Memorize - เล่มที่ 19 ตอนที่ 2
สิ่งที่ผมจะต้องป้องกันก่อนเป็นลำดับแรกในสถานการณ์นี้คือลูกธนูจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกยิงกระจายขึ้นสู่ฟ้าในเวลาต่อมา แล้วจึงค่อยตกลงมาในแนวเฉียง ผมไม่อาจหาญพอที่จะฟาดฟันกับสิ่งนี้ ผมจึงกัดฟันแน่น พร้อมปลุกวิชาการเคลื่อนย้ายร่างในพริบตาขึ้นมาทันที ด้วยความที่สี่ทิศรอบกายผม ล้วนถูกปิดกั้นไปหมดแล้ว ดังนั้นจึงทำให้สถานที่ที่ผมจะสามารถหนีพาตัวเองรอดไปได้นั้น จึงเหลืออยู่เพียงที่ที่เดียว ซึ่งตัวผมเองก็ไม่ได้ชอบใจอะไรนักหรอก และที่ที่ว่านั้นก็คือ กลางท้องฟ้านั่นเอง
หลังจากผมเคลื่อนตัวขึ้นมาอยู่บนกลางท้องฟ้าได้สำเร็จ จึงได้เตรียมเวทชักจูงไว้พร้อมใช้งาน แล้วพอก้มหัวลงไปมองด้านล่าง ก็ได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน
พอผมสามารถหลุดพ้นออกมาได้ ผืนดินตรงนั้นก็มีลูกธนูจำนวนหลายร้อยปักอยู่เต็มไปหมด เหมือนกับเม่นที่มีหนามทั่วตัวไม่มีผิด เห็นทีลูกธนูเหล่านั้นคงจะไม่ย้อนกลับมาหาผมอีกเป็นครั้งที่สองแน่
และในตอนนั้นเอง
การบุกโจมตีของมวลน้ำก็ปรากฏออกมาพอดิบพอดีราวกับกำลังรอเวลาอยู่แล้ว มีสายน้ำไหลเชี่ยวกราดอย่างรุนแรงตัดผ่านท้องฟ้าไป
แส้สายน้ำสีฟ้าตัดผ่านท้องฟ้าเบื้องบนออกเป็นเส้นตรง หลังจากนั้นจึงฟาดเข้ามาที่กระหม่อมผม ผมยังคงจับดาบไว้ไม่ให้หลุดมือ แล้วจึงฟาดฟันกับอุปสรรคที่อยู่ตรงหน้าทันที ผมมองไปยังบริเวณโดยรอบ ด้วยความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนเกินที่จะเอื้อนเอ่ยออกไปได้ ซึ่งในขณะนั้นเอง ที่ผมรู้สึกได้ว่ามีพลังอะไรบางอย่างกำลังปะทุอยู่ในแววตา
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ทันใดนั้นจึงบังเกิดสายน้ำจำนานหลายสิบสายพุ่งกระโจนเข้าใส่บริเวณที่ผมกำลังยืนอยู่อย่างไม่ทันตั้งตัว
คงรู้ว่า…จะใช้วิชาการเคลื่อนย้ายร่างในพริบตาสินะ
ไม่เพียงเท่านั้น สายน้ำที่ผมได้จัดการไปเมื่อช่วงแรก ได้แตกกระจายออกจนเหมือนเป็นละอองน้ำไปแล้ว แต่ทว่าบัดนี้พวกมันได้กลับเข้ามารวมเป็นกลุ่มๆ อีกหลายกลุ่ม หลังจากนั้นจึงค่อยๆ เริ่มก่อตัวขึ้นมาเป็นสายน้ำทีละสาย เพิ่มจำนวนมากยิ่งขึ้นไปอีก ผมเงยหน้าขึ้นไปมองอีกครั้ง จึงเห็นว่ามันกำลังเล็งมาที่ผมอยู่ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่วายโดนสายน้ำเหล่านั้นพุ่งกระโจนเข้ามา พร้อมพันล้อมโอบรอบกาย
เปรี๊ยะ!
