Memorize - เล่มที่ 19 ตอนที่ 7
แม้แต่พวกศัตรูที่เพ่งเล็งมา คล้ายกับจะฆ่าผมฉันใดฉันนั้นเมื่อครู่ก่อนหน้านี้เอง ก็หายวับไปรวดเดียว ฉับไวเหมือนโกหก
อย่างที่ผมว่านั่นแหละ กองเถ้าถ่าน และภาพเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ผมก็เห็นเพียงแต่ภาพอันน่าสยดสยอง
แต่ทว่าผมก็ตกใจได้อยู่เพียงครู่เดียว ผมรีบสงบสติอารมณ์ในทันที ด้วยความที่ภาพเหตุการณ์ตรงหน้านี้ผมเคยเห็นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าตั้งแต่รอบที่หนึ่งแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่ถึงขั้นตกอกตกใจ จนขนาดสติสตางค์ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ไม่สิ ไม่ว่าจะอย่างไรผมก็ไม่มีเวลามาอึ้งอยู่นานนักหรอก สถานการณ์ในตอนนี้คือพี่ชายของผมได้ยอมจำนนต่อภาระต่างๆ ที่เข้ามาโหมกระหน่ำร่างกายตัวเองอยู่ แล้วได้สร้างโอกาสอันแสนล้ำค่านี้มาให้แก่ผม หากมองภาพของเขาที่เอาแต่อ้อนวอนให้เชื่อใจกันนั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นนี่คงเป็นการหักหลังความเชื่อใจของพี่
ดังนั้นผมจึงรีบลงมือทันทีในเวลาต่อมา
ก่อนอื่น ผมรีบดูแลและจัดเตรียมคาลิโก อาบรักซัสกับเกียรติยศแห่งวิคตอเรียอย่างว่องไว ก่อนจะเหลือบมองด้านล่าง ลอบพิจารณาสอดส่องศพที่หิ้วอยู่เมื่อครู่ ศพของคนเรียกภูตนั้นได้รักษาไว้ซึ่งรูปพรรณสันฐานเดิมมาได้อย่างหวุดหวิดก็จริง แต่ก็แค่นั้น รอยยิ้มอันแสนจองหองที่ผมเห็นนั้นได้หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ตอนนี้ผมหามันไม่เจอเลยสักนิด
ผมจึงเปิดใช้ดวงตาที่สาม เสาะหาความจริงอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นจึงยื่นมือออกไปทางทิศเหนือ และแล้วจึงรู้สึกได้ถึงอะไรแข็งๆ บางอย่าง พร้อมทั้งพลังอันเยือกเย็นที่แผ่ซ่านออกมา รู้สึกว่าตัวเองกำลังกอบกุมลูกแก้วกลมๆ อยู่ในมือ ผมจึงคว้าสิ่งนั้นมาโดยทันที
[ผลึกของมวลน้ำ]
“มีจริงๆ ด้วยแฮะ”
แม้จะมีส่วนไหม้เกรียมบ้างเล็กน้อย ทว่ายังโชคดีที่ ‘ผลึกของมวลน้ำ’ นั้นยังคงรักษาไว้ซึ่งรูปลักษณ์เดิม ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แล้วจึงนำลูกแก้วเก็บเข้าไปข้างในอกอย่างหวงแหน
เสียเวลามามากแล้ว ตัวแปรต่างๆ ก็ทำลายไปหมดแล้วด้วย พวกศัตรูที่บุกเข้ามาก็ถูกฆ่าไปจนหมด จนสร้างความเสียหายครั้งยิ่งใหญ่ขึ้นมาในที่สุด
