Memorize - เล่มที่ 19 ตอนที่ 31
ร่างกายของอีกฝ่ายเป็นลมล้มพับไปกับพื้น อีกทั้งผิวหนังยังพุพอง ฉีกขาดไปทั่วทั้งร่าง จนในท้ายที่สุด ร่างกายของไซม่อนจึงระเบิดเป็นจุลในชั่วพริบตาเดียว เนื้อหนังมังสาของเขากลายเป็นเพียงเศษเนื้อชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก่อนที่จะกระเด็นไปทั่วทุกสารทิศ ควันสีดำมืดเข้าปกคลุมทั่วอาณาบริเวณทันที และแน่นอน ผมเองก็ถูกควันดำที่ว่าปกคลุมด้วยเช่นกัน ผมจึงรีบถลึงตาแล้วจ้องไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่งทันที
“…”
ผ่านไปพักหนึ่ง ควันดำที่ได้ปกคลุมทั่วอาณาบริเวณนั้น จึงได้เริ่มสลายไป ผมเห็นถึงแววตาสีแดงเข้มที่กำลังส่องประกายอยู่อย่างไม่หยุดหย่อน จึงไม่รอช้า รีบกวัดแกว่งเกียรติยศแห่งวิคตอเรียในมือทันที
ควันดำที่ยังหลงเหลืออยู่ในชั้นบรรยากาศ ถูกดาบฟันจนกระจายตัวออกจากกันได้ในคราเดียว ทว่าผมรู้สึกได้ว่าปลายดาบกลับไม่ได้ตวัดโดนอะไรมาเลยแม้แต่น้อย เลยยืนสงสัยอยู่ชั่วครู่หนึ่ง และในตอนนั้นเอง ผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะเย้ยอันแสนน่ารำคาญใจของใครบางคนดังมาจากท้องฟ้า
“คิกๆ! คิกๆ! ในที่สุดข้าก็ได้ปรากฏตัวกับเขาเสียที! คิกๆๆ!”
ผมรีบเงยหน้ามองทันที ควันดำที่พวยพุ่งขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศนั้น จู่ๆ ก็ถูกสูบเข้าไปที่ใดสักที่หนึ่งอย่างรวดเร็ว แล้วมันจึงค่อยๆ สลายไปอย่างช้าๆ จึงได้เห็นไซม่อนกำลังอยู่ท่ามกลางกลุ่มควันดังกล่าว
ไม่สิ นั่นไม่ใช่ไซม่อน
สูงประมาณสองเมตรเห็นจะได้ ร่างกายของมันเต็มไปด้วยมัดกล้าม สีดำมันเงา บริเวณแผ่นหลังมีปีกบางอย่างที่ดูคล้ายกับปีกค้างคาวอยู่ บนศีรษะมีเขางอกอยู่สองเขา ใช่แล้ว เจ้านี่คือ…
“แต่ว่าก็ว่าเถอะ ได้ออกมาชมโลกกับเขาเสียที กลับโดนมีดแทงเข้าให้ สามหาวนักนะ ไอ้พวกเหลือขอ! ฮ่าๆ!”
เทพเนอร์กัล
“ฮ่าๆ เดิมทีแกต้องโดนโทษทัณฑ์ แล้วค่อยเจอข้าฉีกเนื้อให้ขาดเป็นชิ้นๆ แต่ข้าจะยกโทษให้เป็นพิเศษสักครั้งหนึ่งก็แล้วกัน ข้าไม่ค่อยเผยตัวให้ใครเห็นง่ายๆ หรอก แต่แก…”
“ไม่เจอกันนานเลยนะ เนอร์กัล”
“วะ ว่าไงนะ”
ผมเรียกชื่ออีกฝ่ายไป ทันใดนั้นแสงสีแดงเข้มที่หล่อเลี้ยงอยู่ในดวงตาของเนอร์กัลจึงเกิดการวูบไหวในทันที
“…รู้จักชื่อข้าได้อย่างไร เจ้ามนุษย์?”
“รู้ก็คือรู้”
ผมตอบกลับไปสั้นๆ แล้วจึงค่อยๆ คุกเข่าลง
“ตอบ! ไอ้พวกแมลงหวี่!”
