Memorize - เล่มที่ 19 ตอนที่ 6
แม้ตอนนี้จะยังเช้าตรู่อยู่ แต่ทว่าทุ่งกว้าง ณ บาร์บาร่าแห่งนี้กลับมีกลุ่มเงาขมุกขมัวเข้าปกคลุมอยู่ไม่ขาด ดวงอาทิตย์ส่องแสงสว่างอยู่กลางฟากฟ้า แต่ทว่ากลับมีกลุ่มเมฆดำมืดเข้ามาบดบังแสงแดดไปตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ บรรยากาศมืดครึ้มนี้ดูเหมือนช่วงก่อนฝนตกโปรยปรายไม่มีผิด
สายลมเบาบางจากที่ใดสักที่พัดเอื่อยเฉื่อยเข้ามา ณ ทุ่งกว้างแห่งนี้
และสายลมที่พัดอยู่ ณ ทุ่งกว้างนี้ก็กำลังพัดผ่านไปจนเกินความพอดี
ในตอนนั้นเอง
ลั้ลลา ลั้ลลา ลั้ลลา…
ลั้ลลา…
ลา…
ตู้ม!
มวลน้ำที่กำลังส่งเสียงร้องเพลงเยินยอในชัยชนะ จู่ๆ ก็ถูกสายลมที่พัดเข้ามากลืนกินจนสิ้นเสียงหายไปได้ในคราเดียว ของเหลวต่างๆ ที่ถูกเนรมิตขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่างนั้นค่อยๆ สลายกระจายตัวออกไป แล้วจึงกลายเป็นละอองน้ำกระเซ็นสาดเต็มไปทั่วฟากฟ้า
หลังจากเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์ใจนี้เกิดขึ้น จึงทำให้คิมยูฮยอนค่อยๆ เงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ เขายืนดูด้วยท่าทางเหม่อลอย ทั้งสายตาและใบหน้าต่างก็กำลังจดจ้องไปยังที่ใดที่หนึ่งอย่างเลื่อนลอย แต่ทว่าเขาก็ได้สูดลมหายใจเข้าสั้นๆ หนึ่งครึ่ง แล้วจึงยกมือขวา เริ่มร่ายเวทในที่สุด
หลังจากนั้นไม่นาน จึงบังเกิดลวดลายหนึ่งปรากฏอยู่บนมือที่กำหมัดแน่นของเขา พร้อมทั้งพลังแสงสีทองส่องประกาย พลังเวทสีทองนั้นค่อยๆ แผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างในชั่วพริบตาเดียว แล้วจึงค่อยเกิดปรากฏการณ์ปล่อยกระแสไฟขึ้น กระแสไฟนั้นได้พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า และเริ่มย้อมสีให้กลายเป็นสีทอง ปรากฏการณ์เมฆดำผันแปรเป็นเมฆทองนี้ ช่างสวยงามจับใจ ถึงขนาดที่เรียกได้ว่าเป็นภาพทิวทัศน์อันแสนวิเศษเลยก็ว่าได้
ร่างกายของคิมยูฮยอนถูกโอบล้อมไปด้วยแสงสีทองเปล่งประกาย พร้อมทั้งกระแสของพลังเวทที่หลั่งไหลออกมาก็กำลังเต้นระบำกันอยู่บนท้องฟ้า ท่าทางการทอดสายตามองภาพเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้านั้นช่างดูสงบนิ่งเหนือคำบรรยาย แต่ทั้งนัยน์ตา ริมฝีปากและหัวไหล่นั้นสั่นเบาๆ
แล้วจู่ๆ คิมยูฮยอนก็หลับตาลง ใบหน้าของเขาเริ่มบิดเบี้ยวในเวลาต่อมา สีหน้าของเขาในตอนนี้ล้วนกำลังแสดงออกถึงความกังวล, ทุกข์ใจ, เศร้าสลด, อนาถใจและน้ำตา ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้สามารถแสดงให้เห็นถึง ‘ความเสียใจ’ ที่มีอยู่เปี่ยมล้น
“…”
ผ่านไปได้ไม่นานเท่าไหร่นัก คิมยูฮยอนจึงได้แบมือที่กำอยู่ออกแล้วจึงค่อยๆ ปริปากพูดออกมาอย่างเงียบๆ ว่า
“สิ้นสุดกันเสียที”
เปรี้ยง!
