Memorize - เล่มที่ 19 ตอนที่ 21
หญิงสาวผู้นั้นเก็บแส้กลับคืนไปอีกครั้ง หญิงผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น หล่อนคือยูรินะนี่เอง ยูรินะสะบัดมือเล็กน้อย พลางใช้สายตากวาดมองบริเวณโดยรอบ หล่อนเห็นร่างอันไร้วิญญาณอยู่ทั้งหมดห้าร่าง แต่เจ้าพวกเร่ร่อนที่วิ่งหนีออกไปก่อนนั้น คงมีกำลังพลมากถึงสี่เท่าเห็นจะได้ จะให้มองว่าหนีเหล่าผู้เล่นที่อยู่ตรงหน้าก็คงจะไม่ใช่ ดูท่าทางแล้วเหมือนกับว่าวิ่งไล่ตามใครสักคนออกไปอย่างรวดเร็วเท่านั้นเอง
“ไซม่อนสั่งให้มาดูลาดเลาละแวกนี้สินะ”
อย่างไรก็ตาม หล่อนคิดว่าจะต้องทำเช่นนั้นให้ได้ ยูรินะจึงเคลื่อนตัวไปหาอีกสามคนที่เหลืออยู่ พวกเขาทั้งสามคนกำลังสะอึกสะอื้น สีหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าโศก พลางโอบกอดร่างของชายคนหนึ่งเอาไว้ หล่อนเห็นดังนั้นจึงเอียงคอสงสัยเล็กน้อย แล้วจึงหยุดการเคลื่อนไหว เว้นระยะห่างพวกเขาไว้พอประมาณ หลังจากนั้นจึงก้มตัว ใช้มือซ้ายค้ำเข่าไว้ พลางพูดออกไปว่า
“ขอรบกวนหน่อย มีอะไรอยากจะถามสักหน่อยน่ะ ไม่ทราบว่ามีผู้ชายอวบๆ อ้วนๆ มาแถวนี้บ้างหรือเปล่า”
ชายอวบๆ อ้วนๆ ที่ยูรินะพูดถึงนั้น คืออีคังซานนั่นเอง และแน่นอนว่าหล่อนไม่ได้รับคำตอบใดๆ กลับมา จะบอกว่าพวกเขาฟังไม่เข้าใจก็คงจะไม่ได้ เพราะอันฮยอนที่พอควบคุมสติได้ประมาณหนึ่ง ได้หันกลับมามองข้างหลังด้วยใบหน้าที่แสนโกรธเกรี้ยว
ยูรินะถอนหายใจ ในขณะที่อันฮยอนกำลังจะหยิบหอกขึ้นมานั่นเอง หล่อนจึงได้ฟาดแส้เข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างไม่รีรอ
เพียะ
อันฮยอนอยู่ในสภาพที่ไม่ได้ป้องกันตัวเอง จึงทำให้แส้เส้นนั้นตวัดเข้ามาอยู่บริเวณหน้าอก เลือดไหลทะลักพร้อมกับเสียงกรีดร้องที่ดังลั่น หล่อนเก็บแส้กลับเข้าที่ด้วยสีหน้าอันแสนเย็นชา บริเวณแส้นั้นมีหนามอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าหนามพวกนั้นมีเลือดและหนังกำพร้าติดเข้ามาด้วย อันฮยอนผู้ถือหอกอยู่นั้นจึงล้มลงไป
“อะ อันฮยอน? ยัยXX…!”
ในตอนนั้น ยูรินะจึงตวัดแส้ในมืออีกครั้งหนึ่ง
เพียะ
อียูจองตั้งใจจะลุกขึ้นมา แต่แล้วหล่อนกลับจำต้องหยุดการเคลื่อนไหวไป ปรากฏลำแสงหนึ่งสว่างวาบเข้าที่ใบหน้าอยู่ชั่วครู่หนึ่ง หลังจากนั้นหล่อนจึงค่อยๆ ก้มหน้ามองสีข้างตัว บาดแผลตอนนั้นปริขาดออกจากกันเสียแล้ว มิหนำซ้ำยังมีอะไรบางอย่างทิ่มแทงอยู่ระหว่างบาดแผลนั่นด้วย
อียูจองปริปากพูดด้วยสีหน้าตื่นกลัว
“อันซล…หนีไป…”
ตึง!
