Memorize - เล่มที่ 19 ตอนที่ 26
“ฝ่าเข้าไปเลย! ฝ่าเข้าไปให้ได้! ถ้าไม่ได้ก็ต้องผ่านมันไปเสีย!”
“แม่งเอ๊ย”
พวกศัตรูรวมตัวกันเสมือนคลื่นยักษ์อีกครั้งหนึ่ง คิมด็อกพิลเห็นดังนั้นจึงสบถคำหยาบออกมาทันที หลังจากนั้นเขาจึงเงยหน้าขึ้น แล้วจ้องไปยังฝั่งตรงข้ามที่พวกศัตรูกำลังรวมตัวกันอยู่ แววตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง แต่กระนั้นก็ยังมีแววตาอันจริงจังที่คาดหวังความช่วยเหลืออยู่บ้าง
เขาจับลำคอที่มีเลือดสีแดงฉานไว้แน่น พลางรวบรวมแรงกายแรงใจ ตะโกนออกไปด้วยน้ำเสียงอันแสนเย็นชาว่า
“รวมตัวกันไว้! อดทนให้ได้! อดทนต่อไปอีกหน่อยเดียว เดี๋ยวพวกกองกำลังเสริมก็มาแล้ว!”
แม้จะไม่รู้แน่ชัดว่าจะต้องอดทนต่อไปอีกเท่าไหร่ แต่เรื่องนี้นี่แหละ ที่เป็นความปรารถนาหนึ่งเดียวที่เหล่าผู้เล่นตะวันออกต่างถวิลหา
ในเวลาต่อมา เหล่าผู้เล่นฝ่ายตะวันออกจึงได้เริ่มส่งเสียงดังออกมาบ้าง เสียงตะโกนโห่ร้องของแต่ละฝ่ายดังขึ้นมาปะทะกันอย่างไม่ยอมแพ้
และในระหว่างนั้นเอง การเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่สภาพการณ์ใหม่ๆ กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้โดยไม่มีใครรู้ตัว
ณ สมรภูมิรบอันแสนดุเดือดครั้งนี้ เสียงดังลั่นไปด้วยเสียงฝีเท้าของกองพลจำนวนมาก จนไม่สามารถคาดคะเนจำนวนคนได้ถูกเลย
เสียงฝีเท้านั่นค่อยๆ ผ่านเลยไป ทิ้งไว้เพียงรอยเท้าจำนวนนับพันบนผืนดินที่ชุ่มโชกไปด้วยน้ำ
“เร็วกว่านี้”
เสียงหนึ่งดังขึ้นแทรกมา จึงทำให้กำลังพลเหล่านั้นสับฝีเท้าเร็วมากขึ้น ความเร็วในการเดินขบวนถือว่าเร็วขึ้นเป็นสองเท่าเลยทีเดียว
จากที่ผมเห็น จำนวนของเหล่าผู้เล่นที่กำลังเดินทัพไปอย่างพร้อมเพรียงกันนี้ มีอยู่ประมาณหกพันคนเห็นจะได้
นั่นแหละ เหล่าผู้เล่นที่เข้าแถวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยและกำลังเดินทัพสู่สมรภูมิรบที่กำลังจะถึงนี้ จากที่ผมเห็นน่าจะเป็นเหล่าผู้เล่นที่รับหน้าที่ฝั่งประตูทิศใต้กับประตูทิศเหนือ พวกเขาเข้าใจสถานการณ์ ณ ขณะนี้ได้อย่างดีเยี่ยม และกองกำลังเสริมที่ถูกบริหารจัดการไว้เป็นอย่างดีก็เดินทางมาถึงได้ในที่สุด
“เฮ้อ สถานการณ์ตอนนี้ไม่ใช่เล่นๆ เลยนะครับ วุ่นวายเละเทะสุดๆ ไปเลย”
“อืม”
มีผู้เล่นคนหนึ่งพูดขึ้น จึงทำให้ชายผู้นั้นพยักหน้าตอบรับ แม้เขาจะเห็นสงครามอยู่ไกลๆ ไม่ได้เห็นชัดเจนมากนัก แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าสภาพสงครามในขณะนี้กำลังน่าอกสั่นขวัญหายอยู่ไม่น้อย
ชายผู้นั้นจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ถ้ายังโอเคอยู่ ก็ถือว่าดีแล้วล่ะ”
