Memorize - เล่มที่ 19 ตอนที่ 33
และแล้วก็มีสตรีนางหนึ่งปรากฏออกมาให้เห็นอยู่ตรงเบื้องหน้า ผมปลุกพลังที่มีอยู่ในตัวให้ลุกโชน แล้วเล็งดาบเข้าไปที่หล่อนในทันที
แต่แล้วสตรีผู้นั้นกลับยกแขนทั้งสองข้างขึ้น พลางพูดออกมาว่า
“เดี๋ยวก่อน ฉันขอยอมแพ้ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะมาสู้รบปรบมือกับคุณในเวลานี้”
หล่อนรัวภาษาเกาหลีออกมาอย่างชำนาญการ ทำเอาผมลอบกลืนน้ำลายชั่วครู่หนึ่ง แต่กระนั้นหล่อนก็ยังพยักหน้ามาให้ ดูเหมือนหล่อนจะเป็นจอมเวทย์ และคงใช้เวทในการแปลภาษานั่นเอง
“ยอมแพ้หรือ?”
“ใช่แล้ว”
หล่อนพยักหน้าเบาๆ ให้อีกครั้ง ผมจึงจดจ้องหล่อนอยู่เช่นนั้นชั่วครู่หนึ่ง
ถึงจะออกปากบอกว่าขอยอมแพ้ แต่กระนั้นอากัปกิริยาท่าทีของหล่อนก็ยังคงดูสง่าผ่าเผย ไร้ซึ่งความหวาดกลัว อีกทั้งยังดูเป็นสตรีผู้งดงามในเวลาเดียวกันอีกด้วย
ผมเป็นลอนมีเสน่ห์น่าดึงดูด ราวกับได้ละลายทองคำมาบรรจงสร้างสรรค์อย่างประณีต ผิวขาวอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวยุโรป ดวงตาสีส้มสุกสว่างราวกับมีพระอาทิตย์โชนแสงอยู่ภายใน ริมฝีปากแต่งแต้มไปด้วยสีแดงราวกับผลเชอร์รี่สุก
แม้ทั่วร่างของหล่อนจะมีเลือดเปรอะเปื้อนอยู่บ้าง ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้บดบังความงดงามเลยแม้แต่น้อย ช่างเป็นหญิงสาวที่มีรูปลักษณ์สวยงาม ชวนน่าพิศวงเสียจริง
ผมมองดวงหน้าของหล่อนพักหนึ่ง พลางถ่วงเวลาออกไป เพื่อที่จะได้เก็บสะสมพลังในการกวัดแกว่งดาบอีกครั้ง
“มาแอบอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
ความจริงแล้ว ช่วงที่ผมรู้สึกตัวได้ก็คือ ช่วงที่การประกาศอาณาเขตได้แสดงพลังของมันออกมา หล่อนกะพริบตาให้กับคำถามของผม แล้วจึงตอบออกมาด้วยน้ำเสียงอันแสนราบเรียบ
“ตอนที่ฝ่าวงล้อมมาได้อย่างหวุดหวิดนั้น ฉันก็ไม่ได้เห็นผู้บัญชาการอีกเลย ก็เลยลองไล่ติดตามมาดู เลยเห็นว่าร่างของเขาติดอยู่กับต้นไม้”
“ถ้างั้นก็เห็นมาตั้งแต่ตอนนั้นน่ะสิ”
“ใช่แล้ว”
“ตลกดี ยืนมองเจ้านายตัวเองกำลังถูกโขกสับอยู่ท่าเดียว พอทุกอย่างมันจบ ถึงได้ยอมออกมา พูดว่าขอยอมแพ้”
ผมพูดยั่วยุ เย้าแหย่อารมณ์ของอีกฝ่าย แต่หล่อนกลับส่ายหน้าปฏิเสธเป็นพัลวัน
“ไม่ ฉันตั้งใจจะออกไปอยู่แล้ว แต่ตอนที่กำลังจะก้าวเท้าออกไป จู่ๆ ผู้บัญชาการก็เริ่มเปลี่ยนไป ตอนที่สัตว์ประหลาดนั่นเผยตัวให้เห็น ฉันตกใจจนแทบเก็บไว้ไม่อยู่ แล้วเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นคืออะไรเหรอ ใช่ปิศาจที่อยู่ในเทพนิยายหรือเปล่า”
“ถ้าอย่างนั้น…?”
