Memorize - เล่มที่ 19 ตอนที่ 32
วินาทีที่ผมตะโกนคำว่า ‘ประกาศอาณาเขต’ ดอกไม้ไฟอันโชติช่วงจนถึงขั้นแสบตาจึงได้เข้าปกคลุมทั่วท้องฟ้าเบื้องบน แม้ผมจะปลุกระดมพลังในการมองเห็นด้วยพลังเวทแล้วก็ตาม แต่แล้วสิ่งที่เห็นมันกลับห่างไกลออกไป
ผมเห็นดังนั้นจึงขมวดคิ้วโดยอัตโนมัติ แต่แล้วเจ้าแสงที่ว่านั่นก็ค่อยๆ เลือนรางจางลงทุกขณะ และในตอนนั้นเอง ผมจึงสามารถยืนยันสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างหวุดหวิด
จู่ๆ อาทิตย์อัสดงสีแดงเข้มก็ได้ปรากฏโฉมให้เห็นอยู่กลางฟากฟ้า รู้สึกได้ถึงจังหวะเบาๆ ราวกับกระแสน้ำค่อยๆ ไหลเวียนวนไปมาอย่างช้าๆ
ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้คือ พลังของเปลวไฟที่กำลังไหลวนไปมาอย่างสมบูรณ์แบบ
“ไอ้บ้านี่! แกจะมาไม้ไหนอีก!”
ผมได้ยินเสียงเนอร์กัลตะโกนโหวกเหวกโวยวายขึ้นมา เจ้าหมอนั่นคงรู้สึกได้ถึงความผิดปกติในขณะนี้เช่นกัน
ทว่าดูเหมือนมันจะรู้ตัวช้าเกินไป เพราะพลังของฮวาจองได้เริ่มแสดงศักยภาพในขั้นต่อไปให้เห็นแล้ว รัศมีที่กำลังส่องประกายเป็นลูกคลื่นอยู่กลางอากาศนั้นได้แผ่ออกมาเป็นวงกลม หลังจากนั้นจึงค่อยๆ ลดตัวต่ำลงมา แล้วเริ่มก่อรูปก่อร่างขึ้นมาเป็นม่านกำบังชนิดหนึ่ง
ท้องฟ้าสีแดงเพลิงค่อยๆ คล้อยต่ำลงมาแล้ว เนอร์กัลเห็นเช่นนั้น จึงรีบตะโกนดังลั่นออกมาอย่างร้อนรน
“พายุสีแดง!”
ครืนนน!
พายุแห่งเปลวไฟที่คอยไล้ตามร่างกายของเนอร์กัล จู่ๆ ก็แข็งแกร่งขึ้นมา มันเริ่มสั่นสะท้านอย่างรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ระดับในการหมุนก็รวดเร็วมากขึ้นกว่าเดิม พายุแห่งเปลวไฟของมันช่างแข็งแกร่งมากเสียจนเหมือนกำลังจะปะทุพวยพุ่งออกมาให้เห็นได้ในไม่ช้า
ในตอนนั้นเอง
ตูม!
แสงไฟอันสุกสว่างจู่ๆ ก็ร่วงไถลลงมาเหมือนกระแสน้ำ แล้วจึงค่อยปักลงสู่ผืนดินในที่สุด ผมกับเนอร์กัลเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกัน แล้วก็ได้เห็นจนได้
การประกาศอาณาเขตที่เสร็จสมบูรณ์ไปแล้วนั้น ทำให้แสงไฟสีแดงอ่อนค่อยๆ กลับหัวพลิกลงมาเหมือนเป็นเพียงชามแก้วใบหนึ่ง และ…
“อะ อะไรน่ะ”
ผมได้ยินเสียงเนอร์กัลที่พูดออกมางุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น จึงได้เหลือบตามองเจ้าหมอนั่น สีหน้าของมันยังดูไม่อยากจะเชื่อกับเหตุการณ์ตรงหน้านี้เหมือนเดิม และแล้วพายุแห่งเปลวไฟของมันจึงได้หยุดการเคลื่อนไหวไปเช่นนั้น
“พายุสีแดง!”
“…”
“พายุสีแดง! พายุสีแดง!”
“………”
“พะ พายุสีแดง!”