ในวินาทีนั้น ผมจึงก้มหัวลงอย่างสุขุมเยือกเย็น
และสิ่งที่ผมเห็นคือ เหล่าผู้เล่นที่กำลังรวมตัวอยู่ ณ สถานที่ที่เชื่อมต่อมาจากสายน้ำ และผู้หญิงผมสีฟ้าคนหนึ่งที่อยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขา หล่อนจ้องมาทางผม แล้วจึงส่งรอยยิ้มอันเย็นยะเยือกมาให้
“…คิก”
ผมมองดูภาพเหล่านั้น พร้อมจ้องมองไปยังหญิงสาวคนนั้น แล้วส่งรอยยิ้มกลับไปให้เช่นกัน ผมหยิบคาลิโก อาบรักซัสในมือขวาขึ้นมา
หลังจากนั้นจึงปรากฏข้อความบางอย่างอยู่บนท้องฟ้า
[ความสามารถแฝงของคาลิโก อาบรักซัส เศษซากปรักหักพัง (Broken Fragments) เริ่มทำงาน]
ณ วินาทีนั้น พละกำลังอันเกิดจากคาลิโก อาบรักซัสจึงเกิดการพลิกแพลงขึ้น พลังต่างๆ ที่ปะทุระเบิดจนกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ ได้ค่อยๆ เข้ามารวมตัวกันเป็นหนึ่งอีกครั้ง
ติ๋ง! ติ๋ง!
เสียงน้ำหยดดังกังวานขึ้นทั่วทุกหนแห่ง ผมเกือบจะโดนสิ่งที่อยู่ตรงหน้าพันกลืนร่างเข้าไปเสียแล้ว แต่สุดท้ายผมก็ใช้ลูกเตะพลังเวทถีบตัวเองขึ้นไปบนท้องฟ้า ร่างพุ่งหลาวไปข้างหน้าเหมือนตอนเตะอยู่บนพื้น แม้จะไม่สูงเฉียดฟ้า แต่ก็แรงพอขนาดที่ทำให้ตัวลอยได้เช่นกัน ผมรู้สึกถึงสายน้ำที่จะปะทุตามขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง แต่ทว่าผมก็ได้กำหนดทิศทางและระเบียบร่างกายของตัวเองไม่ให้เข้าไปคาบเกี่ยววงโคจรของพลังมวลน้ำเหล่านั้น
ผมก้มหัวลงไปมองอีกครั้ง ทันใดนั้นจึงได้เห็นว่าผู้ปลุกพลังกำลังยื่นแขนซ้ายตรงมาทางผม และรอยยิ้มอันแสนเย็นยะเยือกก็ยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้าของสตรีผู้นั้นอยู่เช่นเคย เป็นรอยยิ้มจองหอง มั่นใจคิดว่าตัวเองชนะแล้ว
ผมรู้สึกได้ว่าพละกำลังมากมายกำลังไหลวนเวียนอยู่ในดาบของผม ตอนนี้ผมคิดว่าตัวเองจะต้องทำให้รอยยิ้มจองหองนั้นเลือนหายไปให้ได้ จึงคว้าคาลิโก อาบรักซัสขึ้นมาอีกครั้ง แล้วจึงค่อยวาดแขนขวาไปทางด้านหลัง ผมทำอยู่เช่นนั้นจนสามารถเล็งเป้าได้อย่างคร่าวๆ และสามารถสรุปกับตัวเองว่าจะต้องทำสำเร็จอย่างแน่นอน
ด้วยความที่ผมลอยตัวอยู่บนอากาศ ผมเลยไม่มีตัวเลือกมากมายนัก แต่ประเด็นในครั้งนี้ได้ต่างออกไปแล้ว ซึ่งมันล้วนอยู่เหนือเกินกว่าการจับกุมตัวผู้ปลุกพลังที่เป็นเป้าหมายของผม ณ ตอนนี้ด้วย