“แคลนลอร์ดครับ กองพลฝั่งประตูตะวันออกติดต่อเข้ามาครับ เขาบอกว่าจับจองตำแหน่งไว้แล้ว แต่…มีคนรออยู่เยอะเลยล่ะครับ”
“ฉันไม่ใช่แคลนลอร์ด แต่เป็นผู้บัญชาการต่างหาก”
ชายผู้นั้นพูดออกมาเพียงหนึ่งประโยค หลังจากนั้นจึงค่อยเพิ่มระดับเสียงพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ก่อนจะโจมตี…ต้องบอกให้อีกฝ่ายรู้ก่อนว่าพวกเรามาถึงแล้ว เพราะฉะนั้นขอให้ตะโกนเสียงดังๆ บอกพวกมันด้วย”
เหล่าผู้เล่นได้แต่มองหน้ากันไปมา หลังจากได้รับคำสั่งที่ไม่คาดคิด แต่แล้วชายผู้นั้นก็ได้ออกมานำหน้า แล้วเริ่มวิ่งออกไปทันที ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พวกเขาเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นตามไปด้วย
การเดินขบวนของกำลังพลในขณะนี้ มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า แต่หลังจากสิ้นเสียงคำสั่งเมื่อครู่ จึงทำให้กำลังพลที่อยู่กึ่งกลางในการเดินขบวน เริ่มที่จะวิ่งพุ่งตัวออกไปด้านหน้าทีละน้อย โดยกลุ่มหัวหน้า รวมถึงชายผู้นั้นที่ออกคำสั่งจะเดินนำอยู่หน้าสุด หลังจากนั้นจึงเป็นคลาสระยะประชิด และคลาสระยะไกล ตามลำดับ
การเดินทัพของเหล่าผู้เล่นจำนวนมากถึงหกพันคนค่อยๆ สับฝีเท้าอย่างรวดเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ
ยิ่งระยะทางสั้นเข้าไปมากเท่าใด ใบหน้าของทุกคนต่างก็ตึงเครียด หัวใจเต้นรัวแทบไม่เป็นจังหวะ
บัดนี้ได้แปรเปลี่ยนมาเป็นการวิ่งอย่างเต็มรูปแบบ ชายผู้นั้นคิดได้ว่าระยะทางราวๆ นี้คงจะได้การในระดับหนึ่งแล้ว เขาจึงคว้าดาบออกมา แล้วตะโกนออกไปเสียงดัง
“เริ่มปฏิบัติการช่วยเหลือกองพลฝั่งประตูตะวันตก ทหาร! พร้อม!”
ชายผู้นั้นตะเบ็งเสียงออกมา เหล่ากำลังพลทั่วทุกนายก็ชูอาวุธในมือขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน อีกทั้งยังได้ยินเสียงร่ายเวทดังขึ้นมาพร้อมๆ กันอีกด้วย
และในช่วงที่เคลื่อนทัพเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนสามารถเห็นสภาพสงครามได้อย่างชัดเจนกับตาแล้วนั่นเอง วินาทีนั้นเขาจึงลดดาบในมือลง พร้อมตะโกนออกไปด้วยเสียงที่ดังกึกก้องที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้
“บุก!”
“เฮฮฮ!”
ในเวลาเดียวกันนั้น กองพลฝั่งประตูทางใต้และทางเหนือต่างพร้อมใจกันตะโกนโห่ร้องออกมา แล้วจึงเริ่มวิ่งตัดทุ่งกว้างเข้ามาในที่สุด
หลังจากนั้น เหล่าผู้เล่นจำนวนหกพันคนที่ได้วิ่งผ่านทะลุกองศพออกมา จึงได้บุกเข้าไปราวกับคลื่นลูกใหญ่
อีกด้านหนึ่ง ในเวลาเดียวกันนั้นเอง
เฮฮฮ!