แต่อย่างไรก็ตาม จำนวนกำลังพลของศัตรูที่มีคร่าวๆ ประมาณหนึ่งหมื่นห้าพันคนนั้น คงจะไม่สามารถต่อกรอะไรได้อีก มีความเป็นไปได้สูงมากว่าพวกศัตรูที่ไม่เข้ามายุ่มย่ามในเขตของผมนั้น บางทีพวกมันอาจจะต้องหยุดการเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ และทำได้แต่เดินวนไปเวียนมา แล้วค่อยหนีออกไปในท้ายที่สุดก็เป็นได้
ถึงอย่างนั้น ตอนนี้วิเวียนก็คงจะสร้างค่ายคุ้มกันจนเสร็จสิ้นไปในระดับหนึ่งแล้วแน่ๆ
แต่ทว่าผมจะไม่ไปในทิศทางนั้นหรอก ไม่สิ ไปไม่ได้เด็ดขาด
เราจะต้องยืนหยัดให้ได้มากที่สุด จนกว่าทหารอาสาสมัครจะมาถึง
ค่ายทางฝั่งตะวันออกในตอนนี้ได้เผชิญกับคลื่นยักษ์จึงทำให้ต้องกระจัดกระจายกันไป พวกเขาวิ่งไปมาอย่างวุ่นวาย ไม่ได้รวมตัวกันอยู่เพียง ณ จุดๆ เดียว งานที่เหลืออยู่ในตอนนี้คือผมจะต้องค้นหาตัวคนที่ผมรู้จัก หลังจากนั้นจึงรีบพาพวกเขาไปในค่ายคุ้มกันให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
จากนี้ไปผมคงต้องเก็บความปีติยินดีที่ได้รับมาจากการต่อสู้เมื่อครู่ไปเสียก่อน แล้วรีบวิ่งตัดผ่านทุ่งกว้างไปให้เร็วที่สุด ในเวลาเดียวกันนั้นเองข้อความหนึ่งก็ปรากฏอยู่บนท้องฟ้า
[พรคุ้มครองแห่งสงคราม (Rank : Extra)]
การอวยพรของเทพธิดาที่ให้นายทหารชั้นผู้น้อยคนหนึ่งสามารถสนุกสนาน รื่นรมณ์ได้ เพียงแต่จำกัดไว้ได้แค่เพียงในศึกสงครามเท่านั้น ผู้เล่นที่ได้รับพรคุ้มครองจะได้รับทัศนวิสัยอันกว้างไกล อันสามารถเสาะแสวงตัวน้องคนสนิทในสภาวะสงครามได้ และในช่วงยามคับขันนั้น ยังสามารถวิเคราะห์ได้ถึงตำแหน่งที่กองทัพของเราได้รวมตัวกันอยู่ได้อีกด้วย และ…
* * *
ชินซังยงขมวดคิ้วแน่นเพราะได้ยินเสียงวิ้งๆ เข้ามาในหู หลังจากนั้นเขาจึงค่อยเปิดตาขึ้นช้าๆ และด้วยความที่ยังเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก จึงกะพริบตาขึ้นลงอยู่ครั้งสองครั้ง แล้วมองไปรอบๆ ด้วยความเคยชิน ดูเหมือนว่าเขากำลังคลำหาแว่นสายตาอันเปราะบางที่วางอยู่บนหัวนอน
ชินซังยงเอาแต่ควานหาแว่นอยู่พักใหญ่ ไม่ได้คิดว่าจะต้องปลุกพลังในการมองเห็นโดยใช้พลังเวทแต่อย่างใด แต่แล้วเขาจึงหยุดการเคลื่อนไหวไปเสียดื้อๆ แล้วเขาก็เบิกตาโพลงขึ้นมาทันที หลังจากที่เอาแต่หรี่ตามาตลอด
ชินซังยงยังคงนอนราบอยู่กับพื้น หลังจากที่ถูกคลื่นยักษ์โถมเข้าใส่ เขาก็หมดสติไป
“อ้า… อ้า…”
ดูท่าว่าเขาจะยังคิดอะไรไม่ออกอยู่เช่นเดิม ชินซังยงที่นอนแน่นิ่งเงยหน้าอยู่นั้นได้เบนสายตาลงมามองที่มือด้านขวา และในวินาทีที่เขาเห็นเลือดสีแดงฉานเปรอะเปื้อนฝ่ามือ เขาถึงกับผวา สะดุ้งเฮือกขึ้นมาทันที
“อึก…อ๊ากกก!”