เจ้าหมอนั่นรีบสะบัดมือร่ายเวทไปมาอย่างร้อนรน ตอนนี้ผมไม่รู้สึกตลกที่มันกระทำเช่นนั้นแล้ว กลับรู้สึกสงสารและเห็นใจเสียมากกว่า เพราะผมเองก็ยังอยากจะอยู่ดูให้เห็นกับตามากกว่านี้ แต่กระนั้นผมก็รีบยกมือซ้ายขึ้นมาทันที
การประกาศอาณาเขตนั้นเป็นความสามารถชนิดหนึ่งที่ถือได้ว่าเป็นภาระต่อร่างกายอย่างมาก ต่อให้ได้รับ ‘ปาฏิหาริย์’ มาแล้ว แต่อย่างไรก็ต้องจดจำไว้ให้ดีว่า ภาระอันยิ่งใหญ่กำลังจะเข้าหาตัวอยู่ในไม่ช้านี้ เพราะฉะนั้นยิ่งถ่วงเวลาให้ยืดเยื้อออกไปมากเท่าไหร่ มันก็ไม่ได้ทำให้ผมได้เปรียบอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
ต้องทำตามความตั้งใจของเราแล้วล่ะ
“อะ ไอ้เศษเดนมนุษย์ ไอ้พวกขี้ขลาดตาขาว! ยังไม่รีบแก้อีก!”
“ประสาท”
ผมตอบกลับไปสั้นๆ แล้วจึงใช้มือซ้ายที่ยกขึ้นมาเล็งเป้าไปที่เนอร์กัล หลังจากนั้นก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า
“จงย้อม”
โฟ่ว! โฟ่ววว!
ทันใดนั้น สีของเปลวเพลิงแดงเข้มที่ได้โอบล้อมอยู่ทั่วร่างของเนอร์กัล จึงได้ร่วงหล่นลงมาตามคำสั่งของผม และก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในชั่วพริบตาเดียว โดยมันได้เปลี่ยนแปลงมาเป็นสีแห่งพลังเปลวเพลิงอันสุกสว่าง
ผมเห็นเช่นนั้นแล้ว จึงรีบพูดต่อเนื่องออกมาทันทีว่า
“จงระเบิด”
ณ วินาทีนั้น
ตูม!
พายุแห่งเปลวเพลิงที่หยุดแน่นิ่งกับที่นั้นจึงได้เกิดการระเบิดขึ้นมาอย่างรุนแรง
ระเบิดดังกล่าวนั้นมีพลังรุนแรงมหาศาลมาก ไหนเสียงที่ดังลั่นจนแทบจะหูหนวก ผมได้แต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หันกลับไปมองแต่อย่างใด และเหตุการณ์ที่ได้เห็นต่อเนื่องมานี้ ทำเอาผมไม่สามารถยับยั้งความตกใจที่ก่อตัวขึ้นภายในอกได้เลย
อย่างมากที่สุดก็ได้แค่สบถคำสองคำเท่านั้น
ทว่าเปลวไฟอันแสนเจิดจ้าที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้านี้ กำลังปะทุพวยพุ่งขึ้นมาสูงราวยี่สิบเมตรกว่าๆ เห็นจะได้
ไม่เพียงเท่านั้น ผืนดินที่เนอร์กัลเคยเหยียบย่ำอยู่ บัดนี้ผมกลับเห็นหลุมขนาดใหญ่อันเกิดจากแรงระเบิดเมื่อสักครู่ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ดินทรายบริเวณนั้นกระจัดกระจายขึ้นสูงอยู่บนอากาศ ส่วนเปลวไฟก่อนหน้าที่ได้เข้าครอบคลุมอยู่ทั่วทั้งสี่ทิศ บัดนี้กลับสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เนอร์กัลล่ะ ผมไม่เห็นเงาเจ้าหมอนั่นแม้แต่น้อย อย่าว่าแต่ได้ยินเสียงกรีดร้องของมันเลย แม้แต่รอยเลือดก็ยังไม่เห็น
แรงระเบิดก่อนหน้าคงจะรุนแรงสาหัสมากจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นพลังฮวาจองของผมก็ยังคงหลงเหลือให้เห็นอยู่ตามท้องฟ้าบ้าง ราวกับโอ้อวดการมีตัวตนของตนเอง
เวลาผ่านไปเช่นนั้นประมาณห้าวินาที เมื่ออาทิตย์อัสดงสีแดงเข้มได้เข้ามาเยือนท้องฟ้าที่ถูกอาบย้อมไปด้วยสีแดงเพลิง ผมจึงได้เห็นควันดำที่กำลังปะทุขึ้นมาอยู่น้อยๆ
