Memorize - เล่มที่ 19 ตอนที่ 36
“ผู้เล่นคิมซูฮยอน”
ในที่สุด เซราฟที่ปิดปากเงียบสนิทมาสักระยะ จึงได้เริ่มเอื้อนเอ่ยออกมาอีกครั้ง ผมได้แต่ข่มความรู้สึกคับอกคับใจบางอย่างเอาไว้ พลางคิดว่าตอนนี้คงถึงจุดสิ้นสุดกันเสียที จึงได้เฝ้ารอคำพูดต่อมาของหล่อนอย่างเงียบๆ
เซราฟรอเวลาที่เหมาะสมกว่าจะได้พูดประโยคถัดมาสักระยะหนึ่ง และแล้วจึงได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ข้าไม่รู้ว่าจะต้องเรียนให้ท่านทราบอย่างไร แต่…จะขออธิบายก่อนก็แล้วกันค่ะ ผู้เล่นที่ถูกอัญเชิญมายังฮอลล์เพลนนั้น ถือเป็นสิ่งมีชีวิต ผู้มีเนื้อแท้และจิตใจมั่นคง แน่วแน่ และสามารถจำแนกดวงวิญญาณที่ลาลับโลกไปได้ หรือท่านจะมองว่าเป็นของแท้ดั้งเดิมก็ได้ค่ะ”
และคำตอบที่เซราฟพูดออกมานั้น ช่างสวนทางกับสิ่งที่ผมปราถนาอยากจะให้ตอบโดยสิ้นเชิง ณ วินาทีนั้น ผมรู้สึกได้ถึงความคับอกคับใจที่รู้สึกมาตั้งแต่แรกๆ ค่อยๆ ขยายตัวขึ้นช้าๆ กระนั้นหล่อนก็ยังคงพูดต่อไป
“เนื้อแท้แห่งดวงวิญญาณนั้น สามารถนิยามได้ตามแต่ละความสงบของบุคคล เพราะฉะนั้นการช่วยให้ผู้เล่นที่เสียชีวิตไปแล้ว กลับมาฟื้นคืนชีพใหม่อีกครั้งหนึ่งนั้น… ไม่ใช่การฟื้นคืนสู่เนื้อแท้ หรือไม่ใช่การก่อร่างสร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่แต่อย่างใด แต่เป็นการถือกำเนิด เกิดใหม่อีกครั้งค่ะ”
“เซราฟ คุณกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่”
ไม่รู้ว่าผมเผลอตัวหายใจแรงไปหรือไม่ น้ำเสียงของอีกฝ่ายจึงได้สูงปรี๊ดขึ้น
เซราฟนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดสรุปออกมาโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
“เนื้อแท้ของผู้เล่นตอนก่อนเสียชีวิตนั้น ถือว่ามีคุณสมบัติเป็นพลเมืองโลก แต่พอเสียชีวิต ณ ที่ฮอลล์เพลนแห่งนี้ เนื้อแท้ของผู้เล่นที่ได้คืนชีพขึ้นมาครั้งหนึ่งนั้น จะไม่ใช่พลเมืองโลกอีกต่อไป แต่จะถือว่าเป็นเพียงชาวเมืองเท่านั้นค่ะ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ทั้งสองสิ่งคือคุณสมบัติที่ไม่สามารถผสมผสานกลมกลืนกันได้ค่ะ”
“…”
“มันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงค่ะ และด้วยความต่างนี้ จึงทำให้ไม่สามารถผนวกรวมกันได้ เหล่าผู้เล่นที่ผู้เล่นคิมซูฮยอนเอ่ยถึงนั้น คือ เหล่าผู้เล่นที่เสียชีวิต ณ ฮอลล์เพลน เพราะฉะนั้น ข้าขอเรียนให้ท่านทราบว่า การที่ท่านร้องขอให้ฟื้นคืนชีวิตของพวกเขาเหล่านั้น เป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้ค่ะ”