วินาทีที่หล่อนกำลังจะพูดต่อเนื่องกันมา จู่ๆ ผมก็พูดตัดบทขึ้นมาทันที
ก็เลยแอบซุ่มอยู่อย่างนั้นสินะ
“และ…”
ทันใดนั้นหล่อนก็มองผม พลางพูดออกมาด้วยท่าทีสงบเสงี่ยมว่า
“ไม่ทราบว่าคุณ…ใช่สัตว์ประหลาดเมื่อตอนนั้นหรือเปล่า”
“สัตว์ประหลาด?”
“ในช่วงสงครามปิดล้อม…เคยมีสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งสกัดกั้นพลังลมหายใจแห่งวิญญาณที่ฉันปลุกขึ้นมา ฉันเลยคาดเดาจากภาพที่ได้เห็นตรงหน้า เลยคิดสงสัยว่าคุณใช่สัตว์ประหลาดเมื่อตอนนั้นหรือเปล่า”
“ลมหายใจแห่งวิญญาณ? ที่เธอปลุก?”
ผมได้แต่เอียงคอสงสัยให้กับคำศัพท์ที่ไม่รู้ความหมายบางอย่าง แต่ถึงอย่างนั้นก็มีความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัว จึงใช้ดวงตาที่สามในการตรวจดูข้อมูลผู้เล่นของเจ้าหล่อนอย่างรวดเร็ว
ข้อมูลผู้เล่น (Player Status)
1. ชื่อ (Name) : Marcia Yesica (ปีที่ 4)
2. คลาส (Class) : ผู้ปลุกวิญญาณแห่งเปลวเพลิง (Secret, Elemental Shaman Of Fire, Master)
3. ถิ่นกำเนิด (Nation) : เนบิวล่า (Nebula)
4. ชนเผ่า (Clan) : ไทแรนต์ (Tyrant)
5. นามแท้ · สัญชาติ : ผู้ได้รับพรจากมังกร · สหรัฐอเมริกา
6. เพศ (Sex) : หญิง (25)
7. ส่วนสูง · น้ำหนัก : 171.2 ซม. · 54.7 กก.
8. อุปนิสัย : เที่ยงธรรม · เชื่อมั่นและศรัทธา (Neutral · Belief)
[พละกำลัง 26] [ความทนทาน 38] [ความคล่องแคล่ว 42] [ความแข็งแกร่ง 37] [พลังเวท 92(+2)] [โชค 87]
(คะแนนพลังเหลือ 0 คะแนน)
จากการใช้พลังเวทมากจนเกินพอดี จึงทำให้เริ่มเข้าสู่สภาวะอ่อนเพลีย ณ ปัจจุบัน หากยังคงหักโหม ฝืนใช้เช่นนี้ต่อไป อาจทำให้เกิดผลร้ายตามมา ซึ่งก็คือค่าความสามารถจะลดลงไปอีก จำเป็นต้องฟื้นคืนพลังให้พอเพียง
อ๋อ
ผมอุทานในใจ และเมื่อได้เห็นข้อมูลผู้เล่นของหล่อนแล้ว ทั้งความคิดและหัวของผมจึงได้เริ่มหมุนใช้งานขึ้นมาอีกครั้ง
ทำไมตอนนั้นเราเห็นผู้ควบคุมเปลวไฟมังกร แล้วถึงนึกไม่ออกกันนะ คงเพราะการตื่นรู้ของฮวาจองเลยลืมไปเสียสนิทล่ะมั้งเนี่ย
“ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ… จู่ๆ ก็มาพูดว่าขอยอมแพ้เองเสียได้ ฉันมองว่ามันเป็นไปได้ยากสักหน่อยนะ”
“ฉันเข้าใจ แต่ตอนฉันหลุดพ้นออกมาได้ สหายของฉันก็กระจัดกระจายกันออกไปเกือบหมด แล้วก็ได้เห็นภาพที่ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองด้วย… ตอนนี้ฉันสับสนมาก ทุกอย่างตีกันมั่วไปหมดอยู่ในหัว อยากได้เวลาคิดอะไรสักหน่อย จะให้คอยเอาแต่วิ่งหนีไปสุดขอบโลกมันก็คงไม่ใช่ ฉันคิดว่ายอมแพ้ แล้วค่อยเสนอตัวเป็นเชลยจะยังดีเสียกว่า”
