Memorize - เล่มที่ 19 ตอนที่ 18
ในเวลาต่อมา เมื่อพวกเร่ร่อนเริ่มหายลับไปไกลหูไกลตาแล้ว ชินซังยงจึงได้ล้มตัวนั่งลง พร้อมกันนั้นก็ก็รู้สึกได้ถึงอาการที่ยังหลงเหลือจากสงครามได้เข้ามาโอบล้อมทั่วร่างกาย
“แฮ่ก แฮ่ก!”
ชั่วขณะหนึ่ง ภาพที่เห็นตรงหน้าเกิดหมุนวนไปเวียนมา พอการสู้รบสิ้นสุดลง ในหัวของเขาก็ว่างเปล่าทันที หัวใจเต้นแรงเหมือนกับมีไม้ตีเข้าที่อก ชินซังยงเกิดอาการวิงเวียนศีรษะเล็กน้อย จึงได้ข่มพลังเวทมนตร์ไหลย้อนกลับ และปลดปล่อยพลังอัญเชิญออกไป
“ค…แค่ก ค…แค่ก”
ทันทีที่ภายในพักฟื้น ระบบหมุนเวียนพลังเวทที่ถูกทำให้ร้อนขึ้นก็เริ่มทำให้ร่างกายร้อนผ่าวขึ้นเช่นกัน
“ฟู่ว ฟู่ว”
ชินซังยงค่อยๆ ปรับลมหายใจอย่างค่อยเป็นค่อยไป ภายในของเขารู้สึกโล่ง ว่างเปล่ามาก แต่ว่า…ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกไม่เลวเลย
พอชินซังยงสามารถปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอได้แล้ว เขาจึงกวาดตามองรอบๆ
อันฮยอนนอนหมดสติ มีเลือดไหลที่ศีรษะ แต่เขายังมีชีวิตอยู่ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่โชคดีมาก
อียูจองทาบมือไว้บนอกและสีข้างของหล่อน หล่อนมีสีหน้าเจ็บปวดก็จริง แต่ก็ยังมีชีวิตอยู่เหมือนเดิม
ด้านอันซลก็งตัวสั่นงกๆ อยู่เช่นเดิม แต่ดูแล้วก็ไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงอะไรนัก
พอชินซังยงรู้ว่าทุกคนยังมีชีวิตอยู่ เขาก็พลันสงบจิตสงบใจไปได้บ้างเล็กน้อย
“นี่ อันซล”
“ค…คะ?”
“ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”
“ไม่ค่า ตะกี้ใจมันเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ตลอด จนตัวสั่นไปหมดเลยค่า ขอโทษด้วยนะคะ”
“ฮ่าๆ ไม่เป็นไรครับ ตะ ตอนนี้พวกศัตรูมันถอยไปหมดแล้วนะ เพราะงั้นรีบรักษา…”
ชินซังยงพยายามจะพูดต่อไป แต่แล้วกลับรู้สึกเหนื่อยพิกล จึงได้จ้องไปที่อันฮยอนแทน อันซลได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจในความหมายทันที หล่อนจึงพยักหน้าให้ หลังจากนั้นจึงเดินต้วมเตี้ยมไปทางอันฮยอน
ชินซังยงทิ้งตัวนอนแผ่กับผืนดิน เขารู้ดีว่าสถานที่นี้คือใจกลางของสมรภูมิรบ แต่ตอนนี้เขาแค่อยากจะพักผ่อนสักหน่อยก็เท่านั้น ร่างกายเขาแทบไม่หลงเหลือพลังงานใดๆ ต่อไปอีกแล้ว
หลังจากนั้น ชินซังยงตั้งใจที่จะเอนตัวลงนอน แต่แล้วกลับรู้สึกได้ถึงอะไรสักอย่างนุ่มหยุ่นอยู่บริเวณลำคอ ด้วยความตกใจ เขาจึงเงยหน้าขึ้นมามอง แล้วก็ได้พบกับอียูจองที่กำลังยืนกัดริมฝีปากอยู่
“พี่”
“อ…อียูจอง?”