วินาทีที่ได้ยินคำสรุปเหล่านั้น ในหัวผมจึงรู้สึกโล่งโปร่ง ไร้ซึ่งสิ่งใด หัวที่เอาแต่คิดฟุ้งซ่าน มีแต่เรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่เต็มไปหมด บัดนี้กลับมลายหายไปจนหมดสิ้น เหมือนมีค้อนใหญ่มาทุบเข้าที่ศีรษะ
เมื่อครั้งได้ยินเรื่องนี้จากปากของแอสทารอธ เรื่องนี้แทบจะหาความจริงไม่ได้เลย เพราะมันไม่แน่นอนเลยสักนิด แต่บัดนี้มันกลับกลายมาเป็นความจริงเสียแล้ว
“…ว่าไงนะ”
ในใจผมรู้สึกกังวล เริ่มมีอะไรบางอย่างกำลังเต้นตึกตักอยู่ข้างในอย่างบอกไม่ถูก
ในห้วงความสับสนเช่นนั้น ผมไม่ยอมรับความจริงเลยสักนิด ไม่สิ ไม่ยอมรับคำพูดของเซราฟต่างหาก
ไม่ใช่แล้ว ไม่ใช่สิ แม้สิ่งที่หล่อนพูดจะถูกต้อง แต่สุดท้ายแล้วมันจะไม่มีวิธีอื่นเลยหรือไงกัน
ในห้วงอารมณ์ที่กำลังตีวุ่นวายกันไปมา ผมได้คว้าฟางแห่งความหวังเส้นสุดท้ายไว้อย่างแน่นหนา และก็ได้ถามอีกฝ่ายออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า
“ผมฟังผิดไปใช่ไหม”
“ขอเรียนให้ท่านทราบล่วงหน้านะคะ… ไม่ใช่ไม่ทำ แต่ทำไม่ได้ค่ะ”
“ไม่ พะ พูดอีกครั้งสิ ไม่จริงใช่ไหม ผมฟังผิดไปเองใช่ไหม”
“ผู้เล่นคิมซูฮยอน…”
ทันใดนั้น เซราฟจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แล้วมองตรงมาที่ผม นัยน์ตาสีเขียวอ่อนดูเย็นยะเยือกและสุขุมนุ่มลึกเหมือนอย่างเคย ในอกของผมเริ่มค่อยๆ บิดเบี้ยวไปทีละน้อย สายตาเช่นนั้นของหล่อนกำลังสื่อสารออกมาว่า ‘ไม่ใช่เหตุที่นายต้องรู้’
ผมได้แต่ข่มความรู้สึกในใจที่กำลังจะระเบิดออกมาในไม่ช้านี้ไว้ พร้อมกับค่อยๆ ปริปากพูดออกมา
ไม่สิ ในช่วงที่กำลังจะเปิดปากพูดออกมานั้นเอง
“ผู้เล่นคิมซูฮยอนเข้าใจคำพูดของข้าแล้วนะคะ”
“คุณ…”
“ก่อนอื่น ข้าอยากจะเรียนให้ท่านสงบจิตสงบใจไว้เสียก่อน สภาพจิตใจของผู้เล่นคิมซูฮยอน ณ ปัจจุบันนี้กำลังอยู่ในสภาวะว้าวุ่น กระสับกระส่าย วางใจให้นิ่งเฉยไม่ได้ ท่านควรจะทำความเข้าใจตามสิ่งที่ข้าได้เรียนให้ทราบ แต่ดูเหมือนท่านจะไม่ยอมรับสิ่งเหล่านั้นเสียเลย…”
“ผมฟังผิดไปใช่ไหม”
เซราฟกำลังจะพูดประโยคสำคัญ แต่ผมก็ได้ตะโกนเสียงดังออกไป ก่อนที่หล่อนจะพูดจบเสียอีก
เซราฟจึงรีบปิดปากฉับ
ผมรู้สึกได้ว่าจู่ๆ คอก็แห้งผากขึ้นมาอย่างกะทันหัน ผมค่อยๆ ผ่อนปรนลมหายใจช้าๆ หลังจากนั้นจึงยื่นลูกแก้วซีโร่โค้ดในมือออกไปด้านหน้า
“คุณพูดอะไรของคุณ ผมไม่ได้จะใช้โกลเด้นพอยต์เสียหน่อย ไม่ได้พูดถึงเรื่องความปราถนาอะไรนั่นด้วย ผมกำลังพูดถึงซีโร่โค้ดอยู่ เจ้าซีโร่โค้ดที่เปี่ยมไปพลังและความสามารถรอบด้านนี้ต่างหาก”
“…”
“เซราฟ? ว่าไง?”