ผมเห็นเช่นนั้นแล้วจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางยกเลิกการใช้การประกาศอาณาเขตในทันที ทันใดนั้น ม่านกำบังกึ่งโปร่งแสงเมื่อครู่ก่อนหน้าจึงได้สลายแตกตัวออกไป พลังของฮวาจองที่กำลังลุกโชนอยู่ตรงหน้าก็ได้เลือนหายลับไปในพริบตาเช่นเดียวกัน
“…”
ตำแหน่งที่เนอร์กัลเคยยืนอยู่ บัดนี้กลับไม่มีผู้ใดหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่คนเดียว มีเพียงแค่ผืนดินที่ค่อยๆ หลอมละลายกับดินทรายที่ฟุ้งกระจายเพราะแรงระเบิดเมื่อสักครู่
เจ้าหมอนั่นไม่ได้ส่งเสียงออกมาให้ได้ยินอีกเลยแม้แต่นิดเดียว
ผมได้กะเวลาช่วงที่เนอร์กัลจะอ่อนกำลังมากที่สุดเอาไว้ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ออกมาเช่นนี้ ทำเอาผมถึงกับอึ้งไปเลยทีเดียว
หากเราเพิ่มความแข็งแกร่งให้ได้ถึงหนึ่งร้อยเอ็ดพ้อยต์จะยังสามารถใช้พลังแห่งฮวาจองได้สำเร็จไหมนะ
ผมคิดว่าหากกลับไปแล้ว คงจะต้องมานั่งขบคิดเกี่ยวกับปัญหาข้อนี้อย่างจริงจังเสียที พลางค่อยๆ ย่างก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เพราะการต่อสู้ยังไม่สิ้นสุดลงแต่โดยดี
โดยทั่วไปแล้ว ทวยเทพ (หรือปิศาจ) จะมีอยู่สองชีวิต เหมือนคราวที่ผมได้พบเจอมาก่อนเมื่อสมัยต่อสู้กับเบลเฟกอร์ เมื่อรอบที่หนึ่งนั้น ผมไม่รู้ความจริงในข้อนี้ จึงทำให้พลาดพลั้งปล่อยให้ปิศาจที่โดนฆ่าตายไปหนึ่งครั้งกลับมามีชีวิตได้ดังเดิม
และหากอิงตามข้อมูลนั้น หมายความว่าเนอร์กัลสามารถฟื้นคืนกลับมาได้อีกครั้งหนึ่งนั่นเอง
แต่ผมก็ได้ใช้ดวงตาที่สามในการยืนยันข้อมูลการเสียชีวิตของเนอร์กัลแล้ว ทว่าไม่มีข้อมูลใดๆ ปรากฏออกมาให้เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว กล่าวคือ เจ้าหมอนั่นคงตายไปจากแรงระเบิดของพลังแห่งฮวาจองเมื่อครู่ไปแล้ว
มีอยู่สองวิธีด้วยกันที่จะใช้กำจัดพวกปิศาจให้ตายสิ้นซากไปได้
วิธีที่หนึ่งคือ ฆ่ามันทั้งสองครั้ง เพราะพวกมันมีสองชีวิต ซึ่งถือเป็นวิธีที่ยุ่งยากเอาเรื่อง
วิธีที่สองคือ เมื่อกำจัดมันได้ในหนที่หนึ่งแล้ว ในการฆ่ามันหนที่สอง เราจำเป็นที่จะต้องโจมตีมันเข้าไปอย่างรุนแรงมากที่สุด เท่าที่จะส่งมันลงนรกได้ในคราเดียว
ผมเลือกวิธีที่สอง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผมไม่ยอมพูด ‘จงระเบิด’ ในหนแรก แต่ยอมพูด ‘จงย้อม’ ขึ้นมาก่อน ความปรารถนาของผมที่ต้องการจะกำจัดมันให้ได้เร็วที่สุดได้ผนึกกำลังรวมเข้ากับพลังแห่งฮวาจอง จึงทำให้สามารถระเบิดทำลายเนอร์กัลได้ในพริบตา ซึ่งผลลัพธ์ก็ออกมาแล้วว่า ชีวิตที่สองของมันได้ถูกฆ่าตายลงไปได้ภายในหนเดียวเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เนอร์กัลได้ตายไปแล้ว ผมได้ใช้ดวงตาที่สามในการยืนยันข้อมูลจุดนี้ไปแล้วด้วย เพราะฉะนั้นการตายของมันจึงเป็นความจริงที่ไม่ต้องมีเหตุให้สงสัยอีกต่อไปแล้ว