จุดประสงค์ของผมตั้งแต่แรกเลยคือ การฆ่าพวกมันแล้วหนีเอาตัวรอดกลับมาให้ได้ต่างหาก แม้จะไม่ได้ใช้กำลังปะทะกับพวกมันโดยตรง แต่ผมก็ยังมีวิธีที่จะสามารถฆ่าพวกมันได้อยู่ดี ซึ่งด้วยความที่ยังมีวิธีสังหารพวกมันอยู่ จึงทำให้ผมพอมีรอยยิ้มออกมาได้บ้าง
ผมรู้สึกถึงลางบอกเหตุอะไรบางอย่างว่า แรงโน้มถ่วงจะทำให้ตัวของผมตกลงไป ซึ่งในช่วงนั้นเองเป็นเวลาที่การผลัดกันบุก ผลัดกันโจมตีระหว่างผมกับคนเรียกภูติได้ปิดฉากลง
เวลาเดียวกับตอนที่ผมคว้ามือที่ยื่นออกมาของสตรีผู้นั้นได้ ผมก็เหวี่ยงคาลิโก อาบรักซัสออกไปอีกฟากฝั่งอย่างเต็มแรง
ตู้ม! ตู้ม
สายน้ำหลายสิบสายเข้ามาม้วนล้อมรอบตัวผมอีกครั้งทันทีหลังจากผมได้เหวี่ยงมันออกไป แต่ทว่าสายน้ำเหล่านั้นกลับกระจายเต็มทั่วทั้งท้องฟ้า เหมือนสีน้ำแต่งแต้มไม่มีผิด คราวนี้เกิดเรื่องแล้วแน่นอน ความเสียหายในครั้งจะนี้จะยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นไปอีกก็จริง แม้กระทั่งตัวมาร์โบโลที่มีค่าพลังเวทอยู่ที่หนึ่งร้อยคะแนนเองก็คงไม่คิดว่าผมจะสามารถฝ่าทะลุพลังต้านทานเวทไปได้ในคราเดียว
เรียบร้อย
คราวนี้เกิดการพลิกล็อก เพราะชัยชนะอยู่ในกำมือผมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดาบที่ผมเหวี่ยงออกไปอย่างเต็มแรงนั้น ได้แผ่ซ่านพลังร้ายกระจายออกไป แล้วจึงค่อยตกลงไปตามแนวเส้นตรง ซึ่งสุดสายปลายทางของมันนั้นคือ คนเรียกภูตินั่นเอง ผู้หญิงคนนั้นคงจะได้เห็นแล้วว่าพลังอำนาจของตัวเองหลงเหลืออยู่เพียงความว่างเปล่า หล่อนจึงได้แต่ยืนขมวดคิ้วอยู่ไม่หาย
คาลิโก อาบรักซัสที่ขว้างออกไปนั้นสร้างรอยร้าวที่มีลักษณะเป็นเส้นตรงขึ้นมา ก่อนที่จะเข้าไปทะลุทะลวงร่างคนเรียกภูติ สตรีผู้นั้นปัดป่ายมือเบาๆ พร้อมทำปากขมุบขมิบไม่หยุด ทันใดนั้นบนท้องฟ้าจึงบังเกิดหมู่มวลน้ำขึ้นมาราวกับภาพลวงตา ผมเห็นดังนั้นจึงรีบท่องคาถาร่ายมนตร์ในทันที
“เศษปรักหักพัง (Broken Fragments)”
ตู้ม!
ณ วินาที จึงบังเกิดระเบิดชนิดรุนแรงจากการปะทุพลังของคาลิโก อาบรักซัส เศษสีดำมันขนาดเล็กคล้ายกับระเบิดมือแตกกระจายไปทั่วทุกหนแห่ง แล้วหลังจากนั้นมันจึงได้กลืนกินคนเรียกภูติเข้าไปในที่สุด ซึ่งในช่วงเดียวกันนั้นเองที่ผมรู้สึกได้ว่าร่างกายจะดิ่งลงต่ำไปอีกครั้ง พร้อมกับได้ยินเสียงระเบิดลูกใหญ่ดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยในระหว่างที่ตัวผมกำลังตกลงมานั้น ผมได้เบนสายตากลับไปมองอีกครั้ง แล้วจึงเห็นได้ว่าลมร้อนที่ผสมผสานระหว่างสีดำและสีฟ้าได้โหมกระหน่ำขึ้นมา
ฟิ้ววว! ฟิ้ววว!