ปกติแล้ว ผมไม่เคยถึงขั้นวิงวอนขอร้องให้ใครเห็นมาก่อน แต่ตอนนี้ผมกำลังอ้อนวอนต่อเซราฟ ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะต้องมาหยิ่งในศักดิ์ศรี
ตอนนี้เข้าสู่ช่วงท้ายแล้ว และในท้ายที่สุด สิ่งที่ผมหวังไว้ก็ใกล้สำเร็จอยู่รอมร่อ ความปรารถนาในครั้งนี้ ผมจะไม่มีวันลืมมันเลย
ทว่าเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น ที่ทำให้ความตั้งใจของผมได้หยุดชะงักไป
ผมจ้องไปยังเซราฟด้วยความรู้สึกร้อนรุ่มอยู่ในอก
แต่
“…”
“เซราฟ!”
เซราฟก็ยังไม่ยอมตอบอะไรกลับมา หล่อนได้แต่จ้องมองผมอย่างเย็นชาเช่นเดิม
ฉันยอมรับไม่ได้
โอเค แม้ผมจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เซราฟพูด แต่อย่างไรผมก็ไม่สามารถยอมรับกับความจริงเหล่านั้นได้ เพราะวินาทีที่คำพูดของหล่อนได้แปรเปลี่ยนมาเป็นความจริงนั่น…
มันช่างเหมือนกับด้ายเส้นเล็กๆ ที่ผมพยายามยื้อมาตลอด แต่สุดท้ายมันกลับขาดไป จนแทบไม่มีชิ้นดี
ผมพยายามแล้ว พยายามเล่าที่จะทำให้ตัวเองสุขุมให้ได้มากที่สุด พลางพูดออกไปด้วยน้ำเสียงสงบเสงี่ยม
“ถ้างั้นต้องทำยังไงล่ะ ต้องทำอะไรอีก ถึงจะยอมให้คำขอร้องของผมกลายเป็นจริงกับเขาได้บ้าง ตอนนี้ผมต้องค้นหาเฟิร์สโค้ดใช่ไหม”
“ผู้เล่นคิมซูฮยอน”
“โอเค พูดมา ผมจะตั้งใจฟัง”
“เฮ้อ…”
เซราฟถอนหายใจอยู่สักพัก แล้วจึงค่อยๆ เผยอริมฝีปาก เปล่งคำพูดออกมาว่า
“คิมยูฮยอนกับฮันโซยองที่ท่านเอ่ยถึงเมื่อสักครู่ ผู้เล่นทั้งสองคนนี้ได้เสียชีวิตลงแล้วเรียบร้อย โดยสามารถใช้ทุกกลวิธีใดก็ได้ ในการให้พวกเขาฟื้นคืนชีพค่ะ จะใช้ซีโร่โค้ดก็ได้ หรือจะใช้ความปรารถนาผ่านโกลเด้นพอยต์ที่ท่านครอบครองก็ย่อมได้เช่นกันค่ะ แต่…”
“แต่? แต่อะไรอีก?”
