Memorize - เล่มที่ 19 ตอนที่ 3
แต่แล้วผมก็ได้ยินเสียงธนูยิงขึ้นฟ้า คงจะตั้งใจไว้ว่าจะไม่เว้นช่องว่างให้ผมเลยแม้แต่น้อย ถึงได้ยิงขึ้นมารัวๆ อย่างไม่หยุดยั้ง แม้ผมจะไม่ได้ปรายตามอง แต่ก็รู้ได้เลยว่าการปะทะในครั้งต่อไป จะต้องเป็นการโจมตีด้วยลูกธนูอย่างแน่นอน ผมได้แต่สบถในใจ แล้วจึงกัดฟันสู้ ปลุกวิชาการเคลื่อนย้ายร่างในพริบตาขึ้นมาทันที
ใช้เวลาเพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น ทิวทัศน์ตรงหน้าผมจึงได้แปลกตาออกไป ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง ผมจึงได้เห็นลำแสงสีฟ้าหลายสิบสายถูกยิงขึ้นมา ณ สถานที่ที่ผมเคลื่อนย้ายร่าง แสงนั่นผมเคยเห็นมาก่อนหน้านี้แล้ว มันคือแสงที่เหล่าคนเรียกภูตแห่งน้ำใช้ต่อต้านกับกองทัพกลลวงของวิเวียน
แต่ทว่าระดับความหนาหรือพลังของลำแสงนี้เทียบกับเมื่อคราวก่อนนู้นไม่ได้เลย ผมเห็นดังนั้นจึงตั้งเกียรติยศแห่งวิคตอเรียไว้เหนือหัว ในขณะที่เสื้อคลุมของอัศวินมังกรสีน้ำเงินห่อหุ้มไปทั่วทั่งร่าง
พรึ่บ!
มีลำแสงหนึ่งเฉียดผ่านเข้ามาบริเวณหัวไหล่ และหลังจากนั้น ณ พื้นที่อันแสนว่างเปล่าที่ถูกสร้างขึ้นมาให้ลักษณะเป็นวงกลม จึงได้มีลำแสงราวกับสายฝนร่วงตกเกรียวกราวลงมาอย่างไม่มีสาเหตุ
เปาะ! แปะ! เปาะ! แปะ!
ในที่สุดก็เกิดการปะทะกันอย่างรุนแรง ระหว่างการต้านทานเวทที่ผมปลุกขึ้นมากับสายฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย ทิศทางที่อยู่ตรงหน้าผมบังเกิดระลอกคลื่นขึ้นมาเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ร่างกายผมเปียกโชกไปด้วยน้ำที่ซัดข้ามา
สิ่งนี้มัน…
ซู่! ซ่า! ซู่! ซ่า!
รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังยืนเปียกอยู่ตรงใจกลางฝนห่าใหญ่อย่างไรไม่รู้ บริเวณไหล่ ขาอ่อนด้านในและเท้านั้นเหมือนจะเคลื่อนไหวได้เชื่องช้าลง แม้กระทั่งหลังของผมยังรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างถูกฉีกขาดออกไป แต่แล้วก็รู้สึกได้ถึงน้ำเย็นๆ ที่เข้ามาชะโลมอยู่ที่หลัง
หลังจากนั้นสายฝนจึงได้ตกลงสู่เบื้องล่าง ผืนดินล้วนกลายเป็นโคลนเฉอะแฉะไปเสียหมด เสียงโห่ร้องยินดีกึกก้องไปทั่วอาณาบริเวณ ผมรับคำโห่ร้องยินดีเหล่านั้น ถึงเขาจะไม่ได้โห่ให้ผมก็ตาม แล้วจึงค่อยยันกายลุกขึ้นอย่างช้าๆ หมอกหนาอันเกิดจากไอน้ำค่อยๆ สลายตัวไปอย่างเงียบเชียบพร้อมกับเสียงโห่ร้องที่หยุดชะงักไป