ติ๋ง!
ลมพัดไปมาเหมือนเต้นระบำอยู่ ผมยันกายขึ้นมาเหมือนกับกำลังบิดขี้เกียจ และแล้ว ณ วินาทีนั้นนั่นเอง สีดำมันวาวที่ผสมอยู่ในมวลวายุเหล่านั้นก็ได้กระจายสลายตัวไปทั่วอาณาบริเวณราวกับดอกไม้บานสะพรั่งก็ไม่ปาน
ในที่สุดผมก็สามารถพาตัวเองลงมาสู่พื้นดินได้อีกครั้ง แล้วเกิดรู้สึกสงสัยเรื่องผลลัพธ์เกี่ยวกับเรื่องที่ได้จบสิ้นไปหมาดๆ นี้ ผมจึงรีบเงยหน้าขึ้นไปมองอีกครั้งอย่างรวดเร็ว แล้วจึงใช้สายตามองไปยังตำแหน่งที่ตัวเองยืนวิเคราะห์อยู่เมื่อครู่ และแน่นอนว่ารวมถึงตำแหน่งที่เท้าทั้งสองข้างกำลังยืนเหยียบอยู่ด้วย แต่แล้วผมจึงได้เห็นร่างของคนเรียกภูติที่ไหม้เกรียมไปทั่วทั้งตัว ส่วนหล่อนยังคงมีชีวิตอยู่
“…อ้อ”
หล่อนกำลังยืนอยู่หน้าร่างอันไร้วิญญาณของคนเรียกภูติ ผมเห็นดังนั้นแล้วจึงเข้าใจสถานการณ์ได้ในทันที ที่ผมเห็นเมื่อครู่ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ลมแต่อย่างใด สิ่งที่พัดโหมกระหน่ำขึ้นมานั้น คือ ภาพลวงตาของกระบวนการก่อร่างสร้างสิ่งมีชีวิตประเภทหนึ่ง
และที่เห็นอยู่ตรงหน้าผม มวลน้ำคลื่นลูกใหญ่ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางถึงแปดเมตรนั้นกำลังบอกให้ผมรู้ว่า ราชาแห่งภูตได้เผยตัวออกมาแล้ว ซึ่งราชาแห่งภูตเองก็ปรากฏโฉมออกมาอย่างกระทันหัน เหมือนคราวที่เซเทอร์ปรากฏตัวออกมาโดยไม่ทันคาดคิดอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
“นึกแล้วเชียว…โชคดีที่เตรียมการไว้ล่วงหน้าเลยนะเนี่ย เจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้น่ะ”
แต่ทว่ารูปลักษณ์อันสง่าผ่าเผยที่ผมกำลังลอบพิจารณาอย่างไม่วางตาอยู่นั้น ก็ได้ดันตัวเข้ามา กอปรกับตัวผมที่ได้ยินเสียงอันแสนแผ่วเบาดังออกมาจากหมอกหนาที่เข้ามาโอบล้อมทั่วอาณาบริเวณ
ผมฟังไม่เข้าใจเลย เพราะเสียงที่ได้ยินนั้นไม่ใช่เสียงภาษาเกาหลี แต่แล้วคนเรียกภูตก็จ้องมองมาทางผม พร้อมเผยรอยยิ้มแปลกๆ ออกมา เห็นแบบนั้นแล้วรู้สึกไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่นัก
ผมถอนหายใจพร้อมสงบสติอารมณ์ที่อยู่ภายใน สีหน้าของคนเรียกภูตที่ผมเห็นแวบๆ นั้นซีดราวกับไก่ต้ม อย่างไรก็ตาม พลังที่ราชาแห่งภูตได้กักเก็บสะสมไว้นั้น ดูท่าว่าจะใช้ไปเสียหมดสิ้นแล้ว