“…ไม่ว่าจะมองอย่างไร การใช้ซีโร่โค้ดก็คือ การใช้แลกเปลี่ยนต่อความปรารถนาระดับสูงๆ อยู่ดีค่ะ เพราะฉะนั้นผลลัพธ์ที่ได้ก็เหมือนเดิมอยู่วันยังค่ำ อย่างที่ข้าได้เรียนให้ทราบเมื่อครู่ค่ะ ในกรณีที่ผู้เล่น ผู้ซึ่งเสียชีวิตไปแล้วหนึ่งครั้ง พอกลับมามีชีวิตได้ดั่งเดิม อย่างไรก็จะถูกจัดให้เป็นเพียงชาวเมืองค่ะ ไม่ว่าจะใช้ซีโร่โค้ด หรือความปรารถนา สุดท้ายต้นตอปัญหาเดิมก็จะยังคงเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงไปค่ะ”
ผมลองตั้งใจฟังอย่างเงียบเชียบแล้ว แต่เนื้อความที่หล่อนพูดก็เหมือนเดิมกับเมื่อครู่นี้เลย การที่เซราฟพูดออกมาว่าสุดท้ายแล้วก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปอยู่ดี ประโยคนี้ แทบไม่ต่างอะไรไปจากคำพิพากษาประหารชีวิตผมเลย
แขนที่ได้ยื่นเหยียดออกไปข้างหน้า บัดนี้กลับอ่อนแรง
เซราฟคงจะเห็นท่าทีของผมเช่นนั้น จึงได้พูดต่อเนื่องออกมาทันที
“ผู้เล่นคิมซูฮยอนยังไม่เคยเสียชีวิตเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะฉะนั้น จึงไม่มีปัญหาอะไรค่ะ หากท่านจะหวนคืนกลับสู่โลกมนุษย์”
“งั้น…ผมต้องกลับไปคนเดียวทั้งอย่างนี้น่ะหรือ…?”
“…ความทรงจำแห่งฮอลล์เพลนจะไม่มีให้หวนคิดถึงต่อไปค่ะ แต่เหล่าผู้เล่นก็ยังคงจะมีชีวิต และดำเนินชีวิตต่อไปบนโลกมนุษย์เหมือนเดิมค่ะ คนเหล่านั้นถูกเรียกว่าเป็นมนุษย์โคลนนิ่งค่ะ…”
ในตอนนั้น
ณ วินาทีนั้น ผมรู้สึกได้ว่าจิตใจภายในที่พยายามข่มแล้ว ข่มเล่ามาตลอดจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ได้แตกกระจายไม่เหลือซากในชั่วพริบตา
ฟึ่บ!
“ผู้เล่นคิมซูฮยอน?”
เซราฟเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา ด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความสงสัยใคร่รู้
ผมตั้งสติ แล้วจึงได้เห็นว่าตัวเองชักดาบ เล็งเป้าไปยังเซราฟที่ยืนประจันอยู่ตรงหน้า ดูเหมือนผมจะยอมรับกับเรื่องราวเช่นนั้นไม่ได้ จึงได้ชักดาบออกมา แล้วเล็งไปที่อีกฝ่ายโดยอัตโนมัติ ผมเห็นว่าปลายดาบกำลังสั่นไหวอยู่น้อยๆ กับทัศนวิสัยที่เริ่มจะขาวโพลนทีละน้อย ทีละน้อย
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ความทรงจำที่ผมไม่สามารถลืมเลือนได้ก็เฉียดผ่านหัวของผมไป
‘สุดท้ายก็เป็นแบบนี้สินะ เฮ้อ ช่วยไม่ได้ ยังไงตอนนี้ก็ทำใจให้ชอบซะเถอะ ขอแสดงความยินดีด้วยนะ ผู้เล่นคิมซูฮยอน อย่าเศร้าไปเลย’
‘พูดบ้า พูดบออะไรอีกล่ะ’
‘เดี๋ยวก็ได้รู้เอง ว่าสุดท้ายแล้ว นายเองที่จะกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และจะได้รู้ว่าเหล่าฑูตสวรรค์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกับเราๆ ท่านๆ เหมือนกัน’
‘ไอ้บ้า พอจะได้ตาย ก็เอาแต่พูดไร้สาระไม่หยุดเลยนะ’
“ผู้เล่นคิมซูฮยอนคะ ข้าทราบดีว่าท่านคิดอะไรอยู่ ถึงได้กระทำเช่นนี้ออกมา แต่การกระทำของท่าน ณ ขณะนี้มันไม่สมควรเสียอย่างยิ่งเลยค่ะ แม้ท่านจะสังหารข้า แต่สุดท้าย ข้อสรุปที่ได้ก็จะยังเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ดีค่ะ”
“…เซราฟ ในเมื่อไม่จำเป็นแล้ว เพราะงั้นช่วยตอบอะไรผมสักข้อสิ”