ไม่รู้ทำไมหลังผมถึงรู้สึกเวิ้งว้างว่างเปล่าอย่างไรชอบกล แต่แล้วผมก็ได้ส่ายหัว สะบัดความคิดเหล่านั้นออกไปอย่างใจเย็น
พรคุ้มครองแห่งสงคราม เกียรติยศแห่งตะวัน เกียรติยศแห่งสวรรค์และเสื้อคลุมของอัศวินมังกรสีน้ำเงิน การต้านทานที่ปัจจัยทั้งสามสิ่งนี้ได้สร้างขึ้นมานั้น ได้เข้ามาเป็นตัวป้องกันการบุกโจมตีในยกแรกของราชาแห่งภูต
ผมส่ายหัวไปมาอีกครั้งหนึ่ง แล้วสะบัดไล่น้ำที่ยังคงค้างอยู่ออกไป หลังจากนั้นจึงค่อยปลุกพลังเวทขึ้นมาอีกครั้ง
“ฟู่ว”
สถานการณ์ในตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นช่วงวิกฤติการณ์อย่างแท้จริง ในตอนนี้นั้นการต้านทานเวทยังคงแข็งแกร่งอยู่ จึงทำให้สามารถอดทนต่อสิ่งเร้าต่างๆ ได้ดี แต่ทว่าหากยังเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ต่อไปอีกเรื่อยๆ ผมก็ไม่สามารถบอกได้เช่นกันว่ามันจะพังจนใช้การไม่ได้ในตอนไหน บางทีความเสียหายที่สะสมอยู่จนถึงตอนนี้ อาจจะอยู่ในระดับที่เราไม่สามารถไว้วางใจอะไรได้เลย
ถึงเวลาสำคัญที่ผมจะต้องตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว เพื่อทางรอดของชีวิตในภายภาคหน้าแล้ว
ระยะทางประมาณหกสิบเมตร…
แต่ทว่าผมได้ยินเสียงร่ายเวทกับเสียงแก้สายธนูดังแว่วเข้ามาในหู จึงทำให้ความคิดหยุดชะงักไปกลางทันทันที
ไอ้XXเอ๊ย
ผมเป่าพลังเวทที่ปลุกขึ้นมาเข้าไปในเกียรติยศแห่งวิคตอเรีย
ไม่สิ พูดตรงๆ คือ ในความจริงนั้น ตอนนี้ผมแทบไม่มีอะไรจะต้องให้คิดแล้ว การลอบยิงโดยใช้คาลิโก อาบรักซัสก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะฉะนั้นทางรอดของชีวิตที่หลงเหลืออยู่ ณ ตอนนี้ มีเพียงแค่การพุ่งกระโจนเข้าไปเท่านั้น หากผมสามารถพาตัวเองเข้าไปอยู่กึ่งกลางของพวกศัตรูได้ ผมก็จะได้รับการปลดพันธการจากการระดมยิงอย่างเมื่อครู่ก่อนหน้า
ผมปล่อยมือที่ถือดาบลง แล้วหยุดการเคลื่อนไหวไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงเริ่มทำให้หัวสมองตัวเองว่างเปล่า แต่ยังคงเว้นไว้ซึ่งความคิดสำคัญเพียงความคิดเดียวเท่านั้น
ระยะทางเหลือหกสิบเมตร ระยะทางเหลือหกสิบเมตร
ผมมุ่งมั่นทำสมาธิ รู้สึกได้ว่าการหายใจของตัวเองยาวขึ้น และในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเองที่เกียรติยศแห่งวิคตอเรียอันเจือปนไปด้วยพลังเวทได้เริ่มส่องแสงมหัศจรรย์บางอย่างออกมา และในช่วงที่เวทที่แฝงตัวอยู่ในดาบค่อยๆ ปะทุออกมาเหมือนเป็นคลื่นพลังนั้น ผมจึงไม่รอช้า รีบกระทืบเท้าเรียกพลัง แล้วบุกฝ่าศัตรูเข้าไปทันที