“ขอบคุณนะ”
“…”
คำขอบคุณของหล่อนทำเอาชินซังยงถึงกับหลงลืมประโยคที่จะพูดต่อไปเลยทีเดียว เขารู้สึกหน้าร้อนผ่าว ภายในกำลังคุกรุ่นแปลกๆ อย่างไรชอบกล
“ฉันเพิ่งเคยเห็นพี่มุมนี้เป็นครั้งแรกเลย เท่มากๆ เลยล่ะ น่าจะโชว์ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว”
“ฮ่าๆ”
คำตำหนิที่ฟังดูแล้วเหมือนไม่ตำหนิของอียูจอง ทำเอาชินซังยงได้แต่หัวเราะเจื่อนๆ พลางพยักหน้าตอบรับหล่อน
“…โชคดีแล้วนะครับ ที่ยังมีชีวิตอยู่”
หลังจากประโยคนั้นสิ้นสุดลง อียูจองจึงเผยรอยยิ้มออกมาครั้งแรก หลังจากที่ได้หวนกลับมาพบเจอกันอีกครั้งหนึ่ง
ในตอนนั้นเอง
“ลุกขึ้นเถอะ”
เสียงอันแสนเย็นชาดังขึ้นมากะทันหัน ชินซังยงจึงเผลอลุกขึ้นมาทันทีอย่างไม่รู้ตัว ทันใดนั้นเขาก็พบเข้ากับราชินีแห่งดาบ สีหน้าหล่อนดูเหนื่อยล้าอย่างมาก หล่อนมายืนอยู่ตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
“ยังไม่จบสิ้นดีหรอกค่ะ แค่พวกศัตรูมันแค่ถอยทัพกลับไปก็เท่านั้น”
“อ้อ…นะ นั่นน่ะสิครับ แต่ตอนนี้สถานการณ์มันเป็นเช่นนี้แล้ว ศัตรูก็ไม่โผล่ให้เห็นแล้วด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเราจะพักกันสักหน่อย…”
“ไม่ได้ค่ะ”
จริงๆ แล้วคำพูดของชินซังยงก็ฟังดูมีเหตุมีผลเช่นเดียวกัน แต่ราชินีแห่งดาบกลับปฏิเสธเสียดื้อๆ
“ก่อนหน้านี้…หากพวกมันยังดื้อด้านจะเข้ามาไล่ต้อนให้ได้จนถึงที่สุดล่ะก็ มันอาจจะแพ้ก็ได้ อีคังซานก็เลยเลือกที่จะถอยทัพออกไปก่อน รู้สึกไม่ดีอย่างไรก็ไม่รู้ ก่อนอื่นเรารีบไปปลุกผู้ชายคนนั้นขึ้นมา ทำการรักษาเบื้องต้นให้เขา แล้วค่อยออกไปกัน แบบนี้ดูท่าว่าจะดีกว่านะคะ”
“อ้อ รับทราบครับ”
คำพูดของราชินีแห่งดาบนั้น ฟังดูแล้วอาจจะไม่ยินดียินร้ายไปเสียบ้าง แต่มันก็เป็นความจริง ชินซังยงพยักหน้ารับ พลางรู้สึกเหมือนมีอะไรแปลกตาไปเล็กน้อย เมื่อครู่นี้ต่างคนต่างไม่ได้ประสานสายตากันเลย แต่ตอนนี้หล่อนกำลังพูด พลางก้มมองลงมาที่ตัวเขาเอง
หลังจากนั้นชินซังยงจึงออกแรงยันกายลุกขึ้นยืน ราชินีแห่งดาบเห็นดังนั้นจึงหมุนกายเพื่อจะสังเกตบริเวณรอบข้าง ในตอนนั้นเอง ขาของหล่อนก็บิดเบี้ยว
“อึ๊ก!”