“…”
“ฉันไม่รู้หรอกว่าคุณจะมองการขอยอมแพ้ก่อนในครั้งนี้ของฉัน เป็นการกระทำที่หน้าด้าน ไร้ยางอายหรือไม่ แต่ในฐานะที่คุณคือผู้กอบกุมชัยชนะในครั้งนี้ ฉันหวังเพียงแค่ว่าคุณจะเมตตา เข้าใจฉันด้วย ไม่ว่าคุณจะลงโทษทัณฑ์อย่างไร ฉันก็จะขอน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียว”
ความสละสลวยในการแปลภาษาออกจะแปร่งๆ ไปเสียบ้าง อาจเป็นเพราะเวทแปลภาษาแปลได้ไม่สมบูรณ์แบบมากเท่าใดนัก แต่ก็ยังพอเข้าใจได้ ไม่ติดขัดอะไร
ในเวลาต่อมา หลังจากผมได้คิดคำนวณอย่างถี่ถ้วนแล้ว จึงได้จ้องไปที่หญิงสาวผู้นั้นอีกครั้งหนึ่ง หล่อนกำลังชูแขนทั้งสองข้างขึ้นสูง พลางใช้ดวงตาสีทองประกายสวยงามจดจ้องมาที่ผมเช่นเดียวกัน
ในตอนนั้นเอง
[ความแข็งแกร่งของผู้เล่นต่ำกว่า 30% ความสามารถลับ, ความโกรธเคืองถูกกระตุ้น]
[พละกำลัง, ความแข็งแกร่ง, ความทนทาน, ความคล่องแคล่ว เพิ่มขึ้นเล็กน้อย!]
ความสามารถถูกปลุกขึ้นมาได้จังหวะพอดิบพอดี ทำให้ผมรู้สึกได้ว่ามีพลังงานบางอย่างปะทุขึ้นในแววตา ดังนั้นผมจึงค่อยๆ ลดดาบในมือลงช้าๆ หลังจากนั้นจึงนำเก็บเข้าไปในปลอกดาบ ก่อนที่จะพูดออกไปด้วยความสุภาพ
“ไม่ทราบว่าบริเวณนี้ยังมีสหายที่คล้ายๆ กับคุณอยู่อีกไหม คนที่ตั้งใจจะยอมแพ้แต่แรกน่ะ”
หล่อนคงเห็นว่าผมมีท่าทีตอบรับไปในทางบวก จึงมีสีหน้าสดใสขึ้นมาทันตา และในช่วงเวลาเหล่านั้น ผมก็ได้ใช้ดวงตาที่สามในการสืบค้นความจริงเกี่ยวกับตัวของหล่อนอยู่ตลอดเวลา พลางย่างก้าวเข้าไปหา
“ไม่ ไม่มีเลย สหายที่ร่วมหนีออกมาด้วยกันก็มีอยู่ไม่กี่คน พวกเขาต่างกระจัดกระจายกันออกไป บางคนพอเจอสัตว์ประหลาดก็มีหนีไปบ้างเหมือนกัน”
“อย่างนี้นี่เอง โอเค ถ้างั้นเอามือลงได้แล้วล่ะ”
หล่อนได้ยินเช่นนั้น จึงถอนหายใจโล่งอก และลดมือลงในที่สุด หลังจากนั้นจึงมองผมที่กำลังเดินเข้ามาหาใกล้ๆ ส่งรอยยิ้มให้บางๆ พลางยื่นมือน้อยๆ ออกมา
“ขอบใจ ชื่อของข้าชื่อ มาร์เซีย เยสิก้า แม้สถานการณ์จะเป็นเช่นนี้ แต่ก็ยินดีที่ได้พบคุณ ขอขอบใจอีกครั้งที่ช่วยรับคำยินยอมจากฉัน”
ผมยื่นมือออกไป พลางปลุกพลังเวทขึ้นมาพร้อมๆ กัน หลังจากนั้นจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า
“ฉันคิมซูฮยอน”
“อย่างนี้นี่เอง ฉันสงสัยมาตั้งแต่วันนั้นแล้วว่า ใครคือผู้ขวางกั้นความสามารถของฉ…!”