อียูจองล้มลงไปนอนกับพื้น อันซลเห็นดังนั้นจึงหยุดหายใจไปชั่วขณะ ในหัวของหล่อนเกิดเลอะเลือน ว่างเปล่าเหมือนคนสติหลุดลอยไปชั่วขณะ ในเวลาต่อมาก็รู้สึกได้ว่าจู่ๆ ร่างกายก็ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ขาอ่อนยวบยาบจนแทบก้าวไม่ไหว นัยน์ตาที่เคยเปล่งประกายสดใสตลอดเวลา บัดนี้กลับค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือดราวกับไร้ชีวิต
ตึกตัก ตึกตัก! ตึกตัก ตึกตัก!
ภายในอันแสนว่างเปล่าของอันซล กลับมีเพียงแค่หัวใจเท่านั้นที่ยังคงเต้นรัวมาตั้งแต่เมื่อครู่นี้
แต่กระนั้นยูรินะก็หาได้สนใจไม่ หล่อนเดินปราดเข้ามา พลางถามอันซลด้วยความอ่อนโยนอีกครั้งหนึ่ง
“ไม่เห็นผู้ชายคนนั้นเหรอ เขามาที่นี่ใช่ไหม”
“มะ…”
“ศพของพวกเร่ร่อนนี่ พวกเธอจัดการกันเองหมดเลยหรือ พอจะจำได้ไหมว่าพวกเขาไปทางไหน”
“ไม่…”
ยูรินะได้รับคำตอบที่ไร้ซึ่งความหมายกลับมา จึงทำให้ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ หล่อนคิดว่าเห็นทีคงจะต้องกลับไปเสียแล้ว จึงยกมือขวา แล้วส่ายไปมาครั้งสองครั้ง แส้เส้นนั้นตวัดเป็นรูปตัวเอส แล้วจึงกระทบเข้ากับผืนดิน จนได้ยินเสียงเพียะดังออกมา ปลายแส้กระเด้งกลับคืนมาเหมือนงูไม่มีผิด
ในตอนนั้น ลูกแก้วที่เกิดรอยร้าวปรากฏตัวแทรกขึ้นมาระหว่างเส้นทางของแส้เส้นนั้นอย่างกะทันหัน
ฟิ้ว! เปรี๊ยะ!
“เอ๊ะ?”
ยูรินะขมวดคิ้วให้กับภาพตรงหน้า หล่อนเล็งแส้ไปที่ลำคอของอีกฝ่ายแล้วแท้ๆ แต่ทว่าเจ้าแส้นั่นกลับไม่เฉียดโดนตัวอันซลเลยแม้แต่น้อย
ตัวตนที่แท้จริงของลูกแก้วนั่น คือ โล่กำบังรุ่นปรับปรุงใหม่นั่นเอง แม้ม่านกำบังจะถูกพวกเร่ร่อนโจมตีจนแตกไปแล้วก็จริง แต่ทว่าธาตุแท้ของลูกแก้วก็ไม่ได้ถูกทำลายไปอย่างใด วินาทีที่รับรู้ว่าอันซล เจ้าของของตัวเองตกอยู่ในอันตราย มันจึงได้โผล่ออกมาทั้งที่อยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์
ม่านกำบังเมื่อครู่ก่อนหน้า อาจยังมีพลังเฮือกสุดท้ายอยู่ จึงทำให้ลูกแก้วที่เหลือเพียงเสี้ยวพลังบางส่วนได้กลิ้งตกกับผืนดิน เศษเล็กเศษน้อยที่แตกกระจายลงไปนั้น ได้อันตรธานโผขึ้นฟ้าเบื้องบนอย่างน่าใจหาย
“ไม่มี…”
อันซล ผู้ซึ่งอยู่ในเศษเสี้ยวของชิ้นส่วนที่กำลังโต้ลมอยู่นั้น จึงได้เริ่มร่ายเวทออกมา
“อะไรเนี่ย”
ยูรินะเอียงคอสงสัย แต่แล้วพอหล่อนได้เห็นลูกแก้วที่แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ เช่นนั้น จึงได้รีบจับแส้ไว้ในมือทันที ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หางของแส้ลู่ตกเป็นทางยาว สัมผัสเข้ากับผืนดินเบื้องล่าง หลังจากนั้นหล่อนจึงส่งพลังบางอย่างเข้าไปที่มือที่กำลังถือแส้อยู่
อันซลพูดขึ้นมาอีกครั้งว่า
“ไม่มีทาง…!”