“ม…ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”
ชินซังยงตกใจจะเข้าไปประคองหล่อน แต่ราชินีแห่งดาบกลับส่ายหน้า ยกมือปฏิเสธพัลวัน
“…ไม่โอเคหรอกค่ะ”
“งะ งั้นรีบไปรักษา…”
“ฉันฟื้นสภาพด้วยการรักษาไม่ได้หรอกค่ะ มันเป็นผลร้ายที่เกิดจากฉันตะบี้ตะบันใช้ความสามารถเฉพาะตัวมากเกินไปต่างหาก”
“ความสามารถเฉพาะตัวหรือครับ อ้อ อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณจะไม่รับการรักษา ก็ควร…”
“มันเป็นความสามารถที่ช่วยนำประสาทสัมผัสของร่างกายออกมาได้อย่างรวดเร็วน่ะค่ะ นอกจากนี้ยังช่วยเสริมให้ความสามารถแข็งแกร่งมากขึ้นอีกด้วย หากใช้มันแค่แป๊บเดียวคงไม่เป็นไร แต่หากปลุกพลังขึ้นมาใช้เป็นระยะเวลานานๆ แล้วล่ะก็ มันจะเป็นการหักโหมร่างกายเอาน่ะค่ะ”
สิ่งนั้นคือความสามารถที่เคยเห็นแวบหนึ่ง ตอนที่เผชิญหน้ากับคิมซูฮยอน ราชินีแห่งดาบแสดงสีหน้าเบื่อหน่ายออกมาก็จริง แต่ก็ยังให้คำอธิบายละเอียดครบถ้วน หล่อนเหลือบมองชินซังยง
“ตอนนี้ฉันก็เป็นอย่างที่ว่านั่นแหละค่ะ คุณเองก็เป็นเหมือนกันไม่ใช่เหรอคะ”
ชินซังยงพยักหน้าตอบรับในทันที คงเข้าใจในสิ่งที่หล่อนอธิบายทั้งหมดแล้ว สีหน้าของเขาที่เคยดูเบาใจ บัดนี้กลับมีกลุ่มเงามืดบางอย่างเข้ามาปกคลุมเสียได้ เขาคงใช้พลังที่มีอยู่แทบทั้งหมดในการต่อสู้ที่จบไปเมื่อครู่ ด้วยสาเหตุนี้จึงทำให้เขาแทบไม่มีพลังหลงเหลืออยู่ในร่างกายเลย อย่างมากที่สุดได้แค่เดินก้าวสองก้าวเท่านั้น แต่หากเขาตกอยู่ในสภาพเหมือนกับราชินีแห่งดาบแล้วล่ะก็…
“อ้า แล้วจะทำอย่างไรต่อไปดีล่ะครับ วงล้อมตอนนี้มันเป็นอย่างไรแล้วบ้า…”
“…ไม่รู้สิคะ”
“อะ…อะไรนะ”
วินาทีนั้นมีความคิดหนึ่งแล่นผ่านหัวสมองและห้วงความทรงจำของชินซังยง
“หรือว่าคุณปลุกพลังความสามารถนั่นขึ้นมา ตั้งแต่ก่อนที่จะได้พบกับพวกเราอีกหรือครับ”
“ฉันคงจะปลุกมันขึ้นมาไม่ได้ไปอีกสักระยะหนึ่ง ไม่สิ ฉันต้องระมัดระวังในการใช้พลังเวทมากกว่านี้”
ฟังดูแล้วเหมือนเป็นการถามอย่าง ตอบอย่าง แต่เท่านี้ก็แทบไม่ต่างอะไรกับการยอมรับกลายๆ ชินซังยงถอนหายใจออกมา เขาเข้าใจความสามารถในการรับรู้ถึงสิ่งต่างๆ ที่ราชินีแห่งดาบมองว่าเป็นของประหลาดหมดแล้ว ทว่าก็ยังเกิดความกังวลลึกๆ เขาคิดว่าตอนนี้ เขาสามารถข้ามภูเขาลูกหนึ่งมาได้อย่างหวุดหวิด แต่แล้วกลับต้องมาเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่เข้าอีกครั้ง
ความคิดด้านมืดวนเวียนอยู่ในหัวเต็มไปหมด ชินซังยงจึงรีบสะบัดความคิดเหล่านั้นทิ้งไปทันที หลังจากนั้นจึงมองไปยังอันซล หล่อนร่ายเวทสำหรับรักษาอาการบาดเจ็บมาสักพักหนึ่งแล้ว
หล่อนได้รักษาอันฮยอนกับอียูจองแล้ว ซึ่งเรื่องพวกนั้น ล้วนเป็นเรื่องลำดับแรกสุดที่จะต้องลงมือทำทันที
แต่อย่างที่ราชินีแห่งดาบได้ว่าไว้ ตอนนี้เราไม่มีเวลาว่างให้มาพักผ่อนสบายใจเฉิบแล้ว ชินซังยงจึงลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ พร้อมกับมองไปที่ราชินีแห่งดาบ แม้จะเห็นเพียงแค่แผ่นหลัง แต่เขาเห็นได้ว่าท่อนขาของหล่อนที่อยู่บนผืนดินนั้นกำลังสั่นอยู่น้อยๆ