จากนี้ไปผมจำต้องใช้ความเร็วและเคลื่อนไหวให้ได้มากที่สุด การพุ่งตัวฝ่าเข้าไปยังแนวรบอันเป็นระเบียบของศัตรูได้นั้น จะทำให้ผมใช้เวลาในการทิ้งระเบิดได้ภายในเวลาไม่กี่เสี้ยววินาทีเท่านั้น ซึ่งในช่วงที่ผมหยุดเดินนั้น อาจจะทำให้ผมตายได้ในทันที ด้วยความคิดเช่นนี้จึงทำให้ผมถือดาบด้วยใจที่รู้สึกเป็นกังวลแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ระยะห่างของพวกศัตรูอยู่เพียงแค่เอื้อม ผมเฉียดผ่านร่างของศัตรู แล้วจึงยกมือตวัดดาบฟันไปที่ลำคออย่างรวดเร็ว ซึ่งพวกมันยกโล่กำบังช้าไปเพียงแค่จังหวะเดียวเท่านั้น บริเวณปลายดาบที่ทะลุออกมานั้นมีการส่งกระแสพลังออกมาอีกด้วย หลังจากนั้นพลังขาวสว่างที่ปะทุออกมาจากปลายดาบอันแหลมคม จึงได้เข้าไปปะทะ ฟาดฟันแนวรบของศัตรูในที่สุด
ผมขึ้นเหยียบร่างของพวกศัตรูที่เอาแต่ส่งเสียงกรีดร้องอยู่ใต้เท้า แล้วจึงแกว่งดาบในมือต่อไปอย่างไม่ลดละ พวกมันได้แต่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ท่าเดียว ดังนั้นแสดงว่าพวกมันกำลังติดกับที่ผมวางไว้แล้วล่ะ
สวบ! สวบ!
คอของคนหลายสิบคนปรากฏลอยสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า ซึ่งเกิดขึ้นภายในช่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ราวกับผมได้ใช้เครื่องตัดหญ้าเล็มยอดหญ้า แล้วเลือดสีแดงฉานที่ติดอยู่บริเวณปลายดาบก็พุ่งกระฉูดขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบน
พวกมันคงไม่รู้ว่าผมจะใช้วิธีการตะลุมบอนที่โง่เขลาถึงเพียงนี้ จึงทำให้นักธนูที่อยู่ตรงหน้ามีท่าทีเหม่อลอย อ้าปากหวออยู่อย่างนั้น ผมจึงใช้ช่องว่างนั้นฟันดาบลงไปทันที แต่แล้วก็รู้สึกได้ว่าพวกจู่โจมสายประชิดกำลังเข้ามาโจมตีผมทางด้านข้างอย่างกะทันหัน ผมจึงบิดดาบหนึ่งครั้ง แล้วถอนออกไป หลังจากที่คลื่นเบาๆ สลายตัวออกไปแล้ว ผมจึงรีบโผตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าด้านบนทันที
ผมไม่มีเวลาจะมายืนยันว่าอะไรเป็นอย่างไรอีกต่อไปแล้ว สถานการณ์ ณ ขณะนี้เรียกได้ว่าผมสามารถพาตัวเองออกมาจากเหตุการณ์อันแสนเลวร้ายได้แล้ว ผมพาตัวเองออกมาจากการต่อสู้ที่มีแต่ความตายและตายจ่อเข้ามาใกล้ได้สำเร็จแล้ว ทุกครั้งที่ผมตวัดดาบขึ้นมาหนึ่งครั้ง ทั้งเลือดและเศษชิ้นเนื้อต่างๆ ก็จะกระจายไปทั่วทุกสารทิศอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
พรึ่บ!