ตอนนั้นเอง
ในช่วงที่ชีพจรของอันซลกำลังพุ่งทะยานมากขึ้น มากขึ้น และกำลังจะทวีคูณขึ้นไปสู่ขั้นสูงสุด
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนหยุดนิ่ง ชะงักงันเหมือนโกหก
หัวใจที่เต้นตึกตักมาตลอดก็หยุดแน่นิ่ง ความสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นกับร่างกายก็จางหายไปเช่นกัน หล่อนเหมือนตุ๊กตาที่ข้างในแสนว่างเปล่า ไม่สามารถควบคุมร่างกายของตัวเองได้ มิหนำซ้ำยังไม่รู้สึกถึงอะไรอีกต่างหาก
“ลาก่อน”
ฟิ้ว!
ศีรษะของอันซลร่วงหล่นลงมาอย่างไร้เรี่ยวแรง พร้อมกันนั้น เจ้าแส้ที่อยู่ในมือยูรินะก็เลื้อยเข้ามาปะทะเป็นเส้นตรง เจ้าแส้เส้นนั้นแล่นทะลุผ่านหน้าท้องของอีกฝ่ายไปอย่างนุ่มนวล ไร้ซึ่งอุปสรรคขวางกั้น
ความรู้สึกที่ได้จากการที่หน้าท้องถูกทำร้ายนั้น ผันแปรมาเป็นความเจ็บปวด หล่อนกำลังจะส่งเสียงกรีดร้อง เพราะพิษความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกาย ในตอนนั้นเอง เวลาจึงได้เริ่มเดินผ่านเลยไปอย่างเชื่องช้า
อันซลเห็นภาพเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นโดยรอบ
เห็นราชินีแห่งดาบกำลังนอนแน่นิ่ง เหมือนกับสิ้นใจไปแล้วอยู่ไกลๆ
เห็นอันฮยอนกับอียูจองที่กำลังนอนจมกองเลือด
และเห็นชินซังยงที่กำลังเผยรอยยิ้มจางๆ ทั้งๆ ที่ร่างกายเย็นซีดเซียว ไร้ซึ่งชีวิตชีวา
ทุกคนล้วนนอนหลับไหลแน่นิ่ง สถานการณ์ในขณะนี้ ไม่มีใครสามารถช่วยหล่อนได้เลยสักคนเดียว
ภาพเหตุการณ์ต่างๆ เลื่อนลอยผ่านไปอย่างช้าๆ
และแล้วก็ถึงจุดจบ ทุกอย่างล้วนกลับคืนสู่สภาพปกติ ร่างกายของอันซลที่ค้างเติ่งอยู่เช่นนั้น จึงสามารถเริ่มผงกศีรษะได้อีกครั้งหนึ่ง
ส่วนชีพจรที่หยุดเต้นไปชั่วขณะนั้น
ตึกตัก!
การสั่นไหวต่างๆ ที่หยุดแน่นิ่งไปเพียงชั่วครู่
ตึกตัก!
“ไม่มีทางงง!”
ณ ช่วงเวลาที่อันซลเปล่งเสียงดังกึกก้องออกมานั่นเอง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนปะทุออกมาให้เห็นเด่นชัดได้ภายในคราเดียว
[สถานะความสามารถของคุณเป็นที่น่าพอใจ เราขอตอบแทนการมุ่งมั่นตั้งจิตอธิษฐาน ภาวนาของท่านในครั้งนี้ ด้วยการให้สืบทอดความเป็น ‘นักบวชแห่งความรุ่งโรจน์’]
ฮึมมม!
