงถามกลับไปด้วยอารมณ์โมโห
“ค่อยใช้ฝีมือประหลาดๆ ของแกในตอนท้ายๆ เถอะ แกจะยิงอะไรเข้าไปอีกล่ะ เท่าที่ดู อุปกรณ์ของมันก็ดูเหมือนจะดีอยู่นะ แกรู้อะไรหรือเปล่า อุปกรณ์ที่เกี่ยวกับคลาสต่างๆ อาจจะออกมาก็ได้”
“แล้วอันนั้นน่ะจะให้ใช้ตอนนี้เลยหรือไง”
“ถ้าไม่ใช่ตอนนี้ แล้วจะใช้เมื่อไหร่ล่ะ ดูนั่นสิ ดูเหมือนไม่จำเป็นที่จะต้องรวมกลุ่มกันแล้วล่ะมั้งเนี่ย”
“ไอ้บ้าเอ๊ย แล้วเมื่อไหร่จะให้รวมกลุ่มกันสักทีล่ะวะ”
“ใจเย็นๆ สิ”
ชายผู้นั้นเงียบปากลงอีกครั้ง แล้วจึงหันหน้าไปมองข้างๆ
ตอนนี้ราชินีแห่งดาบกำลังปะทะอยู่กับคนระดับสูงและคนระดับกลางจำนวนสิบหกคน ช่างเป็นการต่อสู้ที่เสียเปรียบมากจริงๆ ในช่วงแรกดูเหมือนหล่อนจะคุมความได้เปรียบไว้ทั้งหมด แต่แล้วพวกเร่ร่อนกลับหลีกเลี่ยงที่จะปะทะกันอย่างรุนแรง โดยการเปลี่ยนตัวกำลังพลออกมาต่อสู้เรื่อยๆ
ด้วยสาเหตุนี้จึงทำให้สถานการณ์ในขณะนี้พลิกผันไปโดยสิ้นเชิง หลักฐานก็คือ พวกเร่ร่อนยังคงอยู่ไม่ล้มลุกคลุกคลานเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“เฮ้ย เอาเท้าแกออกไป”
หลังจากบอกว่าให้เอาเท้าออกไปเสียก่อนนั้น พวกเร่ร่อนจึงได้ก้มลงมองที่อกหนึ่งครั้ง หลังจากนั้นจึงค่อยยกเท้าซ้ายขึ้นมา เขาลอบมองหญิงสาวที่กำลังนอนงอตัวอยู่ ก่อนที่จะเลื่อนสายตาไปมองด้านขวามือ อียูจองเองก็เงยหน้าขึ้นมามองด้วยสายตาอันแสนดุร้าย
“มองอะไร ยัยXX แกเห็นฉันเป็นตัวตลกงั้นเหรอ”
“แค่ก!”
จองฮันคงไม่พอใจกับสายตาที่ส่งมาเช่นนั้น จึงใช้เท้าซ้ายเหยียบไปที่อกของอียูจองอย่างแรง เขาค่อยๆ ใช้เท้าบดขยี้อย่างต่อเนื่อง แล้วส่งเสียงข่มขู่ออกมา
“ดูตาแกสิ ฉันคงจะได้ฆ่าใครสักคนจริงๆ แล้วล่ะ ฉันฆ่าแกแน่”
“เฮือก! ฮ…อึก!”
หอกอันถูกปลุกปั่นพลังเวทขึ้นมานั้น ค่อยๆ ไล้ตามหน้าท้องของอียูจองขึ้นไป จึงทำให้เสื้อผ้าของหล่อนฉีกขาดออกจากกัน และบังเกิดรอยแผลจางๆ สลักยาวอยู่บนหนังกำพร้าของหล่อน ปลายหอกอันแหลมคมหยุดตรงบริเวณลำคอของหล่อน
“ลองดูหน่อยไหมล่ะ พอดีฉันไม่ค่อยพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าไหร่นัก”
“หา? เฮ้ย! อย่านะ! ก็บอกแล้วไงว่านี่มันของฉัน!”
พวกเร่ร่อนที่วิ่งเข้ามาจากด้านข้างตะโกนออกมา แต่ทว่าวินาทีที่จองฮันกำลังใช้พละกำลังทั้งหมดทั้งมวลในการที่จะแทงหอกลงไปที่ลำคอนั่นเอง
“กัสท์ออฟวินด์!”
ฟิ้ว!