ในตอนนั้นเอง พอผมถอนดาบไป แล้วตั้งใจจะวาดดาบขึ้นอีกครั้ง ผมก็รู้สึกได้ว่าตัวเองถูกตีเข้าที่หลัง แต่จะไม่ได้เจ็บปวดมากมายอะไรนัก แต่มันพอทำให้ผมรู้สึกแสบแปลบๆ ขึ้นมาได้มากเช่นกัน
แต่ผมไม่สามารถลงมือทำอะไรได้ การที่จะให้ผมมานั่งคาดคะเนตำแหน่งที่ตั้ง แล้วจึงค่อยเผชิญหน้าสู้โต้ตอบกับพวกมันทีละคน ทีละคนนั้น มันช่างเป็นการกระทำที่เสียเวลา ในบรรดาตำแหน่งต่าง ๆ ที่ผมได้วางจัดแจงอุปกรณ์ไว้นั้น อย่างน้อยที่สุดผมจะป้องกันเฉพาะจุดสำคัญๆ เท่านั้น ในเรื่องการโจมตีเข้าทางมุมเงยนั้น ผมให้เป็นหน้าที่ของประสาทสัมผัสที่อยู่ในร่างกาย ส่วนตัวผมก็มุ่งหน้า และมุ่งหน้าพุ่งไปยังทิศทางที่คนเรียกภูตยืนอยู่
และแน่นอนว่า อำนาจและความสามารถของคลาสลับนี่แหละ คือสิ่งที่ช่วยทำให้ผมไม่หยุดยั้งความตั้งใจ แล้วเดินหน้าก้าวต่อไปในสถานการณ์แบบนี้
‘สามารถตัดได้ทุกสิ่งทุกอย่าง’, ‘ทุกการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับดาบ จะช่วยให้ประสิทธิภาพในทางที่ดีกลับมา’ อำนาจและความสามารถที่ว่านี้ช่างสุดยอดจริงๆ ไม่ว่าของสิ่งนั้นจะแข็งแกร่งมากเพียงใด แต่สุดท้ายก็จะโดนตัดเฉือนออกไปราวกับเป็นเพียงแค่กระดาษเปล่าแผ่นหนึ่งเท่านั้น เมื่อค่าพลังเวทที่มีอยู่ถึงเก้าสิบหกคะแนน ผนึกกำลังรวมเข้ากับเกียรติยศแห่งวิคตอเรียที่มีความโดดเด่นเรื่องพลังในการเฉือนมาแต่ไหนแต่ไรนี้ จึงทำให้อำนาจและความสามารถของผมกำลังขยายใหญ่เพิ่มมากขึ้นไปอีก
แม้ว่ามันจะเป็นการโจมตีที่เบาปัญญาถึงเพียงใด แต่ทว่าผลลัพธ์ที่ได้ก็เป็นที่แน่นอนแล้ว ระยะทางระหว่างคนเรียกภูตที่ดูเหมือนจะไม่ได้แคบไปสักเท่าใดนัก เริ่มเข้าใกล้ขึ้นทุกทีๆ เมื่อครู่ก่อนหน้านี้ผมเห็นแค่แวบๆ อย่างเลือนรางเท่านั้น แต่ทว่าตอนนี้ค่อยๆ เริ่มเห็นเค้าลางเป็นร่างคนขึ้นมาบ้างแล้ว
แต่การพุ่งตัวไปข้างหน้าโดยมองข้ามเรื่องการป้องกันตัวแบบนี้ มันจะทำให้ผมได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสมควรค่ากับการกระทำเหล่านั้น การที่ผมจะเข้าไปสร้างความวุ่นวายในแนวรบที่จัดตั้งมาอย่างระเบียบเรียบร้อยอีกครั้งนั้น เห็นทีจะยากเสียแล้วล่ะ ยิ่งถ้าเป็นผมตัวคนเดียว ก็จะยิ่งยากมากขึ้นไปอีก แม้ผมจะสามารถหลุดพ้นออกมาจากกับดักแห่งเวทและลูกธนูได้ แต่ทว่าการโจมตีโดยใช้อาวุธต่างๆ ที่เข้ามาอย่างไม่ขาดสายนั้นเป็นเรื่องผมไม่สามารถละเลยไปได้เลย
พลั่ก!
จากการโจมตีโดยการแทงเข้ามาด้านหลังเมื่อครั้งแรกนั้น จึงทำให้ผมรีบชูแขนขวาขึ้น หอกที่พุ่งเข้ามาจากทางสีข้างนั้นก็ได้เจาะทะลุเข้าไปยังร่างของศัตรูที่อยู่ตรงหน้า ในขณะที่ผมตั้งใจจะเตะหน้าอกของเจ้าหมอนั้นด้วยความรู้สึกขอบคุณ แล้วจึงค่อยวิ่งข้ามผ่านร่างมันไปนั้นเอง
“อ๊าก!”