เสียงตะโกนโห่ร้องดังกึกก้องไปทั่วทุ่งกว้าง วินาทีที่ได้ยินเสียงเช่นนั้น ซองฮยอนมินจึงได้ยันกายลุกขึ้นช้าๆ แล้วรีบลุกออกไปข้างหน้าในทันที โดยมีบุคคลหนึ่งรีบตามประกบมาด้วย
“แคลนลอร์ดฮันคะ ดูเหมือนพวกเขาจะเริ่มมากันแล้วนะคะ”
“ใช่ ดูท่าว่าพอเราติดต่อไปหา เขาก็เริ่มเคลื่อนขบวนเข้ามาทันที เร็วใช้ได้ ฮ่าๆ”
ซองฮยอนมินหัวเราะร่วนอย่างไม่นึกกระดากอาย สตรีผู้หนึ่งปรายตามองเขา แล้วทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อย
“จะไม่เสียใจที่หลังหรือคะ”
“เสียใจเหรอ”
คำถามที่ซองฮยองมินถามย้อนกลับมา ทำให้หล่อนถึงกับปิดปากฉับ
ก่อให้เกิดความเงียบระหว่างคนทั้งสองไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วซองฮยองมินจึงได้พูดออกมาอีกครั้ง
“ผมทำตามความเชื่อมั่นและศรัทธาของตัวเอง และแค่ทำตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ก็เท่านั้นเอง”
“อย่างไรก็ตาม…”
“เพราะฉะนั้น คำตอบของผมก็คือ… ใช่ ไม่เสียใจเลยครับ”
หลังจากพูดประโยคเหล่านั้นจบ ซองฮยองมินจึงได้กวาดตามองอาณาบริเวณด้วยสายตาอันแสนสบายอารมณ์
ทหารของกองพลฝั่งประตูตะวันออกในปัจจุบันอยู่ที่ราวๆ สามพันห้าร้อยคน และพวกเขากำลังเข้าแถวรวมตัวกัน เหมือนกำลังยืนรอใครสักคนก็มิปาน
ความจริงแล้ว ตั้งแต่เขาเผชิญกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดมาก่อนหน้านี้ ซองฮยอนมินก็สามารถจับพิรุธแปลกๆ ได้ดีขึ้น หลังจากป้อมปราการพังทลายลง พวกศัตรูต่างก็วิ่งหนีกรูกันออกมาอยู่บริเวณประตูทางตะวันตก พอเขาสามารถยืนยันข้อมูลในจุดนี้ได้สำเร็จ เขาก็เริ่มมั่นใจในการสังเกตของตัวเองมากยิ่งขึ้น
แต่ซองฮยอนมินกลับไม่เลือกที่จะออกไปช่วยเหลือสามพันห้าร้อยคนนั่นทันที เขากลับเลือกเส้นทางที่แปลกแตกต่างออกไปสักเล็กน้อย โดยเขาส่งข่าวคราวไปหากองพลฝั่งประตูทางใต้กับทางเหนือให้ได้รับรู้ ส่วนทางฝั่งตัวเองก็อ้อมสมรภูมิรบออกไป แล้วจึงไปตั้งฐานทัพใหม่บริเวณที่พวกศัตรูจะเลี้ยววนกลับมา
การกระทำเช่นนี้ไม่ได้สวนทางไปจากยุทธศาสตร์การรบที่วางไว้ก็จริง แต่ก็ยังมีช่องว่างที่ทำให้เกิดการโต้แย้งอยู่บ้าง แต่ซองฮยอนมินก็ยังทำตามประสงค์ของตัวเองต่อไป มีแต่เขาเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่รู้ว่าเป้าหมายที่ซ่อนเร้นอยู่นั่นคืออะไร
หลังจากนั้นแกนโลกตรงเบื้องล่างค่อยๆ เริ่มสั่นสะเทือนทีละนิด ทีละนิด ซองฮยอนมินที่จดจ้องอยู่ตรงเบื้องหน้ามาได้สักระยะ จึงได้เปิดปากพูดออกมาด้วยท่าทีเรียบเฉย
“ดูท่าว่าจะมาจนได้แล้วสินะ”
“จะชนะได้ไหมคะ เพราะจำนวนคนมีเยอะกว่าพวกเราอยู่มากทีเดียว”
“พวกเราตอนนี้สามารถชนะได้สบายๆ”
ซองฮยอนมินพูดเช่นนั้น พร้อมความมั่นอกมั่นใจที่เปี่ยมล้นอยู่ในแววตา ความมั่นใจของเขา ทำเอาสตรีที่มองเขาอยู่นั้นถึงกับถอนหายใจ แล้วจึงค่อยเพิ่มระดับเสียงในการร่ายเวทขึ้นทีละน้อย
ใบหน้าของเหล่าผู้เล่นที่กำลังรอโอกาสอยู่ละแวกนี้ล้วนแตกต่างกันออกไปตามแต่ละบุคคล ผู้เล่นบางคนมีสีหน้าคับแค้นใจ บางคนก็ทำหน้าเหมือนสงสัยอะไรบางอย่าง
แม้จะยังไม่ได้เปิดฉากปะทะกับพวกศัตรูมาจวบจนถึงบัดนี้ แต่กองพลฝั่งประตูตะวันตกต่างรู้ตัวดีว่าพวกเขากำลังจะได้ต่อสู้อย่างสุดกำลังแล้วเร็วๆ นี้