ในชั่วพริบตานั้นโลกทั้งใบก็สว่างจ้าด้วยแสงจากสายฟ้าและเสียงฟ้าร้องที่บังเกิดขึ้นมาพร้อมๆ กัน คิมยูฮยอนที่ก้มหน้าน้อยๆ อยู่นั้นก็ค่อยเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาที่ลืมขึ้นมาของเขานั้น มีประกายแสงสีอำพันเข้มกำลังไหลทะลักเป็นเส้นสายออกมาราวกับเส้นด้าย
คิมยูฮยอนขยับลูกกระเดือกขึ้นลงเหมือนคนคอแห้ง แล้วเขาจึงเค้นลำคอ พยายามพูดคำต่อมา เหมือนคนที่กำลังพ่นอะไรสักอย่างออกมาจากปาก
“ฟ้าจงผ่า!”
เปรี้ยง เปรี้ยงงง!
และแล้วแสงสีเหลืองเข้มจึงได้เข้าปกคลุมทั่วทั้งโลก
วินาทีที่ชายเสื้อคลุมของคิมยูฮยอนปลิวไสวไปกับสายลมนั่นเอง
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
เกิดลำแสงจำนวนหลายร้อยเส้นพุ่งลงมาจากท้องฟ้าสีอำพัน เข้าปกคลุมทั่วทุ่งกว้างแห่งนั้น
* * *
แสงจากสายฟ้าที่ส่องแสงอยู่ระหว่างกลีบเมฆได้จุดประกายทำให้บริเวณนี้สว่างไสวอย่างมาก พวกศัตรูที่ดูเหมือนจะบุกเข้าแม้กระทั่งในช่วงเวลาเช่นนี้ ต่างก็หยุดการเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ คงจะรู้สึกได้ว่าตอนนี้มีอะไรบางอย่างที่แปลกหูแปลกตาไป แล้วผมจึงได้เงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้า แต่ทว่าดูเหมือนจะสายไปเสียแล้ว
เพราะเทพเจ้าสายฟ้ากำลังแสดงฤทธิ์เดชออกมาแล้วนั่นเอง
ฮึ่ม!
ในวินาทีที่ผมได้ยินเสียงฟ้าร้องดังออกมาแทบจะใกล้เคียงกับเสียงระเบิดนั้น ผมก็รู้สึกว่าเส้นผมกำลังลุกชูชัน พร้อมๆ กับทัศนวิสัยที่แปรเปลี่ยนไปจนแทบจะขาวโพลน
ผมมองไม่เห็นอะไรเลยไปชั่วขณะหนึ่ง ผมจึงปลุกพลังเวทแล้วกระตุ้นพลังสายตาในทันที ทันใดนั้นจึงเห็นเข้ากับภาพที่กลุ่มเมฆสีทองบนท้องฟ้ากำลังละลายไหลทะลักลงมายังผืนดินเบื้องล่าง
และนั่นคือ มรสุมฝนฟ้าคะนองจากสายฟ้าฟาด
ฮึ่ม! ฮึ่ม! ฮึ่ม! ฮึ่ม!
เปรี้ยงงง!
ความกระหายเลือดอันแสนเจ็บแสบทิ่มแทงเข้ามาที่ผิว สายฟ้าที่ผ่าลงมาเป็นเส้นตรงกำลังฟาดลงมาตรงผืนดินอย่างรุนแรง และทำให้เกิดหลุมขึ้นมาในที่สุด พวกศัตรูไม่มีเวลาตอบโต้อะไรใดๆ พวกมันไหลไปตามธารน้ำที่เข้ามาปกคลุมผืนดิน แล้วจึงค่อยกระจายออกไปในทั่วทุกสารทิศ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังได้เห็นสายธารน้ำที่ถูกรังสรรค์จากอำนาจไฟฟ้า
“อะ…อึ๊ก! อ๊ากกก!”
“อ๊ากกก!”
สายฟ้าที่ฟาดลงมานั้นทำให้บังเกิดเสียงกรีดร้องดังขึ้นไปทั่วทุกหนแห่ง
ทั้งสี่ทิศรอบด้านเริ่มมีเสียงดังเอะอะขึ้นมา
“เฮือก! อ๊ากกก!”
“โอ๊ยยย”
ประสิทธิภาพในการผนึกกำลังกันระหว่างกระแสไฟฟ้ากับน้ำนั้นออกมาสุดยอดมากจริงๆ พวกศัตรูที่โดนไฟดูดต่างอยู่ในสภาพร่างกายสั่นเทิ้ม ยิ่งไปกว่านั้นทั่วทั้งร่างก็ไหม้เกรียม จนแทบจะดำเป็นตอตะโก ผมไม่สามารถนับจำนวนคร่าวๆ ของคนที่หายไปได้เลย การที่ผมยืนตัวแข็งทื่ออยู่เฉยๆ เพื่อจำกัดการเคลื่อนไหวของตัวเองในครั้งนี้ ดูท่าจะย้อนกลับมาทำพิษให้เสียแล้วสิ
ผมเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าสถานการณ์ของพวกศัตรูที่ถูกไฟดูดนั้นจะดีขึ้นหรือไม่อย่างไร เพราะเจ้าศัตรูผู้แสนโชคร้ายที่ต้องมาเผชิญหน้ากับสายฟ้าฟาดโดยตรงนี้ ทำให้ผมไม่สามารถสืบหารูปพรรณสันฐานเดิมตั้งแต่แรกเริ่มของพวกมันได้เลย เศษชิ้นเนื้อที่ลงเหลืออยู่เพียงบางส่วนแสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์อันน่าสยดสยองที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์นี้
ในสถานการณ์เช่นนี้ ผมจึงได้ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม แล้วใช้สายตากวาดมองบริเวณโดยรอบ และผมเองก็กำลังยืนอยู่ในที่แห่งนี้เช่นเดียวกันจึงไม่สามารถที่จะหลีกหนีสายฟ้าฟาดไปได้เลย สายน้ำสีเหลืองทองที่ได้กล้ำกลืนร่างผู้เล่นจำนวนหลายสิบไปเมื่อครู่กำลังไหลเข้ามาหาผม ราวกับจะกำจัดผมไปให้ได้ แสงอันรุ่งโรจน์เองก็กำลังไหลบ่าเข้ามาหาผมด้วยความเร็วที่ไม่แพ้กัน
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
ในเวลาต่อมา สายน้ำแห่งสายฟ้าฟาดที่เข้ามาในระยะประชิดก็เกิดปรากฏการณ์ไฟรั่วอย่างแรง จากนั้นจึงบุกเข้ามาราวกับคลื่นซัด
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
สายน้ำแห่งสายฟ้าฟาดปะทะกับการต้านทานเวทอย่างน่าเสียวไส้ แล้วจึงบังเกิดระลอกคลื่นอันแสนน่าขนลุกออกมา แต่ทว่าผมยังโชคดี เพราะมันได้ไหลผ่านผมไป หลังจากนั้นค่อยไหลไปอย่างเรื่อยเฉื่อยเหมือนสายน้ำธรรมดา ความสามารถในการปรับพลังเวทของพี่ชายนั้น ทำให้บังเกิดแสงจ้าออกมา
ผมเห็นดังนั้นจึงถอนหายใจโล่งอก แต่ทว่าผมก็ไม่ได้เชื่อถือความสามารถในการต้านทานเวทเพียงอย่างเดียวหรอก เพราะผมเตรียมพร้อมปลุกพลังของฮวาจองทุกเมื่อ
เทพเจ้าสายฟ้า อันเป็นความสามารถเฉพาะตัวของพี่ชาย
ความสามารถของเทพเจ้าสายฟ้านั้นมีอยู่มากมายหลายสิ่ง เช่น การเพิ่มขึ้นของทัศนวิสัยและความสามารถในการปรับแก้พลังเวท เป็นต้น แต่หนึ่งในนั้นคือ ‘การขยาย’ นับเป็นผลงานชิ้นเอก ซึ่งนั่นก็คือ การหยิบยืมพลังจากเทพเจ้าสายฟ้า แล้วนำพลังนั้นมาทำให้ขอบเขตความสามารถของตัวเอง พร้อมทั้งพลังในการทำลายมีประสิทธิภาพขยายเพิ่มมากขึ้น
สิ่งนี้นั้นไม่สามารถนำมาเทียบกับการขยายเฉยๆ ได้ หากสังเกตจากชื่อ ก็จะรู้ได้ว่ามีคำว่า ‘เทพเจ้า’ เข้าไปอยู่ในชื่อด้วย โดยอาจจะมองได้ว่าเทพเจ้าแห่งไฟที่ผมมีติดตัวอยู่นี้ ก็ถือว่าอยู่ในระดับเดียวกันกับเทพเจ้าสายฟ้าฟาดก็ย่อมได้
[ฮ่าๆ! ตลกชะมัด เจ้ากำลังบอกว่าไอ้นั่นคล้ายกับข้างั้นหรือ]
เอ๋?
ในตอนนั้นเอง ผมจึงเอียงคอด้วยสงสัย เพราะได้ยินเสียงที่ดังมาจากภายใน แต่ทว่าสายฟ้าฟาดก็ได้ผ่าลงมาจากฟากฟ้าอีกครั้งหนึ่ง ฟาดแล้ว ฟาดเล่าอยู่เช่นนั้น เสียงอันน่าขนลุกที่ดังขึ้นจากการเสียดสีกันระหว่างฟ้าผ่ากับผืนดินนั้น ทำให้ผมจำต้องเก็บความสงสัยนั่นไปก่อนโดยทันที แล้วจึงยิ้มเจื่อนๆ ออกมา
ฮึ่ม! ฮึ่ม! ฮึ่มมม!
“…”
ฟ้าผ่าลงมาอย่างต่อเนื่อง ไม่มีหยุดพัก พี่ฟาดสายฟ้าลงมาอย่างต่อเนื่องจนแทบไม่เว้นช่องว่าง ดูเหมือนเขากำลังโกรธ และกำลังตวาดถามว่าใครหน้าไหนบังอาจคิดจะมาทำลายน้องชายฉัน แม้ผมจะปลุกพลังเวท และพลังในการมองเห็นแล้วก็ตาม แต่ทว่าทัศนวิสัยก็ยังคงขุ่นมัวดังเดิม จึงทำให้ผมรีบหลับตาลง
ตอนนี้ผมไม่ได้ยินเสียงกรีดร้องอะไรต่อไปแล้ว
เวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้วเนี่ย
ในระหว่างที่ผมกำลังหลับตา จดจ่ออยู่กับสัญญาณที่เข้ามาใกล้นั้น ผมก็รู้สึกได้ว่าการสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นทั่วอาณาบริเวณได้ค่อยๆ ทุเลาลงไปอย่างช้าๆ
ด้วยสาเหตุนี้จึงทำให้ผมหลับตาต่อไปอีกพักหนึ่ง แล้วจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
สายฟ้าที่ฟาดลงมาตลอดเวลานั้นกลับหยุดการกระทำไปเสียดื้อๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ บริเวณโดยรอบถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควันหนาจนไม่สามารถคาดเดาอะไรได้เลยแม้แต่นิดเดียว ฝุ่นดินที่เกิดขึ้นจากแรงกระเทือนก็กำลังตลบคละคลุ้งไปทั่ว และในช่วงเวลาที่พวกมันกำลังค่อยๆ สลายตัวไปอย่างช้าๆ ทิวทัศน์รอบข้างจึงค่อนๆ ชัดเจนขึ้น
กลิ่นคละคลุ้งอะไรบางอย่างลอยเข้ามาเตะจมูก
ดินไหม้เกรียม
ผืนดินแตกแยกออกจากกัน เหมือนหินภูเขาไฟที่กำลังไหลทะลักอยู่ไม่มีผิด
ศพกระจายอยู่เป็นหย่อมๆ ร่างกายถูกเผาไหม้เสียจนดำปิ๊ดปี๋จนไม่สามารถรู้ได้ถึงรูปพรรณสันฐานเดิม
ในรัศมีหนึ่งร้อยเมตรนี้ผมไม่พบใครที่กำลังยืนอยู่เลยแม้แต่คนเดียว ยกเว้นตัวผม