ในตอนนั้น ความคิดบางอย่างก็แวบขึ้นมา
ถ้าบีเอลซีบับรู้เรื่องนี้เข้า จะเป็นอย่างไรกัน
ผมไม่รู้หรอกว่าไซม่อนต้องผ่านอะไรมาบ้างกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ทำไมเขาถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ แล้วเขารับ ‘เมล็ดพันธุ์จากซาตาน’ ได้อย่างไร เขาคงไม่ได้ได้มาตั้งแต่ผ่านพิธีเปลี่ยนสภาวะหรอกนะ
ถึงอย่างนั้นสิ่งที่ชัดเจนข้อหนึ่งคือ มีความเป็นไปได้สูงมากว่าปิศาจจำพวกเนอร์กัล ถือเป็นกระบวนการหนึ่งที่ได้วางแผนเอาไว้ตั้งแต่ต้น ซึ่งต่างจากเบลเฟกอร์ที่ถูกอัญเชิญมาโดยบังเอิญอย่างลิบลับ
ผมไม่รู้หรอกว่ามันจะต้องใช้ระยะเวลานานเท่าไหร่ จึงจะได้มา แต่อย่างไรผมก็ได้ขวางกั้นมันได้แล้วในสงครามครั้งนี้ ดังนั้นผมชักจะเริ่มเกิดความสงสัยขึ้นมาเสียแล้วสิว่า หากพวกปิศาจระดับชนชั้นปกครองได้รู้ความจริงเรื่องนี้เข้า พวกมันจะมีปฏิกิริยาแบบไหนกัน
“เฮ้อ…”
ผมถอนหายใจน้อยๆ พลางเงยหน้าขึ้นมอง
ท้องฟ้าสีแดงเพลิงเมื่อครู่ก่อนหน้า บัดนี้กลับแต่งแต้มไปด้วยสีฟ้าครามอีกครั้ง
ผมยืนเหม่อลอย มองก้อนเมฆที่ค่อยๆ เคลื่อนไหวเอื่อยๆ อยู่บนฟากฟ้า จนเกิดอาการมึนหัวตามมา
ในช่วงเวลายุ่งเหยิงเช่นนั้น ผมได้แต่หัวเราะเจื่อนๆ ให้กับตัวเอง แม้จะบอกว่าร่างกายของตัวเองยอดเยี่ยม เปี่ยมไปด้วยพละกำลังมากเพียงใด แต่สุดท้ายก็ดูเหมือนจะไม่สามารถต้านทานภาระแสนหนักอึ้งอันเกิดจากการประกาศอาณาเขตอย่างที่เคยว่าไว้จริง ๆ
ผมปักเกียรติยศแห่งวิคตอเรียไว้กับผืนดิน ก่อนที่จะยืนประคองร่างกายตัวเอง ผมเองก็อยากจะนั่งลงพักผ่อน นอนอยู่กับพื้นให้ได้ดั่งใจอยาก แต่กระนั้นก็ยังพยายามประคับประคองร่างกายไม่ได้ล้มตึงไปเสียก่อน และจึงค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าปอดด้วยท่าทีสุขุม
หากเป็นเมื่อก่อนผมคงต้องทำใจยอมรับสภาพอย่างเดียว แต่คราวนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผมได้เตรียมการเผื่อไว้ล่วงหน้าหรืออย่างไร จึงทำให้สามารถอดทนแบกรับความยากลำบากนี้ไว้ได้ดีกว่าเมื่อก่อน ถือเป็นความโชคดีในความโชคร้าย
เพราะอย่างที่ผมเคยพูดไว้ข้างต้น การต่อสู้มันยังไม่เสร็จสิ้นดี
กรอบแกรบ!
ในขณะที่ผมกำลังสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด พลางค่อยๆ ปลุกพลังที่มีอยู่ให้ลุกโชน จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงอะไรดังกรอบแกรบ ผมได้แต่สบถด่าอยู่ในใจ แต่ยังนึกขึ้นได้ว่าตัวเองจะต้องเริ่มวางหมากไว้เสียก่อน จึงได้เอื้อนเอ่ยออกมาเบาๆ ว่า
“ออกมา”
“…”
“…ออกมา (Out)”
กรอบแกรบ กรอบแกรบ กรอบแกรบ!
ชั่ววูบหนึ่ง ผมเกิดความกังวลขึ้นมาเสียดื้อๆ แต่พอได้ยินเสียงฝีเท้าเหยียบย่ำใบไม้แห้งเช่นนี้แล้ว อย่างน้อยก็ยังดีที่ได้รู้ว่ามันส่งสัญญาณย่างกรายเข้ามาหา