ซองฮยอนมินมองสอดส่องพวกนั้นอย่างว่องไว แล้วจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า
“พวกศัตรูกำลังมา”
บรรยากาศรอบกายที่เคยเงียบสงัด บัดนี้กลับเริ่มเผยให้เห็นถึงความตึงเครียดขึ้นมาเรื่อยๆ
“ไม่มีอะไรต้องห่วง เพราะพวกเราเตรียมการไว้อย่างดีแล้ว ทุกคนต่างเคยออกสำรวจกันมาบ้างแล้วใช่ไหมล่ะ ขอแค่ทำตามเหมือนที่เคยทำมาอยู่ตลอดๆ ก็โอเคแล้ว”
ซองฮยอนมินพูดด้วยน้ำเสียงติดตลก แต่กลับไม่มีผู้เล่นคนใดหัวเราะให้กับคำพูดของเขาเลย ในระหว่างนั้น แกนโลกเบื้องล่างเริ่มสั่นสะเทือนรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ การเคลื่อนไหวบางอย่างที่เห็นอยู่ไกลลิบ ก็เริ่มเห็นได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น จนในที่สุดจึงได้ค่อยๆ เริ่มเห็นกองพลส่วนหน้าของทหารพันธมิตร ผู้ซึ่งกำลังบุกฝ่าทะลวงสมรภูมิรบในครั้งนี้
ในสถานการณ์เช่นนั้น ซองฮยอนมินก็ไม่ได้นิ่งเฉยไปเสียทีเดียว ทางเลือกของเขามีอยู่สองทาง คือ ให้พวกศัตรูวนซ้าย วนขวาไปเรื่อยๆ แล้วจึงหนีออกไป หรือไม่ก็บุกเข้าไปทั้งอย่างนี้มันเสียเลย
ความจริงแล้วมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันเลย สิ่งที่เป็นงานเร่งด่วนของกองพลฝั่งประตูตะวันออกนั้นก็คือพวกทหารพันธมิตร ส่วนฝั่งของตัวเองก็ได้เตรียมตัวมาอย่างสมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องบุ่มบ่าม เข้าไปรบราฆ่าฟันกับพวกมันให้เสียเลือดไปมากกว่านี้ เพราะพวกเขาสามารถต่อสู้ รับมือกับพวกมันได้อย่างดีเยี่ยมแน่นอน เหล่าผู้เล่นที่ภาคภูมิใจในทวีปเหนือต่างก็ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถที่ยังคงเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งก็แน่นอนแหละว่า ต่างคนต่างมีการคาดคะเนกันเอาไว้อยู่ส่วนตัวแล้ว แต่ว่า…
ซองฮยอนมินที่คิดอะไรสักพัก จึงได้เผยรอยยิ้มอันแสนเย็นยะเยือกออกมาให้เห็น
“เอาล่ะ ถึงเวลาล้างแค้นที่เรารอคอยกันมานานแสนนานแล้ว มีคนมาร่วมรบในครั้งนี้เยอะมาก ขอให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อมนะครับ”
เขาเริ่มยืนยันได้ว่า พวกศัตรูส่วนหน้าเริ่มรุกฆาตเข้ามาอย่างช้าๆ แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่รอช้า รีบตะเบ็งเสียงออกมาทันที
ฟิ้ว ฟิ้ว!
ทันใดนั้น เหล่านักธนูจึงได้ยิงธนูออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน นักเวทร่ายเวทดังกระหึ่มไปทั่วทุกสารทิศ ส่วนเหล่าผู้เล่นที่มีนิสัยใจร้อนก็ตั้งท่าจะยิงขู่พวกมันออกไปด้วย
“รอเวลาอีกหน่อย”
แต่แล้วซองฮยอนมินกลับส่งสัญญาณห้ามปรามออกมาทันที เขาจ้องไปยังทิศเบื้องหน้าด้วยสายตาอันเฉียบแหลม
ดูเหมือนพวกทหารพันธมิตรจะรู้แล้วว่ากองพลฝั่งประตูตะวันออกได้ตั้งฐานไว้บริเวณเส้นนี้ จึงทำให้พวกมันหยุดการเคลื่อนขบวนไปชั่วครู่ แต่แล้วพวกมันกลับเริ่มวิ่งเข้ามาข้างหน้าอีกครั้ง ราวกับกำลังวิ่งหนีอะไรบางอย่าง
ซองฮยอนมินมองพวกศัตรู พลางคิดในหัวว่าพวกมันช่างโง่เขลาเบาปัญญาเสียจริง ทว่าเขาก็ไม่ประมาทแต่อย่างใด เพราะการที่จะจู่โจมเช่นนั้นได้จะต้องหมายความว่ายังมีพวกศัตรูที่อยู่ในที่ที่มองไม่เห็นอยู่ด้วยแน่ๆ
“รอ รอเวลาก่อน”