“อื้อ”
ในตอนนั้นชินซังยงได้ยินเสียงครวญครางเบาๆ ดังแว่วเข้ามาในหู เขาจึงหันหน้าไปมองทันที ด้วยความดีใจอย่างยิ่ง แล้วจึงพบเข้ากับอันฮยอนที่กำลังขมวดคิ้วนิ่วหน้า แล้วจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาช้าๆ ส่วนอันซลนั้น หล่อนได้ถอนหายใจโล่งอก แสดงหน้าท่าทางว่า ‘โชคดีแล้ว’ ออกมาให้เห็น ดูท่าว่าการตื่นขึ้นมาอีกครั้งของเขาจะราบรื่นดี ไม่มีอะไรขัดข้อง
อันฮยอนลืมตาขึ้นมาได้ในที่สุด แล้วจึงกวาดมองบริเวณโดยรอบอย่างช้าๆ และเปิดปากพูดออกมาทันทีว่า
“อะ อะไรเนี่ย ทำไมถึง…เอ๋? แล้วอุปกรณ์ฉันล่ะ”
“นี่ อุปกรณ์ของนายอยู่ตรงโน้น รู้แล้วก็ช่วยเขยิบตัวออกไปหน่อยแล้วกัน ตาฉันเข้าไปรักษาแล้ว”
“อุปกรณ์…อุปกรณ์ที่พี่ให้…”
“ฮ่าๆ ดะ เดี๋ยวผมไปเอามาให้เองครับ”
อันฮยอนตื่นขึ้นมาก็ถามหาอุปกรณ์ตัวเองเลยทันที ชินซังยงเห็นดังนั้นจึงหัวเราะร่วน แล้วค่อยลุกขึ้นยืน เขาเดินไปข้างหน้า แล้วจึงได้เห็นหมวกเหล็ก หอก กับเสื้อเกราะ วางอยู่ข้างศพไร้ศีรษะ
เขาคิดว่าก่อนอื่นควรจะเคลื่อนย้ายมันทีละชิ้นเสียก่อน จึงได้ก้มตัว เตรียมจะไปหยิบหมวกเหล็ก ในตอนนั้นเอง เขาจึงได้เห็นมือเรียวบางที่กำลังหยิบเสื้อเกราะขึ้นมาด้วยมือทั้งสองข้างจากอีกฝั่งหนึ่ง ชินซังยงเงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่าย คนตรงหน้าคือ ราชินีแห่งดาบที่กำลังมองตัวเองกลับมาเหมือนกัน เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย พลางหยิบหอกขึ้นมาด้วย ซึ่งในวินาทีที่เขากำลังจะลุกขึ้นมานั้น
ตึ่ก ตึ่ก
“หือ ทำไมตรงนี้เหมือนจะไม่มีคนอยู่เลยสักคนล่ะเนี่ย…”
ตอนที่ชินซังยงกับราชินีแห่งดาบกำลังจะลุกขึ้นมา แต่แล้วพวกเขาก็หยุดการเคลื่อนไหวไป
“นี่มัน…ศพของไอ้พวกเร่ร่อนเมื่อกี้นี้นี่ เหตุการณ์ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยนะเนี่ย”
ชั่วขณะที่โล่งใจได้แค่แป๊บเดียว กลับมีเสียงดังไล่หลังมาอย่างต่อเนื่อง
“ดูแล้ว…ไม่มีกองทัพของพวกเราเลยนะเนี่ย”
ฟิ้ว!
อะไรบางอย่างฝ่าทะลุสายลมเข้ามาฟาดอย่างแรง
พลั่ก!
“อั้ก!”
“แค่ก!”
ทั้งสองคนส่งเสียงร้องออกมาพร้อมกัน
ร่างกายของชินซังยงเริ่มสั่นสะท้านขึ้นมาทันทีอย่างไม่ได้ตั้งใจ เขาค่อยๆ ก้มหัวลงอย่างช้าๆ พอเบนสายตาลงไปมองได้สำเร็จ เขาจึงเห็นแส้เส้นหนึ่ง ที่ทั้งหนาและมีหนามกระแทกเข้าที่หน้าท้องตัวเอง ในตอนนั้น เจ้าแส้ดูเหมือนจะห่างไกลจากสายตาไปแล้ว ทว่ามันก็ได้กลับเข้ามาให้เห็นอยู่ต่อหน้าต่อตาเข้าอีกครั้งหนึ่ง
พลั่ก!
“อึ้ก!”
วินาทีที่ร่างกายสัมผัสเข้ากับผืนดินเบื้องล่างอีกครั้งนั้น ลำคอของชินซังยงก็ได้ถูกบิดไปมาอย่างรุนแรง ซึ่งมันไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
พลั่ก!
ครั้งที่สอง
พลั่ก! กร็อบ!
พอครั้งที่สามจบสิ้นไป เขาพยายามบิดเอาแส้ที่ติดอยู่กับร่างออกไปให้พ้นทาง พอดึงออกมาได้สำเร็จ เขาจึงเขวี้ยงมันออกไปข้างหน้าด้วยแรงที่มีอยู่น้อยนิด
“พ…พี่?”
“พี่คะ!”
ทั้งหายใจไม่ออก ทั้งปวดแสบปวดร้อนบริเวณหน้าท้อง จนลามไปถึงทั่วทั้งร่างกาย