“ฉันรู้ดีอยู่แล้วว่าฉันจะมาฆ่าเทพชั้นต่ำอย่าง…แก!”
ผมรีบกระทืบผืนดิน แล้วโผตัวขึ้นกลางอากาศทันทีที่สิ้นเสียงคำว่า ‘แก!’
“อะไรนะ…!”
เนอร์กัลพูดประโยคดังกล่าวออกมา พลางเคลื่อนไหวตัวอย่างรวดเร็ว ในตอนนั้นเองผมก็ได้เห็นว่ามันกำลังกำหมัดแน่น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้กลุ่มควันที่เคยปกคลุมทั่วบริเวณเมื่อครู่ถาโถมมาหาผมในชั่วพริบตา
ถึงผมจะต้องมาเผชิญหน้าต่อการจู่โจมอย่างกะทันหันเช่นนี้ แต่ผมก็ยังเชื่อใจพลังเวทต้านทานของตัวเอง
ความจริงแล้ว ต่อให้จะโดนทำลายก็คงไม่เกี่ยวข้องอะไรกัน เพราะเจ้าต้นตอได้เผยตัวออกมาให้เห็นแล้ว ซึ่งก่อนที่มันจะฟื้นพลังกลับคืนมาได้ดังเดิมนั้น ผมจะต้องฆ่ามันให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นผลกำไรในการต่อสู้ครั้งนี้ ดังนั้นผมจำต้องมีความรอบคอบ และระมัดระวังต่อการโจมตีของมัน
กลุ่มควันดำพุ่งเข้ามาหาเหมือนกับจะพันล้อมรอบกายผม
แต่แล้วพอมันเริ่มพุ่งมาใกล้ผม จู่ๆ มันก็หยุดการเคลื่อนไหวไป บางส่วนก็มลายหายไป บางส่วนก็เริ่มถดถอย ไหลวนเวียนไปบริเวณโดยรอบแทน พลังเวทต้านทานได้กำจัดกลุ่มควันที่เข้ามาประชิดตัวผมนั่นเอง
ในเวลาเดียวกันนั้น ผมจึงได้เห็นเนอร์กัลอยู่ตรงหน้าในชั่วพริบตา ผมจึงปลุกพลังเวทขึ้นมา พลางจดจ่อสมาธิไปที่เกียรติยศแห่งวิคตอเรีย วินาทีที่ผมสบตาเข้ากับนัยน์ตาสีแดงเข้มของมัน ผมจึงได้ฟาดดาบเข้าไปเจาะกลางกระหม่อมของมันในทันที
สวบ!
ผมรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างถูกเฉือนไป แล้วจึงได้เห็นว่าแขนขวาของเนอร์กัลไปลอยละล่องไปอยู่กลางอากาศเสียแล้ว
จิ๊
ผมเดาะลิ้น ดาบในมือสามารถฟาดฟันในตำแหน่งที่ถูกต้องก็จริง แต่ทว่าหมอกควันที่กำลังลอยวนอยู่บริเวณนี้ต่างหากที่ดันเข้ามาขวางกั้นเส้นทางไว้เสียได้ ไม่เพียงเท่านั้น บางส่วนของเจ้าหมอกที่หลงเหลืออยู่ ได้รั้งเท้าของผมไว้ก่อนที่จะหลบหนีหายไปในชั่วพริบตา เมื่อเหตุการณ์ทั้งสองได้มาเจอะเจอกันเช่นนั้น ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ เกียรติยศแห่งวิคตอเรียไม่ได้เฉือนกระหม่อมของมันไป แต่เป็นแขนของมันแทน
ตุ้บ!
“โอ๊ยยย!”
ในเวลาต่อมา เนอร์กัลจึงร่วงตกสู่ผืนดินเบื้องล่าง พลางส่งเสียงกรีดร้องอันน่าหวาดกลัวดังลั่น
เมื่อเท้าผมสัมผัสกับผืนดินอีกครั้งหนึ่งนั้น ใบหน้าของมันที่ผมเห็นช่างน่าเกลียด ไม่ชวนมองเอาเสียเลย หน้าตาของมันดูโกรธเคืองมาก ดูไม่ได้เจ็บปวดที่แขนถูกตัดไปเลยแม้แต่น้อย บางทีอารมณ์บนสีหน้าที่ผมเห็น อาจจะเป็นความโอหังและรักในศักดิ์ศรี ซึ่งนี่แหละที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะเผ่าพันธุ์ของมัน
“ขะ แขนข้า! แก! กล้าเล่นตุกติกกับข้างั้นเหรอ!”