มือที่ยื่นออกไปนั้น ไม่ได้ตรงเข้าไปจับมือหล่อนแต่อย่างใด ผมยื่นผ่านมือของมาร์เซีย เยสิก้าไป แล้วจึงวางมือประทับลงบนอกด้านขวาของเจ้าหล่อน
ตุ้บ!
หลังจากนั้น ผมพลันรู้สึกได้ถึงผิวหนังอันอ่อนนุ่มปะทะเข้ากับฝ่ามือของตัวเอง
“อ๊ะ…?”
มาร์เซีย เยสิก้ามองผมด้วยสีหน้าสงสัยเต็มที่ ผมสะบัดมือครั้งหนึ่ง แล้วจึงกระซิบเข้าที่ข้างหูของเจ้าหล่อน
“ยอมแพ้? คิดว่าฉันเป็นคนโง่หรือไง”
แล้วจึงควักลูกแก้วที่จับได้ในมือออกมาทันที
พรึ่บ!
“อ๊ากกก!”
เสียงกรีดร้องดังขึ้นมาพร้อมเลือดพุ่งกระฉูด หล่อนปรายตามองผมด้วยสายตาที่ไม่อยากเชื่อ ณ วินาทีนั้น ผมจึงได้มุ่งเป้าหมายไปที่ศีรษะของมาร์เซีย และสะบัดมือซ้ายเต็มแรงทันทีอย่างไม่รีรอ
โพละ!
ศีรษะของมาร์เซียแตกทันทีอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผมใช้พลังจนหยดสุดท้ายหรือไม่อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ของเสียในร่างกาย ทั้งเลือดแดงฉานพุ่งกระฉูดไหลรวมผสมปนเปกับน้ำในสมอง จากนั้นค่อยๆ เริ่มไหลรินลงมาเลอะเส้นผมอันเงางามของหล่อน
สิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่มีเพียงแค่ศพ ที่ซีกครึ่งหนึ่งของหน้าได้ตายจากไปแล้ว ผมจึงปล่อยให้ศพที่ยังตัวอุ่นๆ ร่วงหล่นไปกับพื้นทั้งอย่างนั้น
ตุ้บ!
ดวงตาของมาร์เซียอีกข้างหนึ่งนั้น ยังคงเบิกกว้างดังเดิม ผมสูดลมหายใจเข้าช้าๆ พลางเบนสายตาไป
[ผลึกอัคคี]
ลูกแก้วในมือเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด แล้วจึงทอดสายตามอง พลางจดจ้องไปที่ผลึกอัคคีดังกล่าว ก่อนที่ค่อยๆ เก็บเข้าสู่อ้อมอกอย่างทะนุถนอม
ผลพวงที่ได้รับจากสงครามครั้งนี้คือสามคลาสลับ
ไม่ว่าจะมองอย่างไร สงครามในคราวนี้ถือว่าดีใช้ได้ เพราะได้อะไรกลับมาเยอะนี่แหละ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีความเศร้าแฝงอยู่บ้าง เพราะผมได้สูญเสียใครบางคนไป
“…”
สถานการณ์ทุกอย่างจบสิ้นลงเพราะแบบนี้ เมื่อสงครามเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด ผมเองก็ต้องกลับไปดูที่สนามรบอีกครั้ง แต่สำหรับผมนั้น ผมถือว่าตัวเองได้ลงมือทำทุกอย่างตามที่ปรารถนาไว้หมดแล้ว
พูดง่ายๆ ก็คือ ผมจะต้องกลับไปเผชิญหน้าต่อความจริงที่ไม่อยากยอมรับอีกครั้งหนึ่งแล้ว
พอเถอะ… กลับดีกว่า
หลังจากนั้น จึงได้หันตัวไปตามทางที่ได้เดินมา แล้วจึงเริ่มเดินออกไปช้าๆ
เงาดำบางอย่างฉายเข้ามาอย่างชัดเจน ณ ป่าทึบที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือด