Memorize - เล่มที่ 19 ตอนที่ 5
ทันใดนั้น ทะเลที่เคยเห็นอยู่ตรงเบื้องหน้า จึงได้เปิดทาง แยกตัวออกจากกันอย่างน่าเหลือเชื่อ มองเห็นท้องฟ้าว่างเปล่าที่อยู่ด้านหลัง
ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็เห็นได้แค่ว่านี่คือโอกาสที่จะให้ผมได้เข้าปะทะ ต่อสู้ช่วงชิงกับราชาแห่งภูต
ทว่าผมได้พับความคิดเหล่านั้นเก็บไว้เสียดื้อๆ แม้จะได้ชื่อว่าราชา แต่ถึงอย่างนั้นราชาแห่งภูตก็ยังเป็นผู้อัญเชิญเหมือนกัน หากตัวกลางสำคัญของการอัญเชิญถูกสังหารไป เห็นทีคงจะสิ้นสลาย ดับสูญไปตามธรรมชาติอย่างแน่นอน
จุดประสงค์ของผมมีเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือ คนเรียกภูต
ผมคิดทบทวนซ้ำไปซ้ำมา ทันใดนั้นเอง น้ำจากทะเลที่แยกออกจากกันเพียงเสี้ยววินาทีก็เดือดพล่าน แล้วจึงค่อยเริ่มเชื่อมกลับคืนสู่สภาพเดิม ผมเห็นดังนั้นจึงรีบถลาตัว พุ่งออกไปตรงรอยแยกที่ปรากฏขึ้นก่อนที่มันจะเชื่อมต่อกัน
สำเร็จ!
และในวินาทีที่ผมคิดได้เช่นนั้น คือหลังจากหนีรอดออกมาได้นั่นเอง
“แฮ่กๆ”
ทันทีที่ผมแยกออกมาจากราชาแห่งภูตได้สำเร็จ สายลมก็เข้าโจมตีหลังของผมโดยไม่รู้ตัว ถึงไม่โดนสายลมจู่โจม แต่การที่ผมไหลไปตามน้ำ แล้วแฝงตัวเข้าไปเช่นนั้น ทำให้อัตราความเร็วลดลงเป็นเรื่องปกติ ทว่าการกระทบกระทั่งเพียงแค่ครั้งเดียวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ ทำเอาผมร่างกายของผมเสียสมดุล
หลังจากนั้นผมจึงรู้สึกได้ว่าร่างกายเริ่มเอียงและเอียงมากขึ้นไปทุกที แต่ผมไม่สามารถล้มเลิกความตั้งใจนี้ได้ หากผมยอมปล่อยให้ร่างกายร่วงหล่นไปเช่นนี้ ความเหนื่อยยากลำบากที่เผชิญมาตลอดจนถึงตอนนี้ก็คงสูญเปล่า
“อึก!”
โชคดีที่การมุ่งมั่นของผมมันมาจนถึงขีดสุดแล้ว จึงทำให้สามารถพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสได้
ผมไม่ได้ต้านทานพลังที่เข้ามาปะทะด้านหลังแต่อย่างใด กลับน้อมรับเอาไว้อีกต่างหาก ผมได้ปรับแรงกระทบกระเทือนที่รับมา เหมือนกับตอนที่ช่วยเหลือตัวอันซลจากพิธีเปลี่ยนสภาวะในสมัยก่อนไม่มีผิด แล้วผมจึงเปลี่ยนให้มันกลายเป็นพลังที่จะเร่งให้ผมมุ่งตัวไปด้านหน้าได้อย่างฉับไวมากยิ่งขึ้น ทันใดนั้น ร่างกายที่เคยหยุดนิ่ง จึงได้กระเด็น หลุดออกไปได้ในชั่วพริบตา
พรึ่บ!
สายลมเบาบางพัดผ่านศีรษะ ท้องฟ้าปลอดโปร่งปรากฏอยู่ตรงเบื้องหน้า ทันทีที่ผมได้เห็นภาพเหล่านั้น จึงคิดได้ว่าภารกิจที่ตัวเองตั้งใจฝ่าฟันมาใกล้จะถึงขั้นตอนสุดท้ายกันแล้วเสียที ความดีใจแผ่ซ่านเข้าไปทั่วทุกอณูของร่างกาย
ระยะทางเหลือสิบเมตร สภาพของผม ณ ขณะนี้คือกำลังลอยตัวอยู่บนฟากฟ้า
การโบยบินครั้งที่สองเสร็จสิ้นไปแล้ว ผมก้มหน้ามองด้านล่าง แล้วจึงได้เห็นว่าขณะนี้คนเรียกภูตอยู่ในระยะเพียงแค่เอื้อมมือเท่านั้น ในที่สุดผมก็สามารถเข้ามาอยู่ในเขตแดนของคนเรียกภูตได้สำเร็จ
ไม่รู้ว่ารอยยิ้มจองหองเมื่อครู่หายไปไหนเสียแล้ว เพราะผมเห็นพวกมันกำลังยืนเหม่อลอย อ้าปากหวออยู่ ผมรู้สึกได้ว่าความสำเร็จกำลังอยู่เบื้องหน้า ความคิดที่เคยเลือนรางจนจับต้นชนปลายไม่ถูก ตอนนี้กำลังชัดเจนอยู่เบื้องหน้าแล้ว
ผมปลุกพลังเวทให้ไหลวนไปทั่วร่างกาย เหล่าผู้เล่นจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน กำลังมองผมอยู่ด้านล่าง ความรู้สึกเมื่อตอนได้ซีโร่โค้ดในอดีตนั้นได้กลับฟื้นคืนขึ้นอีกครั้ง
ทำได้อยู่แล้ว
ความเร็วของผมเริ่มกลับคืนมาบางส่วน ทั้งนี้ก็เพราะพลังที่ราชาแห่งภูตได้เพิ่มเสริมให้ผมมา ผมจึงได้เริ่มลดตัวลงต่ำ ในครั้งนี้แหละที่การก้าวกระโดดอันทรงพลังกับพลังเวทจะได้แหวกท้องฟ้าเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย คนเรียกภูตที่มองผมอยู่นั้นกัดฟันกรอดด้วยสีหน้าโกรธแค้น และก็แปรเปลี่ยนมาเป็นสีหน้าแสนโหดเหี้ยมในพริบตา
ผมเจาะเข้าไปยังทรวงอกของสตรีผู้นั้นโดยตรง แล้วจึงค่อยกระตุ้นพลังเวทที่ไหลวนเวียนทั่วร่างกาย ตอนนี้เหลืออีกเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น
ซู่!
ในตอนนั้นเอง
การกระทำของคนเรียกภูตที่ได้ทิ้งชัยชนะไว้ตรงเบื้องหน้า ทำให้ผมต้องใส่พลังเข้าไปในดวงตา
และนั่นคือช่วงที่ผมจะเริ่มหย่อนตัวลงสู่เบื้องล่างแล้วเสียที
คนเรียกภูติคงจะเข้าใจการบุกเข้ามาเช่นนี้ของผมแล้ว พวกมันจึงได้อ้าปาก ตะโกนออกมาสุดเสียง หลังจากนั้นจึงชี้ไม้ชี้มือมายังทิศทางที่ผมจะแล่นตัวลง
ซู่!
ในตอนนั้น ณ จุดที่ผมกำลังจะแล่นลงก็บังเกิดมีสายน้ำขนาดใหญ่และมีเงาดำมือปกคลุมอยู่ทางด้านซ้ายมือ สิ่งเหล่านั้นผลุบๆ โผล่ๆ ไปมา พวกมันตั้งใจจะสกัดกั้นจุดที่ผมจะข้ามผ่านแน่ๆ จึงได้ไหลเชี่ยวกรากขนาดนั้น
อีกทั้งทางด้านขวามือเองก็มีมวลน้ำที่กำลังไหลเชี่ยวโหมกระหน่ำเข้ามาอีกด้วย ผมจึงเข้าใจสถานการณ์ตอนนั้นได้ในทันที แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่ทว่าผมก็มีเผลอหลุดอุทานในใจเช่นเดียวกัน
สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นการโจมตีที่ผมได้ประเมินเอาไว้แล้วอย่างแม่นยำ แม้กระทั่งอัตราความเร็วที่จะพุ่งเข้าไป หากผมรักษาความเร็วไว้แล้วบินไป ในวินาทีที่ผมสามารถแล่นลงได้สำเร็จนั้น ความกระหายที่ปะทุออกมาจากทั้งสองฟากฝั่งคงจะถึงคราวระเบิดเป็นแน่
เป็นแบบนั้นไม่ได้สิ
การก้าวกระโดดยังไม่สิ้นสุดดี ผมจึงหมอบตัวลงไป ส่วนพลังเวทที่ได้เติมเต็มไว้เมื่อครู่นั้นก็กำลังไหลย้อนกลับเข้าสู่ร่างกายดังเดิม
วินาทีก่อนที่ผมจะหยุดตัว ณ จุดข้ามผ่านที่อยู่เบื้องหน้านั่นเอง
ปัง!
ผมยืดตัวออกอีกครั้งอย่างไม่รีรอ และกระตุ้นให้พลังเวทที่หมุนวนทั่วร่างกายปะทุออกมาอีก หลังจากนั้นผมจึงกระเด้งออกไปตามเส้นโค้งอีกครั้งราวกับดีดหนังยาง แล้วเส้นโค้งนั้นก็ได้เปลี่ยนกลับไปคล้ายกับเส้นตรงตามเคย
การก้าวกระโดดครั้งสุดท้ายคือการเคลื่อนไหวโดยใช้ทฤษฎีแรงยืดหยุ่น
ผมจำต้องงอร่างกายให้มีลักษณะโค้งงอเหมือนลูกธนู หลังจากนั้นจึงค่อยใช้แรงยืดหยุ่นเหล่านั้นในการพุ่งตัวไปข้างหน้า
ระดับความเร็วในการตกลงไปนั้นเร็วขึ้นมาหนึ่งขั้น ผมจึง ‘ข้าม’ จุดข้ามผ่านมาด้วยสภาพนั้น
เปรี๊ยะ!
ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย หลังจากผ่านจุดที่มีเวทมนตร์เข้ามาแล้วนั้น ผมรู้สึกได้เพียงแสงที่ยิงพุ่งขึ้นมาสู่ท้องฟ้าและละอองน้ำกระจายเท่านั้น
ผมคิดว่านี่คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว จากความหวังที่ขยับใกล้เข้ามา ผมเทพลังไปที่เกียรติยศแห่งวิคตอเรีย แล้วจึงเล็งเป้าไปยังเหล่าผู้เล่นที่ห้อมล้อมคนเรียกภูตกับสตรีผู้นั้น
ความสามารถที่เก็บงำเอาไว้ก็เพื่อจังหวะนี้ ในที่สุดดาบสีขาวจึงได้ส่งเสียงกระทบกระทั่งดังขึ้นมา แสงแห่งดาบกระจายไปทั่วทุกพื้นที่ เสียงกรีดร้องดังขึ้นพร้อมกับร่างของเหล่าผู้เล่นหลายสิบที่ล้มลงไป มีคนเรียกภูตรวมอยู่ในคนเหล่านั้นด้วย มันยืนซวนเซดุเหมือนจะยังไม่ตาย และจับแขนข้างขวาเอาไว้เพื่อประคองร่างกายของตนเอง
คนเรียกภูตยันกายขึ้นมาแทบจะไม่ไหวกำลังจ้องมองผมที่เข้ามาอย่างกระชั้นชิด ในมือขวาของคนเรียกภูตนั้นมีคาลิโก อาบราซัสอยู่ ไม่รู้ว่าพวกมันไปเก็บมาเมื่อไหร่
ทันทีที่ผมเห็นท่าทีเช่นนั้น ความดีใจของผมแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกาย
สิ่งที่ผมอดทนแล้ว อดทนเล่ามาจนถึงตอนนี้ ก็เพื่อวินาทีนี้ ผมฝ่าฝันมามายมาก สุดท้ายจึงได้มาซึ่งโอกาสที่สร้างขึ้นอย่างยากเย็นในที่สุด
ผมคิดว่านี่คงเป็นจุดสิ้นสุดกันแล้วเสียที จึงได้เหวี่ยงแขนขวาไปด้านหลังอย่างสุดกำลัง
เกียรติยศแห่งวิคตอเรียส่งเสียงดังออกมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คงจะช่วยยืนยันชัยชนะในครั้งนี้ของผมเสียกระมัง
“อ๊ากกก!”
คนเรียกภูตส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน ราวกับตั้งใจจะดิ้นรนให้ได้เป็นครั้งสุดท้าย พร้อมทั้งยกคาลิโก อาบราซัสขึ้นมาอย่างเหนื่อยอ่อนอีกด้วย ด้วยสาเหตุนั้นจึงทำให้ระยะทางระหว่างผมกับคนเรียกภูตกลายเป็น ‘ศูนย์’
และในเวลาเดียวกันนั้นเอง แสงสีขาวกับแสงสีดำก็เกิดตัดผ่านกันพอดิบพอดี
ฉับ!
ตุ้บ!
มีอะไรบางอย่างพาดผ่านร่างผมไป ในขณะที่ผมลงสู่ผืนดิน ไม่รู้ว่าผมใช้พลังทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจไปมากหรือไม่ จึงทำให้เกิดเสียงดังกึกก้องสนั่นแกนโลก พร้อมกับหมู่มวลฝุ่นดินที่ก่อตัวขึ้นมา จนทำให้อาณาบริเวณหนาทึบไปหมด
ทว่าสิ่งที่ผมรู้สึกได้ทั่วทั้งตัว ณ ขณะนี้ ไม่ใช่ผืนดินที่แข็งกระด้างแต่อย่างใด ผมรู้สึกได้ถึงเนื้อหนังมังสาอะไรบางอย่างของมนุษย์ที่ทั้งนุ่ม ทั้งหยุ่น ผมข่มความรู้สึกต่างๆ เอาไว้แล้วเงยหน้าขึ้น จึงเห็นเลือดสีแดงฉานที่พุ่งกระฉูดเป็นระยะๆ กับศพไร้คอที่ถูกบดจนแหลกละเอียด เลือดไหลทะลักออกมา
“…”
ผลลัพธ์ที่ได้มานั้นเกิดขึ้นโดยใช้เวลาเพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น เมื่อเทียบกับความยากลำบากที่เผชิญมา ผมสูดลมหายใจ พลางคิดว่าในที่สุดก็ฆ่ามันได้สำเร็จ ทว่านี่ยังไม่ใช่จุดจบ ผมยกร่างไร้วิญญาณแล้วจึงค่อยยันกายขึ้น
บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัด ฝุ่นที่ก่อตัวขึ้นก็สลายตัวไปตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ ผมเห็นเพียงแค่พวกศัตรูที่มองผมกับคนเรียกภูตอย่างเหม่อลอย
ผมเงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้าในขณะที่มือซ้ายกำลังถือประคองร่างไร้วิญญาณ และมือขวาที่กำลังกอบกุมเกียรติยศแห่งวิคตอเรีย เมฆหมอกมืดครึ้มกำลังเข้าปกคลุมท้องฟ้าโดยไม่รู้ตัว
ซู่!
มวลน้ำมหาศาลที่ราชาแห่งภูตเนรมิตขึ้นมานั้นค่อยๆ กระจายแตกตัวในชั่วพริบตา แล้วจึงสาดกระจายไปทั่วทุกสารทิศในเวลาต่อมา พอผู้อัญเชิญตายไปแล้ว ก็คงไม่สามารถดำรงอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไปแน่ๆ
เหล่าศัตรูต่างเปียกปอนด้วยหยาดฝนที่ตกลงมาทั่วอาณาบริเวณ ตอนนี้พวกมันคงจะตั้งสติได้แล้ว จึงทำให้ความอยากฆ่าสังหารคนอันแสนโหดเหี้ยมได้เข้ามาปกคลุมพวกมันอีกครั้ง ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงเงยหน้ามองไปบนท้องฟ้าอยู่ดี ป่านนี้สัญญาณคงจะเด้งไปฝั่งนั้นแล้ว
เปรี้ยง!
ผมเห็นแสงฟ้าผ่าที่สว่างวาบออกมาระหว่างกลีบเมฆ ทันใดนั้นผมรู้สึกได้ว่ามีพลังได้เข้าไปอยู่ในแววตาของผม วินาทีที่ผมยืนยันได้ถึงสิ่งนั้น ผมจึงปะทุพลังเวทให้ทะลักออกมา พร้อมกับเปล่งเสียงตะโกนออกไปดังๆ
“พี่!”
และในตอนนั้นเอง
เปรี้ยงงง!
โลกทั้งใบจึงได้แปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเข้ม