เนอร์กัลวิ่งทุลักทุเลเข้ามาหา ผมเห็นดังนั้นจึงรีบเล็งดาบเข้าไปที่ตัวมันทันที
ทวยเทพที่ปรากฏกายลงมายังโลกใบนี้นั้น สามารถปล่อยพลังในการกำจัดได้ถึงร้อยละเจ็ดสิบเลยทีเดียว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปล่อยพลังร้อยละเจ็ดสิบออกมาได้เลยทันทีที่ปรากฏตัว ต้องค่อยๆ ฟื้นพลังขึ้นมาอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเริ่มตั้งแต่ร้อยละยี่สิบ ถึงร้อยละสามสิบ ซึ่งจะแตกต่างกันออกไปแล้วแต่ตน กล่าวคือ วินาทีที่ทวยเทพปรากฏกายลงมานั้น ทวยเทพตนดังกล่าวจะอยู่ในสภาพที่อ่อนแอที่สุดนั่นเอง
และนี่คือเหตุผลที่ทำให้ผมยอมฝ่าภัยอันตรายต่างๆ และมาเข้าร่วมสงครามในครั้งนี้ เพราะอะไรน่ะหรือ เพราะเนอร์กัลผู้ปรากฏกายมาพร้อมกับเบลเฟกอร์นี่แหละ ถือว่าสามารถกำจัดได้ง่ายดายมากที่สุดแล้ว
“ไอ้พวกมนุษย์ชั้นต่ำ! บังอาจ บังอาจนักนะ!”
เนอร์กัลสบถออกมายืดยาวด้วยความโกรธขั้นสุด สำหรับผมก็ถือว่าโชคดีแล้ว เพราะหาก ‘ปิศาจแห่งสายลับ’ ตนนี้ได้หนีไปพร้อมพลังกายและพลังใจอันเต็มเปี่ยมล่ะก็ ผมคงลำบากน่าดู
“หนวกหู”
“แกว่าอะไรนะ”
“เหมือนท่านเทพกำลังสู้กับผมโดยใช้แต่ฝีปากเพียงอย่างเดียวเลยนะครับ”
“ฮ่าๆ! เฮอะ! ตอนนี้แกกล้าเล่นหัวข้าแล้วเหรอ! ไอ้สวะ!”
เจ้าหมอนี่เล่ห์เหลี่ยมเยอะอย่างที่คิดไว้จริงๆ เนอร์กัลคงวิเคราะห์ความตั้งใจของผมได้ มันจึงรีบเปลี่ยนท่าที แล้วพุ่งตัวเข้ามาหาผม
ทว่าผมกลับส่งยิ้มให้มัน เพราะรู้ดีอยู่แล้วว่านี่คือวิธีที่แน่นอนมากที่สุด ในการยั่วยุเทพที่ดีแต่ปาก
“กำลังเล่นอะไรอยู่หรือ ท่านนี่เป็นได้แค่เทพเนรมิตที่บีเอลซีบับสร้างขึ้นมาจริงๆ”
“…!”
“ในหัวคงคิดแต่เรื่องการทำลายล้างอยู่อย่างเดียวล่ะสิ โง่เง่าเหมือนเจ้านายไม่มีผิด ฮ่าๆ!”
“เจ้ามนุษย์ แกรู้ชื่อของกษัตริย์ข้าได้อย่าง…เอ่อ ไม่สิ แกว่าอะไรนะ”
“แกมันโง่ เจ้านายแกก็โง่ไม่แพ้กัน เทพกะโหลกกะลา”
ณ วินาทีนั้น บรรยากาศรอบกายเนอร์กัลจึงได้คลายตัวลง
“…”
ผมรู้สึกได้ว่าแววตาของมันที่จดจ้องเข้ามานั้นดูผ่อนคลายลงไปไม่ใช่น้อย ช่างเหมือนกับคราวของเบลเฟกอร์เมื่อสมัยก่อนจริงๆ เทพเนรมิตต่างมีความจงรักภักดีต่อเทพผู้สร้าง ถึงขนาดยอมตายถวายชีวิตได้
เวลาผ่านไปประมาณสิบห้าวินาที
“อ๊ากกก!”