ร่างของชายผู้หนึ่งโค้งตัวอ่อนเหมือนคันศรเบนกลับเข้ามาหาผมเหมือนมีใครสักคนเตะเขาเข้ามา ผมเห็นดังนั้นจึงเดินเฉียดผ่านใบหูของศพไป แล้วจึงควักดาบเล่มหนึ่งออกมา
“คิก!”
ผมสามารถบิดเอี้ยวตัวเพื่อหนีไปได้อย่างรวดเร็วก็จริง แต่ทว่าการจู่โจมที่อยู่นอกสายตา และจู่โจมเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้ทำให้ผมชะงักไป และในระหว่างที่ผมหยุดก้าวเดินไปชั่วขณะนั้นเอง ความจริงที่ผมเป็นกังวลก็ได้คืบคลานเข้ามาใกล้เสียแล้ว
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
พวกมันคงตั้งใจจะล้างแค้นในสิ่งที่เคยโดนมาตั้งแต่คราวอยู่บนฟากฟ้า จึงทำให้เหล่าอาวุธจำนวนมากต่างเพ่งเล็งมาทางผม ผมเอี้ยวกายในทันที หลังจากนั้นจึงตีลังกาขึ้นสู่ท้องฟ้า แต่แล้วก็ยังไม่สามารถหลุดรอดจากการโจมตีของพวกมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
โชคดีเหลือเกินที่หอกได้แค่เฉียดผ่านลำคอผมไปเท่านั้น แต่ทว่าหน้าท้อง ขาอ่อนส่วนในนั้นผมรู้สึกได้ถึงแรงกระเทือนเบาๆ อีกทั้งยังรู้สึกเจ็บแปลบที่หลังอีกด้วย
มิหนำซ้ำมือซ้ายของผมยังเริ่มรู้สึกถึงอาการปวดตึงๆ ไม่รู้ว่าไปบาดเจ็บมาตั้งแต่ตอนไหน จึงทำให้ผมได้แต่ขมวดคิ้วนิ่วหน้า มีอะไรอุ่นๆ บางอย่างกำลังไหลเป็นหยดๆ แต่ทว่าก็เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น ผมจึงกัดฟันกรอด แล้วเริ่มถีบตัวออกไปอย่างแรงอีกครั้ง
โชคดีที่อุปกรณ์หลายอย่างช่วยป้องกันการปะทะอย่างรุนแรงในครั้งนี้ได้ แต่ทว่าในการป้องกันตามธรรมชาติที่มีอยู่ในอุปกรณ์เหล่านี้ ต่างก็มีขอบเขตของมันเช่นเดียวกัน หากมีคะแนนความทนทานไม่ถึงเก้าสิบสองพอยต์แล้วล่ะก็ คงโดนเจาะจนพรุนไปทั้งร่างกายแล้ว
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วจึงคาดการณ์ระยะทางอย่างรวดเร็ว ระยะทางหกสิบเมตรในช่วงแรกนั้น ตอนนี้ลดไปครึ่งหนึ่ง เหลือเพียงสามสิบเมตรตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ แต่ทว่ายิ่งรุกคืบหน้าเข้าไปมากเพียงใด แนวรบของพวกศัตรูก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น และเหนือสิ่งอื่นใดคือ ราชาแห่งภูตก็กำลังยืนหยัด สนับสนุนอยู่เบื้องหน้าคนเรียกภูตทั้งหลายอีกด้วย
เพราะฉะนั้นผมจะต้องเลือกเส้นทางไหนกันล่ะ
ระยะทางเหลือสามสิบเมตร ระยะทางเหลือสามสิบเมตร
“…”
…จะแพ้หรือจะชนะ
ตอนนี้ผมคิดแต่ว่าจะต้องใช้ทักษะในการแข่งขันให้มาก จึงได้หยุดการเคลื่อนไหวของตัวเองไป แล้วจึงเตะพื้นดินเต็มแรง ด้วยการยืมพลังมาจากบู๊ทส์
จากนี้ไปคือก้าวแรกของการโบยบินสามขั้นตอนด้วยออร์โธรส ลอง บู๊ทส์