สายลมโหมกระหน่ำเข้าพัดปกคลุมพวกเร่ร่อน
สายลมเหล่านั้นถือกำเนิดออกมาจากปลายนิ้วของชินซังยงผู้ซึ่งสามารถร่ายเวทมนตร์ออกมาได้อย่างหวุดหวิด ในเวลาต่อมาสายลมก็พัดเข้าปกคลุมพรรคพวกเร่ร่อน ส่วนเจ้าคนที่กำลังยืนค้ำตัวอียูจองอยู่นั้นก็ได้หงายท้องล้มตึงไปเช่นเดียวกัน
แต่ก็ได้แค่นั้น เพราะร่ายเวทช้าไปมาก มิหนำซ้ำพละกำลังยังลดลงไปตั้งครึ่งหนึ่งของเวลาปกติ จนคาบเกี่ยวอยู่ที่จุดอันตรายต่อชีวิต
พูดง่ายๆ ก็คือ เราทำได้แค่ปลุกไฟในตัวพวกเร่ร่อนให้ลุกโชนมากกว่าเดิมก็เท่านั้น
ถึงอย่างนั้นก็ตกใจได้แค่เพียงชั่วครู่ พวกเร่ร่อนที่ล้มลงไปนั้นเดือดดาล หน้าแดงก่ำไปด้วยความโกรธ จากนั้นพวกมันจึงวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่เลือดยังไหลซึมอยู่ทั่วแผ่นอก
ความหวังของชินซังยงพังทลายลงไปเสียแล้ว เขารู้ดีตั้งแต่ต้นว่าทุกอย่างมันจะต้องจบลงแบบนี้ แต่ทว่าพอเจอเข้าจริงๆ และได้เห็นกับตาตัวเอง เขาก็รู้สึกว่าหนทางข้างหน้าช่างมืดมนไร้ซึ่งความหวังทั้งหมดทั้งปวง
ในช่วงเวลาความวุ่นวายเหล่านั้น ชินซังยงมองไปที่อันซลที่กำลังตัวสั่นเทาพร้อมกับตะโกนออกไปเสียงดังว่า
“เฮ้ย! อันซล! น…หนีไป!”
“ไปไหน?”
พลั่ก!
ตอนนั้นเองมีอะไรบางอย่างกระแทกเข้ามาที่ใบหน้าอย่างจัง ชินซังยงล้มคว่ำหงายท้อง พลางร้องเสียงหลง
“ถ้าโง่แบบนี้ ก็ควรโง่อย่างเงียบๆ สิวะ ไม่ก็หนีไปให้ได้สิ ตอนเขาสู้กันจะเป็นจะตาย แกก็อยู่เงียบๆ มาตลอด ตอนนี้จะมาไม้ไหนอีกล่ะ”
ชินซังยงยังไม่ทันจะทรงตัวได้สำเร็จ จองฮันก็เตะเข้าไปอย่างต่อเนื่องทันที
พลั่ก!
จองฮันเตะอัดชินซังยงอย่างต่อเนื่อง คงอยากจะระบายอารมณ์โกรธให้หายไป แม้ชินซังยงจะพยายามงอตัว ป้องกันตัวเองให้ได้มากที่สุดก็ตาม แต่แล้ววินาทีที่ฝีเท้าของจองฮันสัมผัสโดนกับขาอ่อนที่กำลังบาดเจ็บอยู่ จึงทำให้เขากรีดร้องออกมาปนเปกับเสียงร้องไห้
ลูกเตะที่อัดเข้ามาไม่ยั้งหยุดนิ่งไปชั่วครู่ แต่แล้วพวกเร่ร่อนยังคงคลายความโกรธลงไม่ได้ พวกมันจึงหยิบหอกขึ้นมา แล้วพูดกับชินซังยงด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เคยดูหนังเปล่า เรื่องเซฟวิ่ง ไพรเวท ไรอัน ฝ่าสมรภูมินรกน่ะ แกรู้จักอัพฮัมไหม”
“อึก…”
“ฉันโคตรเกลียดคนอย่างแกที่สุดเลยว่ะ อย่าหาว่างู้นงี้เลยนะ แต่คนโง่ๆ แบบแก ฉันโคตรเกลียดเลยแหละ เฮ้ย แกน่ะ ตายๆ ไปเสียเถอะ ฉันจะทำให้แกจากโลกนี้ไปเอง”
“อย่านะ!”
เปรี๊ยะ!
ตอนนั้นเอง อันซลได้วิ่งเข้ามาพร้อมกับดอกไม้ไฟที่กระจายขึ้นมาโดยรอบ หล่อนวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วกอดชินซังยงเอาไว้ ลูกแก้วสีขาวนวลปรากฏขึ้นรอบกายของอันซล และเจ้าสิ่งนั้นก็คือ ‘โล่กำบังรุ่นปรับปรุงใหม่’
จองฮันก้มลงไปเก็บหอก
“เฮอะ ทำอะไรได้หลายอย่างเลยนี่หว่า เอาสิ มาลองกันสักตั้งหน่อยเป็นไง”
จองฮันแค่นหัวเราะออกมา แล้วจึงเริ่มเคาะโล่กำบังอย่างเพลิดเพลินบันเทิงใจ
พลั่ก! พลั่ก พลั่ก!