ทว่าสิ่งที่สำคัญคือ ในท้ายที่สุดแล้ว ผมก็ยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายเมื่อครู่ได้ เศษปรักหักพังนั้นในช่วงแรกก็ดูเหมือนจะก่อให้เกิดความเสียหายได้ในระดับหนึ่ง แต่ทว่ามีแสงสีฟ้าบางอย่างกำลังช่วยรักษาอาการบาดเจ็บทั่วทั้งตัวของสตรีผู้นั้น
จากการที่ได้ใช้สายตากวาดมองโดยรอบแล้ว ความกังวลที่มีมาอย่างต่อเนื่องจึงได้กลายมาเป็นความจริงในที่สุด เหล่านักเวทและนักธนูทั้งหลายที่เพิ่งเสร็จสิ้นจากการบรรจุเตรียมพร้อมยิงอีกครั้งนั้น ต่างก็กำลังเพ่งเล็งมาที่ผม ผมเห็นดังนั้นจึงกัดริมฝีปากตัวเองเล็กน้อย
“ฉันจะฆ่าแกให้ตาย”
ในตอนนั้นเอง น้ำเสียงนิ่งๆ กับรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูเรียบร้อยที่ไม่เข้ากันเลยนั้นก็ได้เปล่งเสียงที่เต็มไปด้วยความกระหายเลือดดังขึ้นทั่วอาณาบริเวณ นั่นกลายมาเป็นระเบิดเวลาที่บอกให้ผมรู้ว่า การระดมยิงครั้งใหม่ได้เปิดฉากเริ่มต้นขึ้นแล้ว ณ บัดนี้
ตู้ม! ตู้ม!
เวทมากมายนับไม่ถ้วนถูกยิงขึ้นสูงสู่ท้องฟ้า แล้วจึงค่อยตกลงมาเข้าตัวผม ผมเห็นดังนั้น จึงถือดาบด้วยความรู้สึกที่เสียดายไม่น้อย
แต่ทว่าด้วยความที่หอกแห่งเวทและคมมีดดิ่งปักลงมาด้วยจำนวนอันมหาศาลเช่นนี้ จึงทำให้ผมไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถนำคาลิโก อาบรักซัสกลับคืนมาได้อีก เลยชูดาบที่เหลืออยู่อีกหนึ่งเล่มขึ้นฟ้า ซึ่งผมรู้ตัวดีอยู่แล้วว่ามันจะต้องยากลำบากอย่างแน่นอน ถึงอย่างนั้นผมก็ได้เล็งไปยังอุปสรรคที่กำลังทะลุทะลวงเข้ามาพร้อมๆ กัน แล้วจึงค่อยเริ่มลงมือหมุนรำดาบ
เพล้ง, เพล้ง! พลั่ก, พลั่ก!
วินาทีที่เริ่มปะทะกันอย่างรุนแรง ผมก็รับรู้ได้ว่าร่างกายเกิดสั่นไหวเล็กน้อย ผมได้หมุนไปรอบๆ ตามที่เวทได้คืบคลานใกล้เข้ามาเพื่อสกัดกั้นไว้แล้วก็จริง แต่ถึงเมื่อครู่จะใช้ทั้งสองอย่างไปแล้วก็ยังมีเวทที่ไม่สามารถสกัดได้อยู่ ทุกครั้งที่ผมเฉือนมันไปหนึ่งครั้ง มันก็จะแตกกระจายเป็นสะเก็ดเล็กๆ ลำพังเพียงแค่ดาบเล่มเดียวคงไม่สามารถป้องกันได้ในคราวเดียว
สิ่งที่พอจะเห็นเป็นไปได้คือ อย่างน้อยก็ยังสามารถเฉือนมันไปได้บ้าง แต่ก็มีแอบพลาดเป้าทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว อีกทั้งยังมีสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในสายตาแต่แรกพลาดเข้ามาอีกด้วย หลักฐานก็คือยิ่งเวลาล่วงเลยไปมากเท่าไหร่ ระลอกคลื่นที่เกิดขึ้นมาทั่วทั้งตัวนั้นกำลังค่อยๆ ไต่ระดับเพิ่มความแข็งแกร่ง
ฟิ้ว! ฟิ้ว!