เนอร์กัลแผดเสียงคำรามโหดเหี้ยมออกมาครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะเปิดปากพูดประโยคต่อมา พลางมีสายตาแข็งกร้าว
“…ดี”
“อะไรดี?”
“อย่ามาเล่นลิ้น ข้าไม่รู้หรอกว่าแกชำนาญอะไร แล้วรู้อะไรมาบ้าง แต่…”
เนอร์กัลหยุดพูดไปชั่วขณะ ควันดำเริ่มกลับมาไหลวนเวียนทั่วอาณาบริเวณอย่างรวดเร็ว คราวนี้มันพัดโหมกระหน่ำแรงมาก จนแทบจะอำพรางร่างทั้งร่างของมันได้เลย และแล้วลมหมอกควันที่ว่านั่นจึงได้แปรเปลี่ยนมาเป็นแสงสีแดงเข้ม
เนอร์กัลพูดต่อมาว่า
“แล้วแกจะเสียใจที่พูดไปเมื่อกี้!”
ครืนนน!
เพลิงสีแดงเข้มเริ่มฝ่าทะลุลมกรรโชกเข้ามา พอผมลอบพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว จึงพบว่าร่างกายของเนอร์กัลกำลังเกิดไฟลุกท่วม เพลิงที่ว่าได้หมุนวนตามลมพัดพา จนวาดตัวออกมาเป็นวงกลม แล้วมันจึงค่อยๆ ยิงไปทั่วทุกสารทิศในชั่วพริบตาเดียว มองดูเหมือนพายุเปลวเพลิง
ภายในร่างกายของผมพลันรู้สึกได้ถึงลมร้อนๆ กำลังไหลเวียน อากาศที่สูดเข้าไปเต็มปอดนั้น มีทั้งกลิ่นคาวเลือด ผสมปนเปกับกลิ่นเหม็นเน่าจากอะไรบางอย่าง ผมมองไปที่กองเพลิงที่กำลังลุกโชนอยู่ตลอดเวลานั้น แล้วเหลียวมองอากาศที่สูดไปเมื่อครู่นี้ จึงนิ่วหน้าขึ้นมา
เนอร์กัลเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของผมเช่นนั้น คงจะเกิดอาการละเมอเพ้อพกไปเอง มันจึงได้หัวเราะเยาะเย้ยออกมาด้วยน้ำเสียงสบายอารมณ์
“ฮ่าๆ! ทำไมเป็นงั้นไปเล่า ทำหน้าแบบนั้นทำไมกัน”
“นี่มัน…ไฟ?”
“แหงอยู่แล้วสิ นี่คืออำนาจและพลังของท่านบีเอลซีบับ พายุสีแดง! ตอนนี้รู้สึกเสียใจขึ้นมาบ้างหรือยังเล่า ฮ่าๆ!
พายุสีแดง?
“อ้อ”
ณ วินาทีที่ผมได้ยินคำนั้น ความคิดหนึ่งจึงเฉียดเข้ามาในหัวสมอง
ผมหายใจเข้าลึกๆ พลางดูสภาพร่างกายของตัวเอง ทั้งนี้ก็ต้องขอบคุณปาฏิหาริย์จากอันซล ผมจึงรีบปลุกพลังในหัวใจให้ทำงานขึ้นมาเต็มกำลังทันที
คงจะเป็นวิธีในยุคดึกดำบรรพ์สินะ
โฟ่ว! โฟ่ว!
กระแสลมร้อนแห่งดวงไฟได้เริ่มพวยพุ่งมาจากทั่วทั้งร่างกายของมัน
“แกคิดจะเล่นตุกติกอะไรอีกล่ะ!”
เนอร์กัลตะโกนออกมาเสียงดัง ผมเห็นดังนั้นจึงชูมือซ้ายขึ้นมา พลางตอบกลับไปว่า
“ประกาศอาณาเขต”
โฟ่ววว!