แต่ทว่าชินซังยงกลับไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ตามใจหวัง เขาเหลือบตามองเห็นศพใครไม่รู้กำลังนอนทับร่างของตัวเองอยู่ แล้วจึงส่งเสียงกรีดร้องออกมา แต่แล้วก็ฟุบตัวล้มลงไปอีกครั้ง และในเวลาเดียวกันนั้นเอง ความเจ็บปวดเจียนตายบริเวณต้นขาก็ได้แล่นขึ้นมา
และในตอนที่กำลังจะตะเกียกตะกายออกจากสถานการณ์ที่เผชิญหน้าเข้าอย่างจังนั้นเอง
“มีใครที่ยังรอดชีวิตอยู่ตรงนี้หรือเปล่าคะ”
เสียงอันแสนอ่อนเยาว์ของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับจัดการศพที่กำลังทับร่างของชินซังยงให้กลิ้งออกไป
“ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ”
“อ้า…เอ่อ…อื้อ…”
ชินซังยงดูมีท่าทีอึดอัด ได้แต่ตอบเสียงครวญครางไปมาอยู่เช่นเดิม หญิงสาวผู้นั้นก้มตัวลง แล้วจับไหล่ของเขาไว้ พร้อมทั้งตะโกนใส่เสียงดังลั่น ชินซังยงจึงสั่นหัวไปมาแรงๆ
“โอ๊ย! อยู่นิ่งๆ สิคะ! ถึงแม้มันจะยังมาไม่ถึงตรงนี้ แต่ยังไงเราก็จะต้องหนีไปให้เร็วที่สุดอยู่ดี!”
“ชะ ช่วยด้วย….”
หญิงสาวรีบมองสำรวจชินซังยงที่เอาแต่ครางทันที ว่ามีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่ แล้วในแววตาหล่อนก็เกิดแสงอะไรบางอย่างปะทุขึ้นมา
“นี่! เจ็บหนักเลยนี่คะ รอสักครู่นะคะ”
พลังของหญิงสาวคงจะมีอยู่มากไม่ใช่น้อย เพราะหล่อนสามารถประคองร่างของชินซังยงให้ลุกขึ้นยืนได้ในที่สุด และในตอนนั้นเอง เขาก็ดูเหมือนจะได้สติกลับคืนมาแล้วด้วย
เขาหันหน้าไปมองอย่างยากลำบาก แล้วจึงได้พบเข้ากับหญิงสาวที่เข้ามาช่วยตัวเองไว้ ดวงหน้าของหล่อนช่างดูน่ารักน่าชัง เนื้อหนังจ้ำม่ำไปเสียหมด ใบหน้าของหล่อนต่างเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดิน และได้แต่มองเหลียวหลังอยู่ตลอดเวลา ราวกับกำลังหลบหนีอะไรบางอย่างอยู่
“ขะ…ขอบคุณ…”
“ค่าๆ จะขอรับคำนั้นในคราวต่อไปแล้วกันนะคะ ก่อนอื่นก็…”
ในตอนนั้นเอง
เฟี้ยว! พลั่ก!
“อึก!”
ลูกธนูถูกยิงออกมาจากแห่งใดสักที่ แล่นปราดเข้ามาทะลุดวงหน้าของหญิงสาวที่กำลังประคองร่างของชินซังยง หล่อนล้มตัวลง พร้อมส่งเสียงหวีดร้องออกมา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ชินซังยงที่แต่เดิมก็ยันกายลุกขึ้นมาลำบากอยู่แล้ว จึงได้ร่วงแหมะลงไปกองกับที่พื้นอยู่เช่นเดิม
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ชินซังยงรู้สึกได้ว่ามีสถานการณ์บางอย่างรอบข้างกำลังคืบคลานใกล้เข้ามา
“ไซม่อน ทำไมจู่ๆ ถึงเป็นแบบนั้น มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ”