ฮึม! ฮึม!
“ฮึก! ฮืออ”
เสียงดอกไม้ไฟดังสนั่นไปทั่วจนอันซลร้องไห้ออกมาเสียงดังลั่น หล่อนไม่คิดที่จะลงมือทำสิ่งใดเลย ได้แต่ร้องไห้น้ำตาไหลเป็นสายอยู่แบบนั้น
ชินซังยงถึงกับสติหลุดไปสักพัก แต่แล้วความเจ็บปวดที่เคยได้รับเริ่มทุเลาเบาลงบ้างแล้ว เขาจึงตั้งสติแล้วเงยหน้าขึ้นทันที
พลั่ก! พลั่ก พลั่ก! พลั่ก พลั่ก พลั่ก พลั่ก!
ทันใดนั้น ภาพเหตุการณ์หลายๆ อย่างก็เข้ามาสู่สายตาของเขาจากภายนอกจากม่านกำบังที่ดูเหมือนจะพังทลายลงเร็วๆ นี้
‘แหะๆ พี่ครับ ช่วยผมหน่อยได้ไหมครับ’
อันฮยอนที่กำลังคัดแยกอุปกรณ์ทีละชิ้น ทีละชิ้น
‘ปกติฉันไม่ใช่คนแบบนี้หรอกนะ แต่ฉันใจกว้างให้ได้แค่ครั้งนี้ ครั้งเดียวพอนะ เอาล่ะ คุณพี่ซังยงขา~ ลองทำดูซี่’
อียูจอง ผู้ซึ่งจ้องพวกเร่ร่อนที่กำลังเข้ามาทะลุทะลวงร่างกายของเขาอย่างไม่ละสายตา
‘อ…เอื๊อก? ถ้าให้ยานั่นกับฉัน แล้วฉันจะทำยังไงล่ะคะ! แงงง!’
อันซลที่กำลังร้องห่มร้องไห้ กอดร่างกายของตัวเขาเอง
พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!
แรงสั่นสะเทือนของม่านกำบังเริ่มทวีคูณความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ในสถานการณ์เข้าตาจนเฉกเช่นนี้ ชินซังยงรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก เขาตกอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย ยิ่งไปกว่านั้นยังได้รับการปกป้องจากคนรอบข้างอย่างน่าอดสูเสียอีก เขาคิดทบทวนเช่นนั้น ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้ง จนเกิดความอาฆาตแค้นขึ้นมาในจิตใจจนแทบคลั่ง
พลั่ก! เปรี๊ยะ! พลั่ก! เปรี๊ยะ!
“ท่านพี่! ท่านพี่ซูฮยอนขา!”
เสียงร้องไห้ของอันซลเพิ่มระดับความดังมากขึ้นเรื่อยๆ มือเรียวบางที่กำลังโอบกอดชินซังยงก็รัดแน่นขึ้นด้วยตามลำดับ รัดแน่นมากเสียจนความสับสนวุ่นวายที่ชินซังยงมีอยู่มลายหายไปจนหมดสิ้น
มาถึงขนาดนี้แล้ว ตัวเราคงต้องทำอะไรสักอย่าง แต่จะต้องทำอย่างไรดี
ไม่เช่นนั้น…ต้องตายไปทั้งอย่างนี้หรอก
ในตอนนั้นเอง
ความทรงจำหนึ่งจึงแวบขึ้นมาในหัวสมองของเขา
‘หนีไปไหมล่ะ’
‘แกมันโง่ ไอ้โง่ ตายๆ ไปซะ’
วินาทีที่คำพูดเหล่านั้นผุดขึ้นมา ภายในใจที่ไร้ซึ่งความหวัง ในใจที่มีแต่ความมืดมนของชินซังยง จึงได้เริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่พองตัวอัดแน่น เขาใช้มือเช็ดเลือดบริเวณริมฝีปากทิ้งไป
และนั่นก็คือ เวทที่แผ่ซ่านออกมาโดยอัตโนมัติ
แม้กระทั่งตอนนี้ เขายังไม่เคยประสบความสำเร็จเลยสักครั้งเดียว ซ้ำร้ายสถานการณ์ในขณะนี้ยังเลวร้าย แต่กระนั้นก็ยังคงมีวิธีอยู่ วิธีที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียวของชินซังยง ณ ตอนนี้
‘หากนักเวทถือเป็นดอกไม้ประดับสงคราม คลาสลับกับคลาสหายากก็ถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถตัดสินผลลัพธ์ที่ได้จากสงครามนั้น แม้สงครามที่เกิดขึ้นนั้นเราจะเสียเปรียบ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงสามารถพลิกแพลงสถานการณ์ได้ภายในคราเดียว’