ในเวลาเดียวกันนั้น ทั่วทั้งร่างของอันซลจึงอาบไล้ไปด้วยแสงสีขาวโพลน
* * *
“ซูฮยอน รอแป๊บหนึ่งค่ะ”
ในระหว่างที่ผมกำลังวิ่งข้ามผ่านทุ่งกว้างแห่งนี้อยู่นั้น เสียงเรียกจากโกยอนจูก็ดังขึ้นรั้งตัวผมไว้ ผมจึงหันหน้าไปมองในขณะที่กำลังวิ่งอยู่ หล่อนกำลังใช้สายตาอันเฉียบแหลมไล่มองทั่วอาณาบริเวณนี้
“ไม่คิดว่ามันแปลกหน่อยเหรอคะ จู่ๆ จำนวนของเหล่าผู้เล่นหรือไม่ก็พวกศัตรูมันลดฮวบลงแบบนี้ ไม่สิ คือมันแทบจะไม่มีเลยต่างหาก”
“หืม”
ผมได้ยินดังนั้นจึงใช้พลังเวทในการสังเกตรู้ จับสัญญาณของมนุษย์ที่อยู่ละแวกนี้
เป็นเช่นนั้นจริงๆ เสียด้วย เมื่อครั้นหาตัวจองฮายอน ชินแจรยง หรือแม้แต่เมื่อคราวของคิมฮันบยอลกับสมาชิกเผ่าแฮมิลก็ด้วย รู้สึกว่าจะได้ต่อสู้และหลบหนีจากพวกศัตรูที่มีจำนวนมากไม่ใช่เล่นๆ แต่ทว่าหลังจากพบตัวโกยอนจูแล้วนั้น จู่ๆ พวกศัตรูก็ไม่ค่อยปรากฏกายออกมาให้เห็นเหมือนแต่ก่อนเลย
ผมจมอยู่ในห้วงความคิดชั่วขณะ แล้วจึงตอบออกไปว่า
“หากลองคิดถึงเป้าหมายของพวกศัตรู บางทีอาจจะมีมุมอับ ที่เรามองไม่เห็นก็ได้นะครับ”
“มุมอับเหรอคะ”
มันเป็นกลวิธีที่ให้กองทหารส่วนหน้าเดินนำทัพเปิดทางมาก่อน หลังจากนั้นจึงให้พวกแกนนำเดินตามต่อท้าย
“ถ้าอย่างนั้น…”
ด้วยความที่โกยอนจูเป็นคนหัวไว หล่อนจึงเข้าใจคำพูดของผมได้ในทันที แต่แล้วหล่อนกลับดูมีทีท่าลังเลใจอะไรบางอย่าง แล้วหน้าก็ซีดเผือดลง
“ถ้ากลัวก็กลับไปได้นะครับ”
“อย่าพูดอะไรไร้สาระสิคะ”
โกยอนจูปรายตามองผมอยู่แวบหนึ่ง จริงๆ แล้วหล่อนเป็นคนที่ตามมาแล้วอย่างไรก็สามารถช่วยผมได้อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นหล่อนคงไม่คิดที่จะทิ้งผมไว้ตัวคนเดียว แล้วปล่อยให้ผมฉายเดี่ยวออกไปเองหรอก อีกทั้งผมคาดหวังไว้มากว่าระดับ ‘ราชินีแห่งเงามืด’ คงจะช่วยอะไรผมได้มากพอสมควร จึงยินยอมให้หล่อนตามมาด้วยอย่างไม่อิดออด
อย่างไรก็ตาม สำหรับตัวผมแล้วนั้น ถือว่าสถานการณ์เป็นใจอย่างมาก เพราะหากผมยังคงเฝ้าติดตามค้นหาตัวกำลังพลที่เหลืออยู่ต่อไปเรื่อยๆ แล้วล่ะก็ บางทีอาจจะจับตัวแกนนำสำคัญบางคนเอาไว้ได้ก็ได้ใครจะรู้ นี่แหละคือจุดประสงค์ดั้งเดิมของผมเลย ส่วนเรื่องการส่งตัวคนของเราไปนั้น ผมวางแผนไว้ว่าจะให้โกยอนจูรับผิดชอบหน้าที่นี้
กำลังพลที่เหลืออยู่ในขณะนี้คือ อันฮยอน, อันซล, อียูจองและชินซังยง ทั้งสี่คนคงกำลังรวมตัวกันอยู่ในสถานที่ที่ใกล้เคียงกันมากๆ จนถึงขนาดพูดได้เลยว่าอาจจะจับกลุ่มรวมตัวกันอยู่เลยทีเดียว ผมลองคาดคะเนคร่าวๆ และหากรักษาระดับความเร็วเช่นนี้ไว้ได้ คงจะสามารถถึงที่หมายได้ทันท่วงทีแน่นอน
อย่างไรก็ตาม พวกเขาเป็นคนที่อยู่ด้วยกันกับผมมาเนิ่นนานที่สุด และเหนือสิ่งอื่นใด หากผมสูญเสียอันซลไปล่ะก็คงจะเสียใจไปตลอดชีวิต ผมคิดขึ้นทันใดว่าจะต้องค้นหาตัวให้ได้เร็วที่สุด จึงรีบถีบตัวเองให้เร็วขึ้นไปอีก และในตอนนั้นนั่นเอง
[อัปเดตข้อมูลของผู้เล่นชินซังยง]