น้ำเสียงของยูรินะที่ร้องเรียกไซม่อนช่างเย็นยะเยือกจับใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีความกระวนกระวายปะปนอยู่ในความรู้สึกอย่างไม่อาจซ่อนเร้นได้ ยูรินะปรายตามองชายหนุ่มที่ยืนหันหลังให้
ไม่ใช่เพียงแค่ยูรินะเท่านั้น แม้แต่ไซม่อนที่กำลังอยู่ในระหว่างวิ่งแล่นอยู่ในทุ่งกว้างอย่างเอาจริงเอาจังนั้น จู่ๆ ก็หยุดการเคลื่อนไหวไปอย่างกะทันหัน เหล่าผู้เล่นส่วนใหญ่ก็หยุดวิ่งเช่นเดียวกัน สายตาทุกคู่ล้วนจับจ้องไปที่ชายหนุ่มผู้นั้นผู้เดียว นั่นก็คือ ไซม่อน
“ไซ…”
“คูชาน ธอร์ตายแล้วหรือครับ”
ในตอนนั้นเอง ขณะที่ยูรินะกำลังจะเปิดปากพูดออกมาอีกครั้ง ก็ได้ยินเสียงอันแผ่วเบาของไซม่อนดังขึ้น
“คนเรียกภูตก็หายไปด้วยค่ะ”
หลังจากนั้นไซม่อนจึงได้หมุนกายกลับมาอย่างช้าๆ เผยให้เห็นใบหน้าของเขาชัดๆ ยูรินะเห็นดังนั้นจึงรีบปิดปากฉับโดยอัตโนมัติ แม้จะหรี่ตาอยู่ แต่ก็ยังเห็นได้อย่างชัดเจน ดวงตาสีแดงเลือดนกราวกับปีศาจคู่นั้นและมุมปากที่ยกยิ้มขึ้นมา ใบหน้าของเขาดูชอบอกชอบใจเหมือนอย่างที่เคยเป็น แต่แล้วทำไมถึงรู้สึกได้ถึงความหวาดเสียวอย่างไรไม่รู้สิ
แม้แต่ยูรินะ ผู้ร่วมปฏิบัติภารกิจมาเป็นเวลานาน ดุจญาติสนิทมิตรสหายเองก็ยังสามารถรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณ หล่อนรู้ดีว่าตอนนี้ไซม่อน ไครมส์กำลังอารมณ์ไม่ดีแค่ไหน
“แม่งเอ๊ย”
คำเดียวที่เอื้อนเอ่ยต่อมา เมื่อเทียบทั้งคำพูดและการกระทำของเขาในยามปกติแล้ว จะเห็นได้ว่าคำหยาบคายที่เปล่งออกมาเมื่อครู่ก่อนหน้านี้นั้น คือคำพูดที่ไซม่อนไม่เคยเปล่งให้ได้ยินมาก่อนเลย
“ทำไมพวกเราต้องทิ้งอะไรมากมายให้กับพวกมันด้วยเนี่ย”
“ซะ ไซม่อน…”
“แล้วทำไมฉันต้องกระสับกระส่ายให้พวกแม่งด้วย”
“…”
ยูรินะตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่แล้วก็กลืนคำพูดนั้นไป และยังตัดสินใจไว้ว่าจะไม่เปิดปากพูดอะไรออกมาอีก ท่าทางของไซม่อนเปลี่ยนไปจากเดิมร้อยแปดสิบองศา ในวินาทีที่เขาไร้ซึ่งสติและการนึกคิดใดๆ
หล่อนจำได้ว่าเคยเห็นไซม่อนในลักษณะเช่นนี้มาครั้งสองครั้งแล้ว ด้วยเหตุนี้หล่อนจึงคิดว่า การไม่เข้าไปขัดอารมณ์ของไซม่อนจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
หลังจากนั้น เวลาก็ผ่านไปสักระยะ
เวลาที่เสียไปนั้นผ่านพ้นไปเพียงแค่ไม่กี่นาทีก็จริง แต่ทว่าก็ยังเป็นช่วงเวลาอันแสนล้ำค่าที่สามารถมอบชีวิตใหม่ให้กับใครๆ ได้ อีกทั้งยังเป็นช่วงเวลาที่แสนจะมีค่าราวกับเงินจำนวนมากสำหรับใครหลายๆ คน
หลังจากไม่นานนักไซม่อนจึงถอนหายใจออกมา เขาเผยรอยยิ้มที่ดูเย็นชาราวกับน้ำแข็ง พร้อมแล้วจึงเริ่มเคลื่อนที่เดินออกไป
และสถานที่ที่ไซม่อนมุ่งหน้าไปนั้นคือ ที่รวมตัวของพวกเร่ร่อน และในบรรดาคนเหล่านั้นก็มีกลุ่มผู้นำรวมตัวอยู่ด้วย